ตอนที่ 299 สนใจหรือเปล่า

ตอนที่ 299 สนใจหรือเปล่า

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดของหลี่เสวี่เยี่ยน ก็ส่ายหัว แล้วเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ไม่จำเป็นต้องบอกคุณนายหรอกค่ะ เราต้องดูก่อนว่าเริ่นม่านลี่ต้องการจะทำอะไร”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนรีบพยักหน้าแล้วบอกกล่าวทันที “จริงด้วย ไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก เดี๋ยวคุณนายท่านรู้แล้วไปพูดกับเริ่นม่านลี่ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นไปเสียเปล่า”

หล่อนคิดอยู่สักพัก ก่อนที่สำนวนนี้จะผุดขึ้นมา

ฉินมู่หลานยกยิ้มและเห็นด้วย “ใช่แล้ว อย่างนั้นแหละค่ะ”

หลังจากพูดคุยเรื่องนี้กับหลี่เสวี่ยเยี่ยนแล้ว ฉินมู่หลานก็รีบไปหาเด็กทั้งสองคนทันที เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังนอนหลับสนิท ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนหวาน

ซูหว่านอี๋เดินเข้ามา เห็นท่าทางของลูกสาวแล้วก็อดยิ้มแล้วเอ่ยเสียไม่ได้ “คงคิดถึงลูกสินะ พวกเขาเพิ่งหลับไปเอง น่าจะนอนอีกสักพักเลย ลูกอยากจะนอนกับพวกเขาด้วยไหมล่ะ หรืออยากจะไปนั่งพักข้างนอก”

“แม่คะ หนูว่าจะนอนกับลูก ๆ สักหน่อยค่ะ”

“งั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่ออกไปแล้ว”

หลังจากฉินมู่หลานตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่าเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาแล้ว “อาหลี่ ทำไมคุณกลับมาเร็วจัง”

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ ก็ยกยิ้มกล่าว “ไม่เร็วหรอก ผมเลิกงานก็กลับมาพร้อมพ่อบุญธรรม เป็นเพราะคุณหลับยาวต่างหาก”

“อ๋อ…ฉันหลับไปนานขนาดนั้นเลย”

ฉินมู่หลานมองดูเวลา ก่อนจะพบว่านอนหลับนานมากจริง ๆ หลังจากนั้นก็รีบหันมองไปที่เตียงเล็กด้านข้าง เมื่อไม่พบเด็กทั้งสองคนก็รีบเอ่ยถาม “ลูก ๆ ล่ะ?”

“อยู่หน้าบ้าน คุณไม่ต้องห่วง ลูก ๆ ทั้งสองคนได้กินนมแล้ว ตอนนี้กำลังกินซุปข้นอยู่ข้างหน้า เด็กสองคนนี้ตอนนี้ดูเหมือนจะชอบกินพวกอาหารมากขึ้นแล้ว คุณควรจะหยุดให้นมพวกเขาได้แล้ว”

ฉินมู่หลานก็คิดเช่นเดียวกัน เพราะใกล้จะเปิดเรียนแล้ว เธอจึงอยากให้ลูกหย่านมเป็นอย่างมาก “ได้ ฉันกำลีงคิดอยู่พอดี และที่บ้านก็มีนมผงเตรียมไว้แล้วด้วย พรุ่งนี้ฉันจะเริ่มให้ลองกินนมผงกันแล้ว”

เนื่องจากกลัวว่าเด็ก ๆ จะหิวตอนที่เธอไม่อยู่ เธอจึงซื้อนมผงเตรียมเอาไว้ ตอนนี้เด็กทั้งสองจึงสามารถดื่มนมผงได้ตลอดทั้งวัน

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้า

ฉินมู่หลานที่คิดจะเลิกให้นมลูกก็หันไปมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วพูดกับเขา “เดี๋ยวคุณไปที่ร้านขายยาแล้วซื้อมอลต์กระป๋องกลับมาให้หน่อยค่ะ เย็นนี้ฉันจะเริ่มลองทำนมมอลต์ให้ตัวเองดื่ม”

“ได้”

เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าเห็นด้วยตามปกติอยู่แล้ว

หลังจากทั้งสองมาถึงหน้าบ้านแล้ว ก็พบว่าเด็กทั้งสองยังทานซุปข้นกันอยู่ ฉินมู่หลานก้าวเดินไปข้างหน้าก่อนจะเอ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าหนูสองคนยังกินอยู่อีกเหรอ”

ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ก็อดยิ้มแล้วบอกกล่าวเสียไม่ได้ “พวกเขาอยากอาหารดีมาก ก็เลยให้กินเพิ่มอีกสักหน่อย”

ฉินมู่หลานเห็นว่าเด็กทั้งสองดูท่าทางจริงจังเช่นนี้ ก็ยิ้มแล้วมองดูพวกเขากิน แต่เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนเริ่มอิ่มแล้ว เธอจึงรีบบอกให้หยุดทันที “พอแล้วค่ะ อย่าให้กินมากกว่านี้เลย”

“ได้”

ในตอนนี้ เหยาจิ้งจือกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนก็มาหา และจะลากลับไปแล้ว

“แม่ พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่อยู่กินข้าวเย็นกันเหรอคะ?”

เหยาจิ้งจือยิ้มแล้วบอกกล่าว “ไม่กินแล้ว เสี่ยวอวี๋ยังอยู่ที่บ้าน พวกเราต้องรีบกลับกัน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วพยักหน้า

หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็ยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณฉินมู่หลาน “มู่หลาน ขอบคุณสำหรับเครื่องสำอางมากนะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันจะลองดูนะว่าจะแต่งหน้ายังไงดี”

“ค่ะ ถ้าไม่เข้าใจอะไร ก็มาถามฉันได้นะคะ”

“ได้เลย ถึงฉันจะจำขั้นตอนเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังกลัวว่าจะแต่งตัวเองออกมาได้ไม่ดี”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก ต้องใช้เวลาอีกสักพัก ไม่มีใครเก่งแต่แรกหรอกค่ะ”

หลังจากทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามคำ เหยาจิ้งจือกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนก็กลับไป

เมื่อฉินเจี้ยนเซ่อกับฉินเคอวั่งกลับมา ทุกคนก็เริ่มกินข้าวกันทันที แต่ฉินเคอวั่งกลับมีสีหน้าบูดบึ้งนิดหน่อย ตอนกินข้าวก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำสักสองสามคำ “วันนี้ป้าใหญ่ไปที่เรือนสี่ประสานด้วย คอยพูดพล่ามอยู่คนเดียว แล้วยังบอกให้เราทำอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ตลอด ผมรู้สึกว่าวันนี้อาจารย์ดูไม่มีความสุขเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็คิ้วขมวดนิดหน่อย

“ทำไมป้าใหญ่ถึงไปล่ะ?”

ฉินเคอวั่งเล่าให้ฟังอย่างฉุนๆ “เห็นว่าเพราะพวกเขาจะอยู่บ้านใกล้ ๆ กัน ก็เลยลองแวะมาดู ผมว่าป้าใหญ่จงใจแวะเข้ามาดูมากกว่า หล่อนอิจฉาที่พี่ซื้อบ้านหลังนั้น มันเป็นของพวกเราเอง ไม่เหมือนกับที่พวกเขาต้องเช่าบ้าน”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินแบบนี้ ก็อดปรายตามองลูกชายเสียไม่ได้ แล้วพูดขึ้น “เอาเถอะ พี่ใหญ่ของลูกก็บอกแล้ว ว่าพรุ่งนี้ป้าใหญ่ของลูกจะไม่เข้าไปป้วนเปี้ยนที่นั่นอีก เพราะฉะนั้นพูดให้น้อยลงหน่อย”

ฉินเคอวั่งยังอดบ่นพึมพำเสียไม่ได้ “ผมก็แค่บ่นนิดหน่อยเอง”

ฉินมู่หลานคิดว่าเธอไม่ได้ไปที่นั่นนานมากแล้ว จึงเปิดปากเอ่ย “พรุ่งนี้เดี๋ยวพี่จะลองไปดูสักหน่อยว่าปรับปรุงไปถึงไหนแล้ว แล้วก็จะเข้าไปทักทายอาจารย์ของนายด้วย”

ฉินเคอวั่งได้ยินแบบนี้ ก็รีบยกยิ้มแล้วพยักหน้า

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็นำเครื่องสำอางมาสองชุด แล้วนำไปส่งที่บ้านตระกูลเสิ่นก่อน

แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีหญิงวัยกลางคนแสนสวยรอพบเธอกันเต็มไปหมด เมื่อเห็นว่าเธอมาแล้ว ก็เข้ามารุมล้อมทันที “สหายฉิน คุณมาแล้วเหรอคะ”

เมื่อเห็นผู้หญิงหลายคนตรงหน้าวิ่งเข้ามารุมล้อม ฉินมู่หลานก็อดตกใจไม่ได้ นอกจากนี้ถงทิงผิงที่อยู่ด้านข้างก็บอกกล่าวขึ้น “ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นเต้นสิคะ อย่าทำให้มู่หลานตกใจ”

“ได้ๆ พวกเราจะสำรวม”

หลายคนรีบหยุดการกระทำทันที ก่อนจะมองฉินมู่หลานด้วยความคาดหวัง

ฉินมู่หลานมองถงทิงผิงด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม “น้าถง คนเหล่านี้คือ?”

“อ๋อ…พวกหล่อนน่ะเหรอ ทุกคนเป็นเพื่อนของน้าเอง ตั้งแต่เห็นน้าแต่งหน้าเมื่อวาน ก็เอาแต่เรียกร้องเครื่องสำอางชุดนี้ตลอดเลย สุดท้ายก็ยังตกลงไม่ได้ว่าสองเซ็ตที่เหลือนั้นจะให้ใคร วันนี้ทุกคนจึงมารวมตัวกัน”

“เธอคือมู่หลานใช่ไหม ดูดีมากเลยนะ ไม่คิดเลยว่าจะฝีมือเก่งกาจขนาดนี้ แล้วยังทำเครื่องสำอางออกมาได้ดีขนาดนี้ด้วย ฉันไม่เคยเห็นของดีแบบนี้ในร้านของประเทศเราและชาวจีนโพ้นทะเลเลย”

“ใช่แล้ว ๆ แล้วทำไมเครื่องสำอางของเธอมีเยอะจังเลย เธอทำเองหมดเลยเหรอ? เก่งเกินไปแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เธอได้เอาเครื่องสำอางมาไหม ขอพวกเราลองดูหน่อยได้ไหม”

หลายคนต่างกระตือรือร้อนมาก จ้องมองกระเป๋าที่อยู่ในมือของฉินมู่หลานด้วยแววตาลุกเป็นไฟ

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วนำเครื่องสำอางออกมา ก่อนจะพูดขึ้น “ตุณน้าที่รักทั้งหลายคะ ตอนนี้เครื่องสำอางเหลือแค่สองชุดแล้ว ฉันเอาของมาแล้วค่ะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณน้าจะแบ่งกันยังไง”

หลายคนเห็นฉินมู่หลานหยิบเครื่องสำอางออกมา จึงต่างพากันมองตาม

เมื่อฉินมู่หลานส่งของแล้ว ก็เตรียมจะกลับไปทันที

แต่แล้วหนึ่งในหญิงวัยกลางคนนั้นก็ได้เรียกฉินมู่หลานเอาไว้ “สวัสดี มู่หลานถึงแม้ว่าจะเกรงใจนิดหน่อย แต่ว่า…เธอช่วยแต่งหน้าให้พวกเราด้วยได้ไหม เราเองก็อยากจะสวยเหมือนถงทิงผิงเมื่อวานบ้าง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ คนอื่นก็หันมองฉินมู่หลานด้วยความหวังเช่นกัน

เมื่อเห็นฉินมู่หลานไม่พูดอะไร คนพวกนั้นก็อ้อนวอนต่อไป

ฉินมู่หลานเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่อยากสวย สุดท้ายจึงตอบตกลง “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะแต่งให้ทุกคน แต่ว่าใบหน้าของแต่ละคนค่อนข้างต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลาแต่งออกมาผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแตกต่างกันไป ตอนที่ฉันแต่งหน้าให้พวกคุณน้าแล้ว ทุกคนต้องตั้งใจฟังวิธีการของตัวเองให้ชัดเจนนะคะ”

“ได้ ขอบคุณนะมู่หลาน”

ฉินมู่หลานเปิดเครื่องสำอางชุดหนึ่งออกทันที จากนั้นก็เริ่มทำการแต่งหน้าที่เหมาะให้กับพวกหล่อนแต่ละคน

เมื่อหลายคนลองส่องกระจก ต่างก็สัมผัสใบหน้าของตัวเองด้วยความเหลือเชื่อ

“สวรรค์ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองอายุน้อยลงกว่าเดิมเจ็ดแปดปีเลย”

“ใช่แล้วๆ ฉันก็รู้สึกแบบนั้น สวรรค์ ที่แท้แต่งหน้าแบบนี้ก็ดูเด็กลงได้”

“ใช่แล้ว มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ”

ทุกคนประทับใจกับเครื่องสำอางของฉินมู่หลานและทักษะการแต่งหน้าของเธอ อยากจะนำเครื่องสำอางพวกนี้กลับไปเสียแต่ตอนนี้ แต่พวกหล่อนมีกันหกคน เครื่องสำอางกลับมีแค่สองชุดเท่านั้น จึงไม่เพียงพอให้ทุกคน

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลายคนก็รู้สึกทุกข์ใจมาก

ในตอนนั้นเอง อยู่ ๆ ก็มีหญิงสาวผู้กล้าเอ่ยถามขึ้น “มู่หลาน เธอสนใจส่งออกเครื่องสำอางไปขายในร้านค้าจีนโพ้นทะเลดูไหม?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ป้าสะใภ้ใหญ่นี่ก็วุ่นวายไม่เลิกน้อ บอกแล้วว่าบ้านนั้นไม่ได้มีไว้ให้อยู่ก็ไม่ยอมรามือ

ช่องทางการขายมาแล้ว จะคว้าไว้เลยไหมมู่หลาน

ไหหม่า(海馬)