บทที่ 279 พี่สี่ หากท่านพูดจาไม่เป็นก็พูดให้น้อย ๆ ลงหน่อยเถิด

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 279 พี่สี่ หากท่านพูดจาไม่เป็นก็พูดให้น้อย ๆ ลงหน่อยเถิด

บทที่ 279 พี่สี่ หากท่านพูดจาไม่เป็นก็พูดให้น้อย ๆ ลงหน่อยเถิด

ด้านหลีรุ่นก็หันไปมองหนานกงฉีรุ่ยเช่นกัน ใบหน้าเด็กชายดูหล่อเหลา หากหัวใจกลับดำมืดไม่น้อย

เฉกเช่นเดียวกับองค์ชายแปดที่ถูกหลอกอยู่หลายครั้งหลายครา ทว่าความจำกลับสั้นนัก เกรงว่าครั้งต่อไปเจ้าตัวก็คงยังตกหลุมพรางซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ก็คงมีเพียงพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเท่านั้น จึงจะสามารถเผยธาตุแท้ของกันและกันออกมาได้อย่างเต็มที่เช่นนี้ ถึงแม้องค์ชายแปดจะเป็นคนที่ยั่วโมโหง่าย แต่แค่เอาใจนิดเอาใจหน่อยเดี๋ยวอารมณ์ขุ่นเคืองเหล่านั้นก็ถูกพัดหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นแล้ว

หลังจากที่ ‘พี่น้องแสดงความรักใคร่’ กันแล้ว ราชครูก็เริ่มสอนวิธีทำโคม โดยในครานี้องค์ชายห้ากับองค์ชายแปดใช้ของน้อยลงมาก

ครั้นเมื่อทำโคมเสร็จสิ้น ก็เหลือเพียงการเขียนอักษรลงไปบนโคมเหล่านั้น เดิมหนานกงฉีจวินยังคงโกรธอยู่ แต่หลังจากที่พี่เจ็ดสัญญาว่าจะเขียนคำสองคำลงบนโคมให้ ตัวเขาก็หลงลืมเรื่องที่เคยถูกหลอกไปเสียสนิท

ช่างเอาใจง่ายเสียจริง

ทางเสี่ยวเป่าหยิบพู่กันอันเล็กมาเขียนตัวอักษรโย้เย้ลงบนตัวโคมในแนวดิ่ง

นางเขียนบทกวีไม่เป็นจึงเขียนเพียงคำอวยพรไม่กี่คำเท่านั้น

หากมีคำใดที่เขียนไม่ได้ นางจะเดินเตาะแตะไปหาท่านราชครูเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งท่านราชครูก็แสนใจดี คอยจับมือเล็ก ๆ ช่วยเขียนคำที่นางไม่สามารถเขียนได้ทีละขีด

ขอให้ท่านพ่อมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขทุกวัน

ขอให้พวกพี่ชายมีความสุขและซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน

ขอให้ท่านอาสี่สมหวังทุกประการ…

นางทำโคมจำนวนมากขึ้นด้วยความระมัดระวัง และเขียนคำอวยพรให้กับทุกคนที่นางรักลงไปในโคมทีละใบ

หลีรุ่นเฝ้าดูนางพลางลูบเคราตนเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้า จิตใจใสบริสุทธิ์ขององค์หญิงนั้นหาได้ยากยิ่งในวังหลวง ช่างน่ายกย่องนัก

ครั้นเหลือบมององค์ชายทั้งหลาย ในใจพลันรู้สึกภาคภูมิ

ผู้อื่นหาได้รู้จักและเข้าใจนิสัยของบรรดาองค์ชายเหมือนกับตน คนเหล่านั้นเห็นเพียงท่าทางการวางตัวและระดับความรู้ที่องค์ชายเผยให้เห็น แต่ในมุมมองของหลีรุ่นแล้ว สิ่งที่หายากและโดดเด่นที่สุดของพวกองค์ชายก็คือความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง

องค์ชายทั้งหลายล้วนมีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ถึงจะมีการเปรียบเทียบหรืออิจฉาบ้าง ทว่ากลับไร้ซึ่งความหวาดระแวงหรือความเกลียดชังต่อกัน

หากทุกอย่างยังคงเป็นเช่นนี้ บางทีจักรพรรดิรัชสมัยถัดไปของต้าเซี่ยอาจขึ้นครองราชย์ได้โดยปราศจากการนองเลือด ซึ่งหากจักรพรรดิองค์ต่อไปทรงมีจิตใจกว้างขวางและแข็งแกร่งเฉกเช่นเดียวกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เช่นนั้นองค์ชายคนอื่น ๆ คงสามารถทำสิ่งที่พวกเขาอยากทำได้ และเมื่อแต่ละคนได้ใช้จุดแข็งของตัวเองแล้ว การที่ต้าเซี่ยกับจงหยวนจะรวมเป็นปึกแผ่นก็อาจมิใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป

หลีรุ่นไม่คิดว่าความคิดนี้เป็นความทะเยอทะยานแต่อย่างใด เพราะการรวมจงหยวนเข้าเป็นปึกแผ่นนั้นหาใช่เพียงแค่ความมุ่งหวังของจักรพรรดิทุกพระองค์ไม่ ทว่ายังเป็นสิ่งที่ข้าราชบริพารทั้งหลายใฝ่ฝันอีกด้วย

หากเป็นไปได้ ผู้ใดบ้างจะมิปรารถนาให้บ้านเมืองของตนแข็งแกร่งขึ้น ทั้งการรวมจงหยวนเข้าด้วยกันก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อราษฎรเช่นกัน

แต่สำหรับตอนนี้ นี่เป็นเพียงความวาดหวังเท่านั้น

หลังจากเรียนเสร็จ ผู้ที่ทำได้เร็วก็สามารถทำโคมได้มากกว่าสิบอัน ขนาดผู้ที่ทำได้ช้าอย่างองค์ชายแปดก็ยังทำได้มากถึงสี่อัน

“เอาละ ชั้นเรียนวันนี้จบลงแล้ว ไปแขวนโคมของพระองค์ไว้บนต้นไม้เพื่อให้วังหลวงมีชีวิตชีวาขึ้นกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้เลยท่านราชครู”

แม้แต่องค์ชายห้าและองค์ชายแปดที่ซุกซนที่สุดก็ยังให้ความเคารพท่านราชครู

เสี่ยวเป่าหยิบโคมของตัวเองขึ้น แล้วกระโดดโหยงเหยงตามพี่ชายไปยังตำหนักฉินเจิ้ง

“โคมของเสี่ยวเป่าต้องเอาไปแขวนไว้เหนือตำหนักฉินเจิ้งนะ ท่านพ่อจะได้มองเห็น!”

องค์ชายสี่ องค์ชายห้า และองค์ชายแปดที่ลายพระหัตถ์ไม่สวย “…”

“…ส่วนของพวกเราแขวนไว้ที่นี่เถอะ”

มิฉะนั้นเกรงว่ายามเสด็จพ่อได้เห็นโคมไฟของพวกเขาที่แขวนอยู่เหนือตำหนักฉินเจิ้งเข้า คงสั่งให้พวกเขาไปคัดอักษรอีกร้อยจบเป็นแน่!

ต้องบอกว่าถึงแม้บางคนจะมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินเหตุ แต่พวกเขาก็ยังรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร

หลังจากโคมไฟพร้อมแล้ว หนานกงฉีหลิงและหนานกงฉีจวินก็เริ่มแข่งกันว่าโคมของใครแขวนสูงกว่ากัน

หนานกงฉีหลิงเลือกต้นไม้ที่สูงที่สุด ก่อนจะส่งเสียงโห่ร้องสองสามครั้งแล้วกระโดดขึ้นไปเหมือนกับลิงค่าง ครั้นยืนอยู่บนกิ่งต้นไม้ได้อย่างมั่นคง เขาก็มองลงมายังองค์ชายแปดพลางหัวเราะเยาะ

“ตัวเล็กเช่นเจ้า คิดจะเทียบข้ายังเร็วไปหลายปี!”

คำพูดนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด แต่กลับเป็นการดูถูกอย่างยิ่ง หนานกงฉีจวินโกรธมากจนแผดเสียงออกมา

“พี่สี่ ท่านช่วยข้าขึ้นไปหน่อย”

“การพึ่งพาผู้อื่นย่อมไร้ความหมาย หากเจ้ามีความสามารถก็จงขึ้นมาเอง!”

สีหน้าท่าทางของหนานกงฉีหลิงดูโอหังและหยิ่งผยองยิ่ง เขานับเป็นเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้นและหัวขบถอย่างแท้จริง

หนานกงฉีจวินร้อง “พี่ห้า ท่านมันไร้ยางอาย รังแกเด็ก!”

หนานกงฉีหลิงแค่นเสียงอย่างไม่แยแส “เหอะ! เจ้าต่างหากที่ประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป สมน้ำหน้าแล้ว!”

หลังพูดจบ เขาก็แขวนโคมไว้บนยอดไม้และชื่นชมมันอยู่พักหนึ่ง

“เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่า พี่ห้าของเจ้าเท่หรือไม่”

คำว่าเท่นั้นเขาเรียนรู้มันมาจากเสี่ยวเป่า

เจ้าก้อนแป้งที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของพี่สี่ยกแขนเล็ก ๆ ทั้งสองขึ้นเพื่อชูนิ้วโป้งให้พี่ห้า

“เท่มากเพคะ แต่พี่ห้าระวังตกด้วยนะ”

หนานกงฉีหลิงยืดอกกล่าวว่า “นี่ไม่นับเป็นอันใดเลย สมัยข้าอายุพอ ๆ กับเจ้าแปด ข้าก็ปีนกำแพงกับหลังคาได้แล้ว”

เวลานี้เอง ทางองค์ชายสี่ หนานกงฉีอิงพลันเปิดปากเล่าประวัติขององค์ชายห้าด้วยท่าทางจริงจัง

“ใช่แล้ว ตอนนั้นน้องห้าซนมาก เขาขึ้นไปบนหลังคาและทำกระเบื้องแตก จากนั้นเขาก็โดนซีเฟยจับตัวไปถอดกางเกงตีก้น อีกทั้ง…”

“อ๊ากกก!!! พี่สี่ ท่านหยุดพูดได้แล้ว!”

ดังนั้นการที่มีพี่ชายผู้ซื่อสัตย์คอยเฝ้าดูตัวเองเติบโต ทั้งยังรู้อดีตอันดำมืดของตนจึงเป็นเรื่องน่าอายอย่างยิ่ง

หนานกงฉีอิงถาม “จะอายอะไรกัน เรื่องราวล้วนเกิดขึ้นตอนสมัยยังเด็กทั้งสิ้น อย่างเรื่องที่เจ้าเคยฉี่รดที่นอน ยามนี้เจ้าก็ไม่ได้ฉี่รดที่นอนแล้ว”

หนานกงฉีหลิง “…”

ใครก็ได้มาฆ่าเขาที!

องค์ชายสี่นับเป็นคนร้ายกาจโดยธรรมชาติ เพราะเขาพูดจาตรงไปตรงมาอย่างจริงใจไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียนใครทั้งสิ้น เขาเพียง…เลือกใช้คำพูดไม่เป็นเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ๆ … พี่ห้า ท่านเองก็ฉี่รดเตียง แล้วท่านยังจะมาหัวเราะเยาะข้าอีก ฮ่า ๆ ๆ…”

หนานกงฉีอิงเกาหัว “น้องห้ายังนับว่าดี ตอนอายุสามขวบเขาก็ไม่ได้ฉี่รดที่นอนแล้ว แต่น้องแปด ตอนเจ้าอายุห้าขวบ เจ้ายังฉี่รดที่นอนเป็นครั้งคราวอยู่เลย”

องค์ชายแปด “…”

หนานกงฉีเฉินอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า เขากลัวว่าพี่สี่จะเปิดเผยอดีตอันดำมืดในวัยเด็กของเขาด้วยอีกคน

ตอนที่พวกเขายังเด็ก เป็นพี่สี่กับพี่ใหญ่ที่คอยดูแลพวกเขา เช่นเดียวกับหมัวมัว ดังนั้นอีกฝ่ายจึงรู้อดีตอันดำมืดของพวกเขาดียิ่งกว่าตัวเองเสียอีก

“พี่สี่ หากท่านพูดจาไม่เป็นก็พูดให้น้อย ๆ ลงหน่อยเถิด”

หนานกงฉีหลิงกระโดดลงจากต้นไม้พลางมองเขาด้วยสีหน้าปลาตาย ทั้งยังนึกอับอายเกินกว่าจะมองหน้าน้องสาวของตน

หนานกงฉีอิงที่ความรู้สึกช้าเล็กน้อยเอ่ยว่า “ข้า…พูดอะไรผิดหรือ”

ทั้งหนานกงฉีหลิงและหนานกงฉีจวินต่างส่งสายตาเย็นชาไปให้ ‘ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า’

หนานกงฉีอิงปิดปาก “ขออภัย”

จากนั้นเขาก็หยุดพูดและนิ่งเงียบไป กลายเป็นชายตัวโตที่ดูเย็นชาแต่ก็ไร้เดียงสาในเวลาเดียวกัน

ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็มิอาจแก้ปัญหานี้ได้ เพราะไม่รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง จึงมักล่วงเกินผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นคำแนะนำที่เสด็จแม่มอบให้คือ ในอนาคตจงพูดให้น้อยลงและทำให้มากขึ้น!

เสี่ยวเป่าลูบหัวพี่สี่ด้วยความเอ็นดู น่าสงสารจริง ๆ แต่เสี่ยวเป่าก็คิดเหมือนกันว่าท่านควรพูดให้น้อยลงหน่อย มิเช่นนั้นจะไม่ดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง