บทที่ 278 โคมแดง

บทที่ 278 โคมแดง

“เหตุใดน้องหญิงถึงมาที่นี่ คิดถึงพี่ชายของเจ้าหรือ”

หนานกงฉีเฉินเอ่ยถามขณะบีบแก้มของน้องสาว

เสี่ยวเป่าขัดขืนอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะหลบหลีกจากเงื้อมมือพี่หกได้ เผ้าผมของเด็กน้อยก็ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว ทั้งยังมีบางส่วนชี้ขึ้นจนดูเหมือนกับนกติ๊ดแก้มเหลือง

“พี่หก อย่าบีบแก้มเสี่ยวเป่านะ”

คนตัวเล็กมองเขาอย่างคาดโทษด้วยสายตาไม่พอใจ

หนานกงฉีเฉินเห็นรอยแดงเล็ก ๆ บนแก้มของน้องสาวที่เกิดจากการถูกเขาบีบ ก็พลันเกาหัวด้วยความละอาย

“เฮ้อ ข้าควบคุมมันไม่ได้นี่ ผู้ใดใช้ให้น้องหญิงน่ารักเกินไปเล่า”

เสี่ยวเป่าเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดใช้ให้นางน่ารักถึงเพียงนี้ ขณะเดียวกันหางเล็ก ๆ ของนางแทบจะชี้ขึ้นฟ้าแล้วหลังได้รับคำชม

ครั้นบรรดาพี่ชายที่เหลือเห็นเสี่ยวเป่าแล้วก็พากันวิ่งมาหานาง

“น้องหก เจ้าอุ้มพอแล้ว ให้ข้าอุ้มบ้างสิ”

องค์ชายห้าเบียดเข้ามาคว้า จากนั้นก็อุ้มน้องสาวตัวน้อยที่แสนนุ่มนิ่มพลางถูไถไปมาด้วยท่าทางมีความสุขเหมือนกับสุนัขเอ้อร์ฮา

องค์ชายแปดก็อยากอุ้มนางเช่นกัน แต่เขาไม่สามารถแย่งน้องสาวมาจากพี่ห้าได้ จึงทำได้แค่หน้าบูดบึ้งและไปยืนอยู่ข้าง ๆ พลางถลึงตาจ้องมองพี่ห้าของตน

“พี่ห้า อย่าเอาน้องหญิงไปคนเดียวสิ วางนางลงแล้วให้พวกเราอุ้มนางบ้าง”

“เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่า เจ้าคิดถึงพี่แปดบ้างหรือไม่”

“เสี่ยวเป่า พี่แปดจะทำโคมให้เจ้าเอง เจ้าต้องการแบบใดพี่จะทำให้หมดเลย!”

เขาคว้าคนไม่ได้จึงเริ่มพูดพล่ามอยู่รอบ ๆ น้องสาว

เด็กน้อยตอบอย่างกระตือรือร้นขณะจับมือของพี่แปดไว้

“เสี่ยวเป่าก็คิดถึงพี่แปด แต่เสี่ยวเป่าอยากทำโคมร่วมกับท่านพ่อและพวกพี่ ๆ มากกว่า”

สุดท้ายนางก็ได้เข้าไปในห้องหนังสือ ขันทีหลายคนวิ่งมาหาเสี่ยวเป่าพร้อมกับของสำหรับทำโคม ซึ่งเหล่าพี่ชายของเสี่ยวเป่าอยากจะทำโคมจนแทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว

หนานกงฉีเฉินและหนานกงฉีรุ่ยจำเป็นต้องวางแผนก่อน อย่างน้อยก็ต้องมีใครสักคนสอนวิธีทำโคมให้พวกเขาบราวนี่ออนไลน์

ด้านองค์ชายสี่ หนานกงฉีอิงเกาหัวอย่างไม่รู้อะไร เขาหันซ้ายแลขวา ก่อนจะตัดสินใจตามน้องหกกับน้องเจ็ดที่ดูน่าเชื่อถือกว่าไปทำโคมด้วย

องค์ชายห้ากับองค์ชายแปด ทั้งสองคนมีความมั่นใจในตนเองมากเกินไป พวกเขาเสียของทำโคมไปมากมาย สุดท้ายสิ่งที่ได้กลับมาดูแตกต่างไปจากโคมอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาถูกหัวเราะเยาะอย่างหนัก

องค์ชายห้าหน้าแดง “หัวเราะอันใดกัน มันก็แค่อุบัติเหตุ โคมใบใหม่ข้าต้องทำได้ดีกว่านี้แน่!”

หนานกงฉีจวินเองก็หน้าแดงก่ำ เขาพยักหน้าหงึก ๆ “ถูกต้อง!”

“ข้าจะเอาคืนความอับอายในครั้งนี้!”

หนานกงฉีหลิงรู้ซึ้งจากบทเรียนของตนเอง คราวนี้เขาเรียกขันทีน้อยที่สามารถทำโคมได้มาสอนตัวเอง

เริ่มจากโคมแดงทรงกลมที่ง่ายที่สุด

เสี่ยวเป่าเองก็นั่งหลังตรงฟังอย่างตั้งใจ บนโต๊ะตรงหน้านางมีของสำหรับทำโคมอยู่ ชุนสี่กำลังสาธิตวิธีทำให้นางดูอย่างช้า ๆ ขณะที่เด็กน้อยนั่งดูและเรียนรู้ไปพร้อมกัน

นิ้วเล็กของนางค่อนข้างคล่องแคล่ว แม้จะเป็นแค่โคมเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายที่สุด แต่นางก็ทำออกมาได้ดี

ไม่นานหลังจากนั้น โคมแดงดวงเล็กก็เสร็จเรียบร้อย นางยิ้มกว้างจนคิ้วกับดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว

“ท่านพี่ ของเสี่ยวเป่าเสร็จแล้ว”

งานทำมือประเภทนี้ต้องใช้ความอดทนและฝีมือที่ประณีต

เสี่ยวเป่าเป็นเด็กที่อดทนเก่งมาก นางสามารถอยู่กับท่านพ่อได้นาน ๆ โดยไม่ร้องไห้หรืองอแง นิ้วเล็ก ๆ ของนางเองก็คล่องแคล่ว แม้จะไม่เร็วนัก แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี

ส่วนคนสองคนที่พูดคุยเสียใหญ่โตว่าจะทำโคมมังกรก่อนหน้านี้พลันนั่งไม่ติดแล้ว

องค์ชายห้า หนานกงฉีหลิงโยนของในมือลงบนโต๊ะ

“น่าเบื่อชะมัด ให้ข้าไปฝึกวรยุทธ์ยังจะดีกว่า”

เพราะยังเยาว์วัยเขาจึงอดทนได้แค่กับสิ่งที่ตนเองชอบเท่านั้น กลับกันเรื่องอื่นเขามีความกระตือรือร้นอยู่เพียงไม่กี่อึดใจ

องค์ชายแปด หนานกงฉีจวินเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ห้าพูด เขาเองก็รู้สึกเบื่อเช่นกัน

หนานกงฉีเฉินหัวเราะเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ผู้ใดคุยเป็นตุเป็นตะว่าจะทำโคมมังกรกัน”

หนานกงฉีรุ่ยเพียงส่ายหัว “น้องหญิงยังทำได้ดีกว่าเจ้าอีก”

หนานกงฉีอิงเผลอออกแรงมือมากเกินไป โคมที่เพิ่งขึ้นรูปจึงถูกเขาทำพังไปในบัดดล

ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและทำอะไรไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด

“พังอีกแล้ว”

ฟังจากเสียงสามารถบอกได้เลยว่าเขาเศร้าใจเป็นอย่างมาก

เพราะนี่ไม่ใช่โคมดวงแรกที่เขาทำพัง

ก้านไม้ไผ่และกระดาษที่ใช้ทำโคมนั้นบอบบางเกินไป คนอื่น ๆ แค่ต้องทำตามปกติ แต่เขาต้องระมัดระวังควบคุมแรงมือของตนเป็นพิเศษ

ทั้งที่ทำใกล้จะเสร็จแล้ว แต่โคมทั้งดวงกลับถูกเขาทำลายด้วยแรงเพียงน้อยนิด

ครั้นเห็นว่าพี่สี่ดูเศร้าใจมาก เสี่ยวเป่าก็รีบจับมือของเขาให้กางออก ก่อนจะวางโคมดวงเล็กที่นางทำลงในมือคู่นั้น

“พี่สี่อย่าเศร้าไปเลย โคมนี้เสี่ยวเป่ามอบให้พี่สี่นะเพคะ” เสียงนุ่มนิ่มของเด็กน้อยทำให้หัวใจคนฟังอบอุ่นตามไปด้วย

คิ้วของหนานกงฉีอิงคลายออก เขาเผยรอยยิ้มโง่งมเหมือนจินเหมา*[1]ตัวใหญ่

เมื่อหลีรุ่นเดินเข้ามา ทุกคนก็รีบเก็บกวาดโต๊ะให้สะอาด

ราชครูยกมือขึ้นเพื่อหยุดพวกเขา

“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ทุกคนประดิษฐ์โคม เมื่อใดที่อุปกรณ์พร้อมแล้ว องค์ชายทุกพระองค์สามารถเริ่มทำโคมได้ หากแต่โคมเหล่านี้ไม่อาจทำอย่างขอไปที วันนี้กระหม่อมจะมาสอนวิธีทำโคมไฟ รวมถึงชี้แนะการเขียนบทกลอนวันปีใหม่ อาจเป็นบทกลอนที่พระองค์เคยร่ำเรียนไป หรือจะเป็นบทกลอนที่ประพันธ์ขึ้นเองก็ย่อมได้”

“ไม่นะ!!!”

องค์ชายห้าและองค์ชายแปดคร่ำครวญออกมาพร้อมกัน

“ท่านราชครู ข้าเขียนตำราพิชัยสงครามลงไปได้หรือไม่”

เขาท่องบทกวีไม่ได้ แต่เขาสามารถเขียนตำราพิชัยสงครามได้

หลีรุ่นหรี่ตามองเขา “พระองค์ว่ามันดีหรือพ่ะย่ะค่ะที่จะเขียนตำราพิชัยสงครามลงบนโคมวันปีใหม่”

องค์ชายห้าพูดอย่างมั่นใจว่า “ข้าคิดว่ามันเยี่ยมมาก ท่านราชครูลองใคร่ครวญดู ปีใหม่นี้ไม่เพียงแต่เป็นการฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการขับไล่ปีศาจเหนียน*[2]ออกไปด้วยถูกหรือไม่”

“ตำราพิชัยสงครามนำออกมาใช้ในสนามรบได้ สามารถใช้สังหารศัตรูได้ หากข้าเขียนไว้บนโคมไฟ มันก็น่าจะขับไล่ปีศาจเหนียนได้ไม่ใช่หรือ เราจะไม่ทำให้ปีศาจเหนียนหวาดกลัวเพียงเสียงพวกเราเท่านั้น ทว่าความน่าเกรงขามของเราก็แพ้ไม่ได้เช่นกัน!”

หลีรุ่น : ท่านกล่าวเรื่องไร้สาระชัด ๆ แต่ไยฟังดูแล้วกลับสมเหตุสมผล

หนานกงฉีหลิงแบมือออก “แต่ตอนนี้ข้านึกบทกลอนไม่ออกแล้ว ทว่าหากให้ข้าเขียนตำราพิชัยสงคราม ข้าทำได้แน่นอน!”

หลีรุ่นมองเขาด้วยความขุ่นเคือง “องค์ชายห้า เลือกที่รักมักที่ชังหาใช่นิสัยที่ควรค่าแก่การโอ้อวดนะพ่ะย่ะค่ะ”

ทว่าในท้ายที่สุด เขาก็เห็นด้วยกับการเขียนตำราพิชัยสงครามลงบนโคมไฟ เพียงแต่สำทับเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่งว่า

“รบกวนเขียนเงียบ ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงฉีหลิง “…”

นึกสงสัยว่าท่านราชครูกำลังเพ่งเล็งตน แต่เพราะไร้หลักฐานในมือจึงทำอันใดไม่ได้

หนานกงฉีจวินมุดหัวลงใต้โต๊ะ คาดหวังให้ท่านราชครูมองไม่เห็นตนเสีย

แต่…หลีรุ่นจะลืมเขาไปได้อย่างไร

“องค์ชายแปด พระองค์ได้ร่ำเรียนสี่ตำรา*[3]และบทกวีมามากแล้ว เช่นนั้นคิดว่าจะเขียนอันใดลงบนโคมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายแปด “…”

เขาขยิบตายิบ ๆ ให้พี่หกกับพี่เจ็ดอย่างร้อนรน หากเป็นพี่ชายของเขาจริงก็ช่วยเขาหน่อยเถอะ!

หนานกงฉีรุ่ยกะพริบตาปริบ ๆ อาศัยใบหน้าไร้เดียงสานั่นล่อหลอกน้องชายของตนโดยไม่ลังเล พลางขยับปากพูดสองสามคำ

ในเวลานี้หนานกงฉีจวินที่ไม่ได้นึกสงสัย พลันตะโกนออกมาว่า “ท่องวสันต์*[4]”

บทกวีนี้ถูกประพันธ์ขึ้นโดยใครบางคนจากราชวงศ์ก่อน มันหาได้เกี่ยวกับเทศกาลในวสันตฤดูไม่ แต่เกี่ยวกับการออกไปเที่ยวในเทศกาลชิงหมิง*[5]

หลังจากโพล่งออกมา เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ใบหน้าของท่านราชครูเริ่มมืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เขาหันไปถลึงตาใส่พี่เจ็ดด้วยความโกรธที่แทบจะระเบิดออกมา

พี่เจ็ดหลอกเขาอีกแล้ว!!!

[1] จินเหมา คือ สุนัขโกลเดนรีทริฟเวอร์

[2] ปีศาจเหนียน หรือ เหนียน เป็นสัตว์ประหลาด หัวมีขนรุงรัง ลำตัวใหญ่กว่าสิงโตถึงสองเท่า มีเขี้ยวที่ยาวและคม ดุร้ายเป็นอย่างมาก อาศัยในทะเลลึกเป็นเวลายาวนาน ทุกปีพอถึงวันสิ้นปีจะปีนขึ้นฝั่งมาอาละวาดทำร้ายผู้คนและสัตว์เลี้ยง สวรรค์จึงลงโทษเหนียนโดยสาปให้แข็งกลายเป็นหิน แต่ทุกปีคำสาปนี้จะคลายลงในวันสิ้นปี ก่อนที่จะกลับมาแข็งเป็นหินใหม่อีกครั้ง ทว่าปีศาจเหนียนนั้นกลัวสีแดง แสงไฟและเสียงประทัดที่สุด ในทุก ๆ ปี ทุกบ้านมักแปะกระดาษสีแดง จุดประทัดเสียงดัง อีกทั้งยังจุดดวงไฟให้สว่างไสว เพื่อกำจัดปีศาจเหนียน และเฝ้ารอเวลาให้แสงอาทิตย์ของวันปีใหม่ขึ้นอย่างสงบสุข

[3] สี่ตำรา มาจากคำว่า สี่ตำราห้าคัมภีร์ คือหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าที่เป็นแนวคิดของปรัชญาขงจื่อ ‘สี่ตำรา’ ประกอบด้วย คัมภีร์ต้าเสวีย คัมภีร์จงยง คัมภีร์หลุนอวี่ และคัมภีร์เมิ่งจื่อ ‘ห้าคัมภีร์’ ประกอบด้วย 1. อี้จิง คัมภีร์ว่าด้วยเรื่องโหราศาสตร์ 2. ซ่างซู ตำราประวัติศาสตร์ 3. ซือจิง คัมภีร์กวี 4. หลี่จี้ คัมภีร์ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรม 5. ชุนชิว บันทึกพงศาวดารและปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ

[4] ท่องวสันต์ เป็นบทกวี《踏春日》แปลว่าท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ความหมายโดยทั่วไปคือการเดินเล่นท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ หากแต่เพราะเทศกาลเช็งเม้งอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่น่าออกไปท่องเที่ยว ผู้คนจึงถือโอกาสนี้ออกไปเคารพบรรพบุรุษที่สุสาน

[5] เทศกาลชิงหมิง หมายถึง เทศกาลเช็งเม้ง