ตอนที่ 364 ตัดแขน

ฉินหลิวซีมาที่เรือนนางฉินผู้เฒ่าเพื่อให้มั่นใจว่านายท่านสามฉินเกิดเรื่องแล้วหรือไม่ ยามนี้มั่นใจแล้ว ใบสั่งยาก็ออกให้แล้ว นางจึงไม่อยู่นาน คารวะเสร็จก็ไป ราวกับมาเพื่อตรวจชีพจรให้นางฉินผู้เฒ่าจริงๆ ไม่บ่นต่อแม้เพียงนิด จนทำให้ท่านยายฟังผู้มาจากตะวันออกเฉียงเหนือคอยพูดคุยเป็นเพื่อนนางฉินผู้เฒ่าต้องชะงักค้าง

“คุณหนูใหญ่ผู้นี้ เอ่ยซื่อตรงเสียจริง มีหนึ่งประโยคเอ่ยหนึ่งประโยค รุนแรงและว่องไวยิ่งนัก” ท่านยายฟังเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคอย่างมีความหมาย

หากเป็นสตรีเรือนอื่น มีผู้ใดบ้างไม่เอาอกเอาใจต่อหน้าท่านย่า ก็นางนี่ไงเล่า มาถึงก็ขอตรวจชีพจร เอ่ยวาจายังไม่น่าฟัง ไม่กลัวว่าคนแก่จะรำคาญแม้เพียงนิด

แม้แต่นางที่มอง ยังรู้สึกว่าฉินหลิวซีตั้งใจเย้ยหยัน

สองวันมานี้นางฉินผู้เฒ่าอารมณ์ไม่มั่นคง บวกกับฉินหลิวซีเอ่ยมาอีกไม่กี่ประโยคนั้น รู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ โบกมือเอ่ย “นางนับว่าเป็นคนนอกโลก[1] ไม่มีกฎระเบียบเหมือนคนอื่นทั่วไป ไม่เอ่ยถึงแล้ว เจ้าเองพรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางกลับไป ฝั่งอิงเหนียงนั้น อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องรบกวนจิตใจมากนัก การดูแลครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ…”

ท่านยายฟังเห็นว่านางไม่ได้สนใจนัก จึงได้เปลี่ยนเรื่องตามไปด้วย

ฉินหลิวซีไม่รู้ว่าตนเองถูกคนว่าร้ายแล้ว ต่อให้รู้นางเองก็ไม่สนใจ ในสายตาของนาง เป็นเพียงการยุยงเล็กๆ น้อยๆ ของคนไม่ดีเท่านั้น ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

เดินออกมาจากเรือนของนางผู้เฒ่า นางก็มองเห็นสตรีหลายคนที่มาคารวะนางผู้เฒ่า มองพวกนางที่สวมชุดผ้าฝ้ายคลุมเสื้อคลุมบาง แข็งแรงกว่าตอนที่มาใหม่ๆ อยู่มาก ผมประดับเครื่องประดับไข่มุกอัญมณี

แต่งตัวแต่งหน้าอย่างเหมาะสมกับวัยหนุ่มสาว ถือว่าเป็นภาพที่สวยงามอีกอย่างหนึ่ง

ฉินหลิวซีเหลือบมอง คิดในใจหากบอกว่าสตรีตระกูลฉินลำบาก ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง หากเป็นตระกูลอื่น ไม่รู้ว่าจะกลายไปเป็นบ่าวรับใช้ที่ใดบ้างแล้ว

เมื่อมองเห็นฉินหลิวซี ทุกคนจึงหยุดเดิน ยอบกายทำความเคารพ

ฉินหลิวซีพยักหน้า ไม่เอ่ยแม้เพียงประโยคก็เดินหนีไป

ยามยืดตัวขึ้นยืนฉินหมิงเย่ว์รู้สึกหงุดหงิด โกรธขาของตนที่ไม่ได้เรื่อง ที่ยอมย่อตัวลงไป

ซีเป่ย

กลุ่มฉินหยวนซานไม่ง่ายกว่าจะย้ายออกมาจากค่ายเนรเทศ เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านชาวบ้านหลังเล็กๆ ทว่าไม่ทันได้ดีใจถึงสองวัน ครอบครัวไม่กี่คนพลันตกต่ำลง

เพราะฉินปั๋วชิงเกิดเรื่องแล้ว ร่างกายที่เต็มไปดวยเลือดถูกหามกลับมา แขนข้างซ้ายว่างเปล่า

เมื่อฉินหยวนซานมองเห็นก็แทบล้มหงายหลัง ออกแรงกัดลิ้นจึงไม่เป็นลมสลบไป เดินโซเซมาอยู่ตรงหน้าฉินปั๋วชิง มือสั่นเทาอยากยื่นไปสัมผัสแต่ก็ไม่กล้า “เกิดอะไรขึ้น ไยจึงเป็นเยี่ยงนี้”

ฉินหมิงมู่ร้องไห้พลางเอ่ยว่า “ท่านอาสามเป็นแบบนี้เพราะช่วยข้า”

พวกเขาได้งานแบกหินที่ลานหิน แต่คาดไม่ถึงว่าช่างกะเทาะหินผู้หนึ่งจะทำลิ่มเหล็กหลุดมือในระหว่างที่กำลังกะเทาะหิน ลอยไปทางศีรษะของฉินหมิงมู่ที่ยืนอยู่ในตอนนั้น และฉินปั๋วชิงที่ยืนอยู่ห่างจากเขาเพียงสองก้าวก็กระโดดเข้ามาบังและผลักออก

ลิ่มเหล็กที่เดิมแหลมคมเป็นพิเศษอยู่แล้ว พุ่งเข้ามาด้วยความแรง ตัดมือของฉินปั๋วชิงขาดออกไป

ฉินหยวนซานได้ยินเช่นนั้น ร่างกายโซเซ ล้มลงไปนั่งกับพื้น

“มาแล้ว ท่านหมอมาแล้ว” ฉินปั๋วกวงลากท่านหมอหนวดเคราเฟิ้มวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว น่าสงสารท่านหมอผู้นั้น อายุปูนนี้ วิ่งจนรองเท้าร่วงหลุดไปหมดแล้ว

ในห้องขมุกขมัว ท่านหมอชราก้าวเข้ามา ส่งเสียงโอ้ ใช้กรรไกรตัดแขนเสื้อข้างที่มีเลือดท่วม มองเห็นจุดที่ขาด ถอนหายใจออกมา “นี่ถูกตัดขาดไปแล้วนี่นา ทว่าทรมานน้อยกว่าต้องตัดแขน”

“เจ้าเอ่ยเหลวไหลอะไร” ฉินปั๋วกวงโมโห

ท่านหมอชราหดคอลง เอ่ย “ข้าเอ่ยไม่ผิดนี่ การขาดออกไปเลยเช่นนี้นับว่าดี หากจะขาดไม่ขาด แต่ยังต้องตัดออก ถูกทุบให้ขาดยิ่งทรมานแล้ว ก็ต้องใช้เลื่อยทั้งนั้น เช่นนั้นจะไม่เจ็บยิ่งกว่าหรือ”

“เจ้า!”

ฉินหยวนซานผลักเขาออก เอ่ยถามเสียงสั่น “ท่านหมอ มือของลูกข้า ต่อไม่ได้แล้วหรือ”

หมอชราส่ายศีรษะ “ขาดออกเช่นนี้แล้ว จะต่ออย่างไรเล่า มือนั้นเล่า”

ฉินหมิงมู่รีบเปิดมือที่ห่อด้วยเสื้อผ้าออก

ท่านหมอชราดูแล้วก็ส่ายศีรษะ ถอนหายใจ “ไม่มีประโยชน์แล้ว ต่อก็ต่อไม่ติด ต่อติดแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าดูเส้นเอ็นนี้สิ ต้องเชื่อมต่อกันได้ถึงจะได้ อย่าว่าแต่ข้าไม่มีวิชาการแพทย์นี้ ทั่วทั้งซีเป่ยก็ไม่มี”

ฉินหมิงมู่นั่งลงไปกับพื้น ชกต่อยตนเองไปหลายครั้ง กอดมือที่ขาดร้องไห้เสียงดังอย่างเจ็บปวด

ในที่สุดฉินหยวนซานก็ทนไม่ไหว เป็นลมล้มไป ฉินหมิงเยี่ยนที่ตกใจจนหน้าถอดสีไปนานแล้วทำได้เพียงกอดเขาเอ่ยเรียกอย่างน่าสงสาร “อารอง รีบมา”

ฉินปั๋วหงวิ่งเข้ามาท่ามกลางสถานการณ์ชุลมุน วางห่อผ้าในมือลงก่อน จากนั้นค่อยมองเห็นว่าแผลที่ถูกตัดไปของน้องเล็กยังคงมีเลือดไหล กัดลิ้นหนักๆ เอ่ย “ท่านหมอ ห้ามเลือดให้น้องสามของข้าก่อนเถิด เจ้ารอง ไปเอาน้ำอุ่นสะอาดๆ มา หมิงมู่ เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้ว ยกท่านปู่ของเจ้ากลับห้องไปกับเยี่ยนเอ๋อร์ ดูแลให้ดี”

ดวงตาของเขาแดงก่ำ มือกำแน่น นึกถึงบางอย่าง เปิดห่อผ้าออก หยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมา ข้างบนเขียนเอาไว้ว่ายายาจินชวง

เดิมทีได้ข่าวว่าที่บ้านส่งจดหมายและของมา เขาดีใจเป็นอย่างมาก ทว่าไม่คิดว่าเพียงชั่วพริบตาก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา หรือสวรรค์คิดว่าพวกเขายังไม่น่าเวทนามากพอหรือ

มีฉินปั๋วหงจัดการ ทุกคนต่างไปทำหน้าที่ของตน ก่อนอื่นต้องจัดการส่วนที่ขาดออกไปและห้ามเลือดให้ฉินปั๋วชิง มิฉะนั้นหากปล่อยเป็นอย่างนี้ต่อไป เลือดไหลไม่หยุด ไม่ช้าก็เร็วคงต้องตาย

ทำความสะอาดบาดแผลดังที่ท่านหมอบอก แขนขาดออกไปแล้ว ไม่มีเนื้อส่วนเกินออกมา ไม่ต้องยุ่งยากกับการใช้มีดกำจัดออก ทำความสะอาดบาดแผลแล้ว จึงใส่ยาจินชวงก่อนจะพันแผล

“ใช้สิ่งนี้” ฉินปั๋วหงยื่นยาในมือไปให้

ท่านหมอชรารับมา โรยลงไป เพียงชั่วอึดใจ แผลนั้นก็ไม่ซึมออกมาอีกแล้ว ตกใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ยานี้…”

ฉินปั๋วหงเองก็ตกใจไม่น้อย หยิบยาขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ย “พันแผลเถิด”

หมอชราไม่ได้ถามสิ่งใดมาก รีบพันแผล พร้อมเอ่ย “อย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ยังต้องระวังมีไข้ตอนกลางคืน”

ฉินปั๋วหงมองน้องชายที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง จากนั้นมองแขนที่อยู่ด้านข้าง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง เช็ดน้ำตาที่หางตา เขาจะบอกกับท่านแม่และน้องสะใภ้สามอย่างไรดี

และอาคารร้านค้าอีกแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลผู้หนึ่งกำลังรีบเข้ามายังห้องของเจ้านายเพื่อรายงาน “นายท่าน ฉินปั๋วชิงเกิดเรื่องแล้วขอรับ มือถูกลิ่มเหล็กตัดขาดแล้วขอรับ”

กงปั๋วเฉิงกำลังพลิกเปิดพงศาวดารเล่มหนึ่ง ได้ยินเช่นนี้ ไม่แม้จะเงยหน้า เอ่ย “ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

“เพียงแขนซ้ายขาดเท่านั้น บังเอิญแล้วขอรับ วันนี้ตระกูลฉินได้รับสิ่งของที่ส่งมาจากเมืองหลี หนึ่งในนั้นมียาจินชวงที่คุณหนูใหญ่ให้มา อีกทั้งเครื่องรางคุ้มภัยหลายชิ้น”

กงปั๋วเฉิงงอนิ้วมือเคาะลงไปบนพื้นโต๊ะ เอ่ย “เช่นนั้นรอบาดแผลของฉินสามผู้นี้หายดีแล้ว จัดการชีวิตให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายเถิด”

“ขอรับ” ผู้ดูแลเอ่ยถาม “เช่นนั้นฉินปั๋วหงเล่าขอรับ”

“ไม่ต้องไปสนใจเขา คนที่ควรลำบากจนตาย ก็คือเขา คนที่มือขาดไยจึงไม่เป็นเขา ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน” กงปั๋วเฉิงเอ่ยเสียงเย็น

ผู้ดูแลเหลือบมองนายท่านของตน คิดในใจว่าท่านหึงหรือ คนอย่างนั้น กลับเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของคุณหนู น่าขยะแขยงราวกับกลืนแมลงวัน

กงปั๋วเฉิงวางหนังสือลง เอ่ย “ฝนหมึกเถิด เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องบอกนางสักหน่อย”

[1]คนนอกโลก คนที่มีบุคลิกไม่ยึดติดกับความวุ่นวายทางโลก รักอิสระ