บทที่ 270 ข้าน่ะมากเรื่อง
บทที่ 270 ข้าน่ะมากเรื่อง ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น

ชิงอวี่เดินออกมาครึ่งทางแล้ว ไม่รู้ว่าชิงลั่วเยี่ยนกับคนอื่น ๆ คุยเรื่องอะไร นางได้ยินจากผู้ช่วยคนอื่น ๆ เท่านั้นว่าท่านเจ้าอารามเชิญให้แขกพักค้างคืนในอารามศักดิ์สิทธิ์ เพราะเดินทางไกลคงเหนื่อยกันนัก

หญิงผู้ช่วยหลาย ๆ คนกำลังคุยกันอย่างตื่นเต้น ว่าท่านเจ้าอารามต้องส่งพวกนางสักคนไปรับใช้แขก พวกนางอาจเป็นคนโชคดีได้รับเลือกไปก็เป็นได้ แม้ไม่อาจทำให้นายท่านทั้งหลายชื่นชอบได้ แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสชื่นชมใบหน้าหล่อเหลาสูงส่งใกล้ ๆ ก็ยังนับว่าดียิ่งนัก!

ยิ่งเป็นท่านจอมมาร ใบหน้าของเขาอย่างเดียวก็ทำเอาพวกนางหลับไม่ลงไปหลายวันแล้ว

ชิงอวี่เลิกคิ้วสูง ได้ยินแล้วก็รู้สึกขบขัน ตอนที่หมอนั่นบอกว่าเขาทำสตรีบนแดนเมฆาสวรรค์กว่าครึ่งพ่ายแพ้ไปนั้นไม่ได้เป็นคำลวงเลย ทั้งยังรวมหญิงแก่เด็กน้อยทั้งหลายไว้ด้วย

เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจขนาดไหน

คืนนั้น มีเรื่องเอะอะวุ่นวายจนปั่นป่วนไม่น้อย หญิงผู้ช่วยสองคนที่ถูกส่งไปให้จูเก่อฉงถูกไล่ออกมา ว่ากันว่าเขาร้องขอชิงอวี่ให้ไปรับใช้เขาโดยเฉพาะ ไม่ยอมให้คนอื่นไป

หญิงผู้ช่วยสองคนนั้นทั้งหน้าตาสะสวยและดีพร้อมในทุกด้าน จูเก่อฉงเองก็อ่อนโยนกับคนงามเสมอ

แต่เหมือนวันนี้เขาจะเสียสติ หลังจากได้มองชิงอวี่แล้วก็ไม่อาจหาใครมาเทียบได้อีก ทำให้เขาอารมณ์ร้ายนัก หากไม่อาจเอานางมาเป็นของเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องเอานางมารับใช้เขาระหว่างพักอยู่ที่นี่ให้ได้!

สุดท้ายหญิงผู้ช่วยทั้งสองที่ถูกไล่ออกมาก็ไร้ทางเลือก คนหนึ่งต้องไปรายงานชิงลั่วเยี่ยนและคนอื่น ๆ ให้ไปตามชิงอวี่มา

ชิงอวี่นั่นสงบนิ่งมากระหว่างที่เดินตามผู้ช่วยหญิงที่ลนลานเป็นกังวลไปติด ๆ อีกฝ่ายเห็นนางท่าทีสงบเช่นนั้น ในใจก็โกรธขึ้นมา น้ำเสียงยามเอ่ยก็เย็นชานัก “เดินให้เร็วหน่อยไม่ได้หรือ? หากหัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อรอจนโกรธขึ้นมา พวกเราก็คงไม่รอดโทสะเขาหรอก!”

ว่าแล้ว สตรีผู้ช่วยก็ก้าวยาว ๆ สองก้าวเข้ามาแล้วคว้านางไว้

จู่ ๆ นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อเห็นชิงอวี่หรี่นัยน์ตาหงส์จ้องหน้านางอย่างไร้อารมณ์

สตรีผู้ช่วยหยุดมือไว้กลางอากาศชั่วขณะ จากนั้นก็ส่งเสียงฮึ่มโกรธ เก็บมือแล้วหันกลับไป ไม่หันมองนางอีก

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน? ไม่มีใครรู้ว่าเด็กสาวนี่มาจากที่ไหน จู่ ๆ ก็มาโผล่ที่อารามศักดิ์สิทธิ์ ทำตัวไม่เหมือนกับข้ารับใช้คนอื่น ๆ แต่ท่านเจ้าอารามก็ชอบนาง ตามอกตามใจนางนัก

พวกนางก็เป็นผู้ช่วยเหมือนกัน แต่ท่าทางของเด็กสาวนั้นพิเศษกว่าใคร มีกลิ่นอายสูงส่ง คนอื่น ๆ จะไม่รู้สึกริษยานางได้หรือ?

“ไสหัวไป! ข้าบอกแล้วว่าคนอื่นข้าไม่เอา ข้าจะให้เด็กชื่อชิงอวี่นั่นมารับใช้ข้าคนเดียว”

ชิงอวี่เพิ่งเดินมาถึงประตูเมื่อแจกันหยกขาวถูกโยนออกมาจากด้านใน มันหมุนคว้างตรงเข้ามาที่ศีรษะสตรีผู้ช่วยด้านข้างที่เดินนำนางมา

มันยาวประมาณหนึ่งแขน หนาเท่าข้อมือ แม้จะไม่ใหญ่มากแต่ก็ยังเป็นเครื่องเคลือบ หากถูกกระแทกใส่คงหนักไม่น้อย

“กรี๊ดดด~”

สตรีผู้ช่วยเห็นของหมุนคว้างตรงเข้ามาก็สิ้นสติ ทำได้แต่กรีดร้องลั่น กระทั่งหลบยังทำไม่ได้

ชิงอวี่กระตุกคิ้วสองครา สตรีผู้ช่วยนางนี้ควรจะมีพลังบำเพ็ญขั้นหนึ่งไม่ใช่หรือ แต่เหมือนนางจะไร้ความฉลาดกว่าระดับปกติเสียได้ นั่นก็คือยามพบอันตรายให้หลบไม่ใช่หรือไร?

นี่มันหมอนปักลายก็มิปาน มองแล้วสวยดี แต่ใช้อะไรไม่ได้!

เห็นดังนั้น ชิงอวี่ก็ก้าวเท้าไปดึงตัวสตรีผู้ช่วยออก อีกมือเอื้อมไปคว้าแจกันเอาไว้ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะข้าง ๆ อย่างเบามือ “หัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อทำเช่นนี้ทำไมกัน? มีเรื่องอะไรถึงบอกพวกข้าดี ๆ ไม่ได้ ต้องเขวี้ยงขาวปาของเหมือนสตรีเช่นนี้?”

จูเก่อฉงได้ยินเสียงนางใบหน้าก็ฉายแววยินดี รีบหันมามอง เมื่อเห็นคนที่อยากเห็นที่สุดก็เอ่ยคำ “แม่นางอวี่ชิงมาสักที”

“หากข้าไม่มา เกรงว่าหัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อคงขว้างของในเรือนออกมาจนหมดแล้ว” ชิงอวี่เอ่ยเสียงผ่านริมฝีปากเกร็งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ได้ยินแล้ว จูเก่อฉงก็มีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ยาก แต่ไม่นานก็สำรวมท่าทีแล้วหัวเราะขึ้น “พวกนี้ข้าเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น….. ข้าเพียงอยากให้แม่นางมา…..”

“อยากให้ข้ามารับใช้ท่านหรือ?” ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมอง “หัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อ ข้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของท่านเจ้าอาราม คอยดูแลท่านเจ้าอารามเป็นพิเศษ ท่านไม่คิดว่าขอมากไปหรือ?”

“แล้วอย่างไร? ข้าเป็นแขก มันเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าทุกคนที่จะต้องดูแลความต้องการของข้าให้ดี รวมถึงการที่ข้าอยากให้เจ้ามารับใช้และรวมถึงต้องมาอุ่นเตียงให้ข้าด้วย” จูเก่อฉงหัวเราะหยัน ใบหน้าบิดเบี้ยว ส่งสายตาชั่วร้ายมองนาง

ยิ่งถูกปฏิเสธ เขายิ่งสนใจ

“อุ่นเตียงให้ท่าน?” ชิงอวี่เลิกคิ้วดูประหลาดใจอยู่บ้าง “ผ่านฤดูหนาวไปนานแล้ว กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อน เหตุใดหัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อยังต้องให้คนอุ่นเตียง? หรือ….. เป็นเพราะไตท่านไม่แข็งแรง จึงทำให้มีร่างกายเปราะบางไม่อาจทนความหนาวได้หรือ?”

รอยยิ้มกว้างของจูเก่อฉงพลันแข็งค้าง

ยัยเด็กนี่ว่าอะไรนะ? ไตไม่แข็งแรง? ร่างกายเปราะบาง!?

นางกล้าพูดพล่ามเช่นนี้เลยหรือ!?

ดูท่าคงต้องให้นางได้ลิ้มรสเสียแล้วว่าเขาแข็งแกร่งสมชายชาตรี ท่วงท่าดีขนาดไหน!

ไม่เช่นนั้นนางคงได้แต่พูดพล่อยเช่นนี้ต่อไปเป็นแน่

จูเก่อฉงยิ้มชั่วร้าย ก่อนก้าวเท้าเข้ามา หมายจะคว้าร่างเด็กสาว ทว่านางกลับถอยหลังไปแล้วถูกโอบเข้าอ้อมกอดแน่นของคนผู้หนึ่ง

จูเก่อฉงจึงคว้าได้เพียงอากาศ

“ฟ้ายังไม่ทันมืด หัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อคิดจะทำอะไรหรือ?”

น้ำเสียงทุ้มน่าหลงใหลดังขึ้นข้างหู ชิงอวี่ที่ถูกวงแขนกอดไว้เงยหน้าขึ้น เห็นสันกรามงามของชายหนุ่ม ผิวเนียนนุ่มราวกับจะส่องประกายออกมา

เห็นว่านางมอง ชายหนุ่มจึงก้มหน้าลง เขาหรี่ตาลงน้อย ๆ ฉายแววอันตราย ริมฝีปากบางเผยอออก ขยับบอกเป็นคำไร้สุ้มเสียง

ข้าจะจัดการเจ้าทีหลัง

ชิงอวี่ “…..”

นางทำอะไรผิดเขาถึงต้องจัดการนาง?

เมื่อเห็นเด็กสาวยอมให้ถูกกอดไม่ขยับสักนิดอยู่ในอ้อมกอดโหลวจวินเหยา จูเก่อฉงจึงรู้สึกโกรธอยู่ในใจ

ทำไม….. เขาถึงพ่ายแพ้ให้คนผู้นี้ในทุกเรื่อง?

ทั้งการบำเพ็ญ ฐานะ หน้าตา และตอนนี้….. ยังจะแย่งสตรีแล้วแพ้อีกหรือ?

เมื่อครู่นางยังดุร้ายกางเล็บใส่เขาอยู่ ทว่าต่อหน้าโหลวจวินเหยากลับเชื่อฟังราวลูกแมวตัวหนึ่งเสียได้

เจ้านั่นมันมีอะไรดีนักหนา!?

จูเก่อฉงยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เขากัดกรามแน่น ก่อนจะกระแทกคำเสียดออกมา “บังเอิญจริง จอมมารอุตส่าห์เดินอ้อมทางมาไกลจนถึงเรือนพักข้าเลยงั้นหรือ?”

ทั้งสองคนไม่รู้ ทว่าชิงลั่วเยี่ยนได้จัดให้ทั้งสองพักอยู่ไกลกัน ด้วยเกรงว่าจะกระทบกระทั่งกันได้ คนหนึ่งอยู่ฝั่งตะวันออก อีกคนอยู่ทางเหนือ แม้อยากจะตีกันก็ต้องเดินสักครึ่งชั่วยามถึงจะพบหน้ากันได้

ได้ยินคำเสียดสีแล้ว โหลวจวินเหยาก็เพียงคลี่ยิ้มบาง “น่าเสียดายที่ข้ามาหาแม่นางน้อยผู้นี้ ไม่คิดว่าจะพบหัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อด้วย เกือบจะได้เห็นทรราชบังคับขืนใจเด็กสาวเสียแล้ว”

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า!?” จูเก่อฉงคำรามเสียงเกรี้ยว

“ข้ามองผิดไปหรือ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ก็ดีแล้วที่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นข้าขอนำตัวนางไปล่ะ”

ว่าแล้วเขาก็โอบร่างชิงอวี่ไว้แล้วทำท่าจะจากไป

“เดี๋ยว!” จูเก่อฉงร้องเสียงดังขึ้น “ข้าเป็นคนเรียกนางมา นางจึงต้องมารับใช้ข้า เจ้าคิดจะทำอะไรกัน คิดจะใช้กำลังชิงนางไปงั้นหรือ?”

โหลวจวินเหยายกยิ้ม “ข้าขอถามสักคำ นางเต็มใจจะไปกับใคร? ก่อนหน้านี้นางเพิ่งบอกว่านางชื่นชอบข้า เพราะฉะนั้นก็คงไม่ต้องถามกระมัง”

“เจ้า…..”

“จบเท่านี้ล่ะ” โหลวจวินเหยาพูดไม่กี่คำแล้วก็หันไปมอง นัยน์งดงามอย่างตาชั่วร้ายสบตาจูเก่อฉง “ความอดทนข้ามีจำกัด ข้าไม่อยากอยู่เล่นกับเจ้าต่อแล้ว”

สายตาสุดท้ายนั่นเย็นชานัก

แม้จูเก่อฉงจะรีบหลบสายตาแล้ว แต่ก็ยังหลบสายตาน้ำแข็งนั่นไม่ทัน เขารู้สึกราวกับเลือดในกายไหลย้อนกลับ เป็นความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก

ตอนที่ได้สติกลับมา โหลวจวินเหยาก็เดินจากไปไกลแล้ว

สตรีผู้ช่วยคนเดิมที่มายังไม่จากไป ทว่าจูเก่อฉงหมดอารมณ์แล้วจึงไล่นางออกไปด้วยความโกรธ ก่อนจะปิดประตูเสียงดังโครม

ที่อีกด้านหนึ่ง หลังจากโหลวจวินเหยาพาชิงอวี่เดินมาไกลจนไม่เห็นเงาคนแล้ว ร่างเขาก็ส่องแสงระยับพริบตาหนึ่งที ก่อนที่ทั้งสองจะพลันปรากฏขึ้นที่เรือนพักของโหลวจวินเหยาทางตอนเหนือในพริบตา

ใช้เวลาอยู่นานชิงอวี่จึงตอบสนองได้ นางจ้องเขานิ่ง “ท่านบ้าไปแล้วหรือ!? พาข้ามาที่นี่ได้อย่างไร? หากถูกใครพบเล่า?”

โหลวจวินเหยาเห็นนางมีท่าทางตกใจ ก็อดยกมือขึ้นหยิกจมูกนางไม่ได้ “เจ้าวางใจ หากข้าไม่อยากให้เห็น ก็ไม่มีใครเห็นอะไรในนี้ทั้งนั้น”

ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็เอ่ยเสียงขุ่น “ท่านก็พูดได้นี่! ทำไมวันนี้จู่ ๆ ท่านถึงทำเช่นนั้น? หากข้ารับบทไม่ทัน ชิงลั่วเยี่ยนคงไล่ข้าออกไปแล้วเพราะคิดว่าข้ามีจุดประสงค์แอบแฝง”

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว” โหลวจวินเหยาว่าพลางจ้องหน้านางด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าบัดซบนั่นมันแตะเนื้อต้องตัวเจ้าต่อหน้าข้า ข้าไม่สังหารเขาตายคาที่ก็นับว่าข้ายั้งใจมากแล้ว”

“ก็แค่แตะโดนมือ…..”

“แตะโดนมือยังไม่มากหรือ? เจ้าเป็นของข้าคนเดียว ผมทุกเส้นของเจ้าก็เป็นของข้า หากใครกล้าแตะต้องเจ้า ข้าจะสังหารมันทิ้ง” โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงอย่างอันตราย นัยน์ตาฉายแววสังหาร

ตอนนี้เขายังไม่สังหารเจ้าจูเก่อฉงนั่น เพราะอีกฝ่ายยังมีประโยชน์ แต่เรื่องจบเมื่อไหร่ เขาเอาชีวิตอีกฝ่ายแน่

ก่อนหน้านี้เจ้านั่นแตะมือชิงอวี่ แต่การกระทำอยากได้ตัวเด็กสาวเช่นนั้น กระทั่งคิดจะใช้กำลังบังคับ เช่นนั้นได้ทำให้เขาเดินอยู่ในหนทางที่ไม่อาจหนีความตายได้แล้ว

เห็นอีกฝ่ายหน้าตาไม่เป็นมิตรแล้ว ชิงอวี่ก็ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างจนใจ ก่อนเอื้อมมือไปไล้ใบหน้าหล่อเหลา เอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยนขึ้น “เอาล่ะ ๆ ท่านอย่าโกรธเลย คนอย่างเขาจะทำร้ายข้ายังนับว่าฝันไกลนัก เห็นไหม ข้าก็ยังสบายดีนี่?”

โหลวจวินเหยาส่งเสียงฮึ่ม คว้ามือนางมากัดด้วยความโกรธ “เด็กดื้อคนนี้ ไปที่ใดก็หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ข้าน่าจะจับเจ้าขังไว้เสียเลยจริง ๆ”

“ข้าไปหว่านเสน่ห์ใครตอนไหน? ชิงอวี่จ้องเขาเขม็ง

นางพูดจบ โหลวจวินเหยาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “ไล่ตามมาตั้งแต่แดนต่ำมาถึงแดนเมฆาสวรรค์ ติดบ่มรักบ่มหลงเจ้าจนสิ้นหวัง ซึ้งใจหรือไม่?”

ชิงอวี่ชะงักไป ไม่เข้าใจที่เขาพูดมา

โหลวจวินเหยาจึงเอ่ยเตือนนาง “นักฆ่าที่เจ้าช่วยไว้เมื่อครั้งนั้น”

เป็นตอนนั้นเองที่ชิงอวี่เข้าใจคำเขา จากกลอกตาจนใจใส่ “คนผู้นั้นปากมากไม่น้อยเชียว…..”