บทที่ 271 บทลงโทษของนาง
บทที่ 271 บทลงโทษของนาง

นางไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ ๆ แต่หมอนั่นกลับเอานางไปฟ้องโหลวจวินเหยาเสียได้

เห็นเด็กสาวขมวดคิ้วสีหน้าไม่พอใจนัก โหลวจวินเหยาก็รู้สึกขบขัน เขาก้มหน้าลงใกล้นาง ลมหายใจอุ่นเข้าใกล้จนจิตใจนางกระเจิดกระเจิงอย่างน่าประหลาด

ชิงอวี่รู้สึกไม่สบายตัวในพลัน นางยื่นแขนออกผลักเขา แต่สุดท้ายกลับถูกชายหนุ่มกุมมือไว้แน่น “อะไรกัน? เจ้าทำผิด ยังกล้ามาโกรธข้าอีกหรือ ข้าคงตามใจเจ้ามากไปกระมัง”

ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็ไม่สนใจว่าเขาอยู่ใกล้ชิดนางเพียงไหนอีก แต่มองหน้าเขาด้วยความฉงนแทน “ข้าทำสิ่งใดผิด?”

ทำไมนางถึงไม่รู้อะไรเลยเล่า?

หรือเจ้าลูกน้องปากมากนั่นไปพูดพล่ามอะไรใส่เขาไว้??

“ยังไม่ยอมรับอีกหรือ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว ยิ่งพูดยิ่งไม่พอใจ “บุรุษอื่นเข้าใกล้เจ้า เจ้าไม่รู้จักอยู่ห่าง ๆ มันผู้นั้นบ้างเลยหรือไร?”

ชิงอวี่จึงเข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องที่ซีจ้านเฉินกอดนาง นางมีสีหน้าจนใจเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าก็ไม่ได้เต็มใจให้เขากอด อีกทั้งก็เป็นเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เขาปล่อยข้าก่อนที่ข้าจะลงมือด้วยซ้ำ เผลอครู่เดียวเขาก็จากไปแล้ว”

นางอยากถามเขาหลายอย่าง แต่เขาก็จากไปเร็วนัก ราวกับมีเรื่องที่ไม่อาจบอกนางได้ ที่เขาตัดสินใจเผยตัวตนเขาก็ใคร่ครวญมานานแล้วหลังลังเลอยู่นาน

ในความคิดนาง นางรู้ว่าหากซีจ้านเฉินอยากบอกอะไร หากมีโอกาสเขาก็จะบอกเอง

นางเกือบลืมมันไปแล้ว แต่คนผู้นี้กลับดื้อดึงไม่ยอมความ

เห็นสีหน้าไม่พอใจเล็ก ๆ ของเขาแล้ว ชิงอวี่ก็ถอนใจ ก่อนคล้องแขนรั้งคอเขาเข้ามา มอบจุมพิตบนริมฝีปากที่เม้มแน่นคราหนึ่ง

เขาผงะไปเล็กน้อย นางจึงเอ่ยปากขึ้น “นั่นไม่เรียกว่ากอดด้วยซ้ำ! ท่านเป็นบุรุษที่ข้าใกล้ชิดมากที่สุด เป็นคนที่ข้ารักมากที่สุด ไม่ว่าบุรุษอื่นจะดีเพียงไหน ข้าก็ไม่ชายตามองหรอก”

เห็นสีหน้าโหลวจวินเหยาค่อยดูพอใจขึ้นบ้าง ชิงอวี่จึงกล่าวต่อ “ฉะนั้นต่อไปหากท่านยังหึงหวงเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีก ข้าจะลงมือทำเรื่องที่ทำให้ท่านได้หึงจริงเสียเลย”

“กล้าหรือ!” โหลวจวินเหยาตวัดสายตาโกรธมองทันที

ชิงอวี่ยกยิ้มเยาะที่มุมปาก “เดี๋ยวท่านก็ได้รู้ว่ากล้าหรือไม่”

เห็นเด็กสาวหน้าจริงจังเช่นนั้น โหลวจวินเหยาก็คลายโกรธลงแล้วรีบเอ่ยกล่อมทันใด “เอาละ ๆ ต่อไปข้าจะไม่โกรธเจ้าด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ถึงจะเป็นเพราะข้าใส่ใจเจ้ามากก็ตามที ใครใช้ให้เจ้างดงาม จนพวกคนสกปรกโสมมทั้งหลายเห็นแล้วไม่อาจละสายตาได้เล่า?”

คำเหล่านั้นมีร่องรอยความเสียใจเคล้าขุ่นใจอย่างหาได้ยาก ทำท่าราวกับอสูรน้อยหวงอาหารของตน บุรุษหนุ่มผู้เย่อหยิ่งจองหองเช่นเขา มีหรือที่จะเผยด้านนี้ให้ใครได้เห็น?

มีแต่ต่อหน้าชิงอวี่เท่านั้นที่เขาจะเผยความน่าเอ็นดูเช่นนี้ออกมา

ชิงอวี่เห็นแล้วขำปนโกรธนัก ตวัดสายตาขุ่นเคืองมอง “ท่านช่างกล้าพูด! ท่านเองก็ไม่ได้ต่างจากข้าหรอก ไปไหนคนก็กล่าวขวัญถึง ท่านดูใบหน้าของท่านนี่ ไม่เพียงแต่จะมีสตรีมากหน้าหลายตามาชอบ กระทั่งบุรุษจำนวนไม่น้อยก็ยังมีความคิดซ่อนเร้นต่อท่าน!”

“เจ้าก็พูดเข้าตัวข้าอยู่เรื่อย นี่เรากำลังพูดถึงเจ้า ทำไมถึงกลายเป็นลากข้าไปด้วย?”

โหลวจวินเหยาหัวเราะออกมาแล้วยื่นมือไปลูบหัวเด็กสาวอย่างจนใจ จากนั้นยื่นหน้าเข้าไปใกล้นางอีก “จูบข้าอีกสักทีสิ”

“ข้าก็เพิ่งจูบไปนี่?” ชิงอวี่ไม่สนใจคำ เอามือดันหน้าเขาออกไป

ทว่าเขากลับใช้วิชาที่มักใช้กับนาง เอาหน้าตาหล่อ ๆ ที่ทั้งคนทั้งเซียนเห็นแล้วยังต้องเคืองมาวางไว้บนมือนางทำท่าใสซื่อ นัยน์ตาสีม่วงราวกับผลึกแก้วใสกะพริบตาปริบ ๆ มองนาง ดูคาดหวังดูออดอ้อนนัก

ชิงอวี่รู้สึกหมดหนทาง ได้แต่ยกมือขึ้นปิดหน้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นจุมพิตที่ริมฝีปากนั่น

ทว่ามันไม่ใช่จูบเบาบางเช่นครั้งก่อน โหลวจวินเหยาคิดจะทำให้นางใจอ่อนยอมแพ้ รอโอกาสที่นางตกหลุมพรางเท่านั้น

ริมฝีปากนางเพิ่งจะแตะโดน โหลวจวินเหยากลับโอบรัดร่างนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ส่งจุมพิตดุดันเร่าร้อนกลับไปจนชิงอวี่รู้สึกราวกับถูกสูบอากาศหมดปอด แก้มนางแดงขึ้นเรื่อย ๆ มือที่จับเอวเขาเริ่มบีบแน่นขึ้น

“อ้าปากแล้วหายใจเสีย”

ผ่านไปหลายอึดใจจึงได้ยินเสียงทุ้มน่าหลงใหลเจือแววขันดังขึ้นที่ข้างหู

ยามเขายอมปล่อยมือ ชิงอวี่ก็หอบหายใจแรง ใบหน้างามแต้มสีชมพูเข้ม นัยน์ตาเรียวยาวฉ่ำน้ำ ดูน่ารักน่าชังอย่างมาก

โหลวจวินเหยารู้สึกใจเต้น อดก้มลงกัดริมฝีปากฉ่ำของนางที่ถูกจูบจนแดงไม่ได้แล้วเอ่ยหยอกขึ้น “พวกเราทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว ไยเจ้ายังสั่นอยู่ตลอดที่ข้าสัมผัสเลยเล่า?”

“ก็ใครจะเก่งกาจเช่นท่าน เจนจัดช่ำชองในเรื่องเช่นนี้ได้เล่า?” ชิงอวี่ว่าพลางตวัดตามอง

โหลวจวินเหยากะพริบตาใสซื่อ “เป็นข้อกล่าวหาผิดนัก บางคนก็เกิดมาแล้วเก่งเลยได้ ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์สักหน่อย”

“ท่านนี่บุ่มบ่ามนัก ที่นี่คืออารามจันทร์กระจ่าง ท่านยังมีท่าทีกับข้าไม่ปกติ ข้าว่าชิงลั่วเยี่ยนคงสงสัยเข้าแล้ว อีกทั้งท่านยังเข้ามาชิงข้าจากจูเก่อฉง เขาต้องเอาไปบอกชิงลั่วเยี่ยนแน่ คงฟ้องว่าท่านคิดลองดีกับสมาพันธ์นักล่าเพียงเพราะสาวใช้คนหนึ่ง…..”

“แล้วอย่างไร?” โหลวจวินเหยาพ่นลมดูถูก “เขาไม่มีค่าพอให้เป็นศัตรูได้ด้วยซ้ำ ข้าเองไม่อยากยุ่งกับเขา แต่เขากลับกล้าหมายตาเจ้า ข้าจึงตัดสินใจแล้วว่าจะรังแกคนอ่อนแอกว่าเช่นเขาคงไม่เป็นไร จะได้รู้ที่ของตนเองเสียบ้าง”

ชิงอวี่ไม่ต่อว่าอะไร เพราะคิดว่าจูเก่อฉงก็น่ารังเกียจเช่นกัน ดังนั้นจะสั่งสอนสักหน่อยก็ไม่เสียหาย

ชิงอวี่จึงหันไปมองท้องฟ้าด้านนอกที่ค่อย ๆ มืดลง “ข้าควรกลับได้แล้ว”

โหลวจวินเหยาคว้าข้อมือนางไว้พลางเลิกคิ้ว “กลับไปทำไม? หากเจ้าขี้ขลาดนั่นมันกลับมารังแกเจ้าอีกเล่า?”

“เขาไม่ทำหรอก ท่านเตือนเขาไปแล้ว มีหรือเขาจะกล้าตามตอแยข้าอีก? ถึงเขาจะยังไม่ยอมแพ้ แต่ข้าก็ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มเช่นกัน” ชิงอวี่ยิ้มปลอบพลางเอ่ยต่อ “ท่านพักผ่อนเถอะ หากไม่พบข้าชิงลั่วเยี่ยนจะสงสัยเอาได้ ข้าไม่อยากให้ที่พยายามมาทั้งหมดต้องสูญเปล่า”

โหลวจวินเหยาจึงยอมปล่อย เอ่ยเตือนเสียงอ่อนโยน “จะทำอะไรก็ระวังด้วย”

“อืม ข้าจะระวัง”

——

นับตั้งแต่ชิงหลานเฟยได้เศษวิญญาณคืนกลับมาทั้งหมด นางก็พบว่าพลังบำเพ็ญฟื้นขึ้นมาเรื่อย ๆ ร่างกายไม่อ่อนแอเช่นกาลก่อนแล้ว

และนางยังกลับมาปัดฝุ่นวิชาแพทย์ที่นางไม่ได้ฝึกมานานหลายปีอีกด้วย

คนที่รู้เรื่องแล้วดีใจที่สุดเห็นจะเป็นไป๋ชิว

เขาอยากให้ชิงหลานเฟยขึ้นยอดเขาใจสงบเป็นตัวแทนจากสำนักเซียนแพทย์ แต่ถูกปฏิเสธไปก่อนหน้าเพราะนางยังไม่แข็งแรง ขึ้นไปอาจเป็นอันตรายได้

แต่เมื่อเห็นอาการชิงหลานเฟยดีวันดีคืน อาจถึงขั้นได้พลังบำเพ็ญขั้นสูงที่เคยมีกลับมา โอกาสที่นางจะสามารถขึ้นยอดเขาใจสงบก็มากขึ้นตามไปด้วย

ยามราตรีมาถึงแล้ว

เดิมทีชิงหลานเฟยกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ แต่กลับผล็อยหลับไปเช่นนั้น

นางสะลึมสะลือมึนงง พบว่าตนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง

นางอยู่ในป่ากว้าง ทั้งห่างไกลทั้งว่างเปล่า ทุกทิศมีหมอกขาวปกคลุม ชิงหลานเฟยลองเยื้องย่างไปสองก้าว แต่เกือบจะเหยียบอากาศแล้วร่วงหล่นสู่ความเวิ้งว้าง นางรีบยกขากลับแล้วยืนนิ่งไม่ไหวติงทันที

ที่นี่ที่ไหนกัน?

ไม่ว่าจะมองทางไหนก็เห็นแต่หมอกขาว ไม่เห็นสิ่งอื่นเลย

นางไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยนัก

“หลานเฟย ในที่สุดเจ้าก็กลับมา…..”

เสียงชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ดังมาจากทิศใดไม่อาจรู้ได้ ชิงหลานเฟยชะงักค้าง ดวงตาลุกลน เหลือบมองรอบกายอย่างระแวดระวัง

เสียงนั่น…..

ใครกัน?

ทำไมมันคุ้นหูนัก? ราวกับเป็นคนที่นางเคยรู้จักด้วยดี

แต่นางกลับจำอะไรไม่ได้เลย

ในตอนที่กำลังจะหาต้นเสียง เสียงนั่นก็ดังขึ้นเบา ๆ อีกครั้ง “เมื่อตอนนั้น แค่เพื่อบุรุษคนเดียว เจ้ายอมสะบั้นความสัมพันธ์กับอาจารย์ ไม่สนใจคำแนะนำของข้า ยอมทิ้งพลังวิญญาณกลายเป็นมนุษย์ ลงไปใช้ชีวิตทุกข์ทนกับบนโลก ตอนนี้เจ้าเสียใจที่เลือกเช่นนั้นหรือยัง?”

เขาพูดอะไรกัน?

สะบั้นสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์อะไร? ยอมทิ้งพลังวิญญาณอะไรกัน??

ทำไมนางฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด?

“เมื่อเป็นมนุษย์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความชรา ความเจ็บป่วย และความตาย สักวันหนึ่งเจ้าก็จะต้องตาย”

ชิงหลานเฟยปวดหัวตุบ ๆ ได้ยินเสียงนั่นทำให้นางรู้สึกวิปโยคนัก นางพยายามสลัดเสียงนั่นออกจากหัว “อย่าพูดอีกเลย ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด และข้าก็ไม่อยากฟัง…..”

“เฮ้อ เจ้ากลายเป็นมนุษย์ไร้ค่าไปแล้วจริง ๆ” เสียงนั่นกล่าวต่อไปอย่างเหยียดหยาม

เขายังเอ่ยเสียงเป็นลางขึ้นอีก “ได้ยินว่าเจ้าคลอดลูกแฝดให้บุรุษผู้นั้น เป็นเด็กชายและหญิงที่มีฝีมือไม่น้อย เช่นนั้น พวกข้าจะถือว่าเอาเด็กแฝดสองคนนั้นมาเป็นแทนกับความผิดที่เจ้าเคยได้ทำในอดีตก็แล้วกัน”

“ใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่กับพวกเขาให้ดีจนกว่าจะถึงวันที่ต้องบอกลาเถอะ! เมื่อยอดเขาใจสงบเปิดออก มันจะเป็นวันที่พวกเขาต้องมาที่นี่”

“สิ่งที่เจ้าติดค้างยอดเขาใจสงบ ลูก ๆ ของเจ้าจะเป็นคนชดใช้…..”

“ไม่— อย่าเอาลูก ๆ ข้าไป!!”

ชิงหลานเฟยกรีดร้องลั่น ตื่นขึ้นมาหน้าซีดเหงื่อกาฬไหลพลั่ก

ม่อจิ่งอวี้พักอยู่ห้องด้านข้าง ได้ยินเสียงนางร้องก็รีบรุดมาหา เห็นนางนั่งหน้าซีดไร้สีเลือด ในใจเขารู้สึกกลัวขึ้นมาทันที รีบเข้าไปโอบร่างเย็นเฉียบของชิงหลานเฟยเอาไว้ “เฟยเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น? ฝันร้ายอีกแล้วหรือ?”

เขายังไม่ลืมว่านางเคยสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเช่นนี้มาก่อน

ชิงหลานเฟยที่เหมือนนัยน์ตาเสียจุดศูนย์กลางการมองเห็น พอได้ยินเสียงเขาก็ตั้งสติได้ นางกอดแขนม่อจิ่งอวี้ไว้แน่นแล้วถามเสียงเป็นกังวล “เสี่ยวเป่ย เสี่ยวเป่ยอยู่ที่ไหน?”

ม่อจิ่งอวี้ได้ยินก็ชะงักไป เอ่ยตอบนางด้วยความสับสน “เสี่ยวเป่ยย่อมต้องพักผ่อนอยู่ในห้องของเขา มีอะไรหรือ?”

“แล้วเสี่ยวอวี่กลับมาหรือยัง?” ชิงหลานเฟยยังถามต่อ

“เจ้าจำไม่ได้หรือ? เสี่ยวอวี่ตอนนี้ติดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่อาจออกมาได้”