บทที่ 272 ไม่อาจหลบหนีโซ่ตรวนแห่งโชคชะตา

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 272 ไม่อาจหลบหนีโซ่ตรวนแห่งโชคชะตา
บทที่ 272 ไม่อาจหลบหนีโซ่ตรวนแห่งโชคชะตา

“อ้อใช่…..”

ชิงหลานเฟยที่เกร็งไปทั้งร่างเริ่มคลายลงเล็กน้อย

ม่อจิ่งอวี้ยังมุ่นคิ้วแน่น เห็นนางนั่งเหงื่ออาบร่างเช่นนี้จึงเอ่ยถามเสียงทุ้ม “เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องที่บอกข้าไม่ได้หรือ?”

“เปล่า แค่ฝันร้ายเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” ชิงหลานเฟยส่ายหน้าคลี่ยิ้ม แต่หน้านางซีดขาวเช่นนั้นจึงเหมือนยิ้มออกมาฝืน ๆ

“คิดจะบอกปัดเช่นนี้หรือ? รู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว?! ถึงจะเป็นแค่ฝันร้าย แต่ฝันร้ายซ้ำเดิมติดต่อกันนานเช่นนี้ได้อย่างไร?”

ม่อจิ่งอวี้ไม่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับนางบ่อยนัก ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้ไร้แววยิ้ม

“เพราะงั้นบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น? เจ้าถามถึงลูก ๆ หรือพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย?”

แม้ปกติม่อจิ่งอวี้จะดูไม่จริงจังนัก แต่ก็เข้าใจชิงหลานเฟยที่สุด ดังนั้นเขาเห็นท่าทางนางจึงพอจะคาดเดาออก

เป็นไปดังคาด สิ้นคำม่อจิ่งอวี้ ม่านตาของชิงหลานเฟยหดลงเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวซีดยิ่งซีดลงอีก ทำให้ดูอ่อนแอยิ่งนัก

“จิ่งอวี้ ท่านอย่าถามข้าเลย…..”

ชิงหลานเฟยพลันสะอื้นขึ้นมา นางก้มหน้าลงต่ำยกมือขึ้นปิดหน้า ไหล่สะท้านน้อย ๆ ราวกับกำลังเศร้าใจนัก

“ข้าไม่รู้จริง ๆ….. ว่าจะทำอย่างไร ทำไมพวกเขาถึงกลับคำได้? เขาบอกจะปล่อยข้าไปแล้วแท้ ๆ….. ทำไมต้องคิดจะลงโทษแก้วตาดวงใจของข้าด้วย…..”

ชิงหลานเฟยพูดไปก็สะอื้นเสียงเบา นางเป็นสตรีใจแข็ง น้อยครั้งที่จะเสียน้ำตา แต่ตอนนี้กลับมีน้ำตาไหลออกจากสองมือที่ปิดหน้าแล้วหยดลงบนเตียง

ม่อจิ่งอวี้เห็นแล้วปวดใจ ดึงนางเข้ามากอดแน่น เอ่ยเสียงปลอบโยนนาง “เสี่ยวเฟยเอ๋อร์คนดี อย่าร้องอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นอะไรเราจะเผชิญมันไปด้วยกัน ทำไมเจ้าต้องแบกรับอยู่คนเดียวเล่า? เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ…..”

ชิงหลานเฟยร้องสะอื้นเบา ๆ อีกอึดใจหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้น นางหยุดร้องแล้ว ทว่านัยน์ตางามยังบวมและแดงฉานจนน่ากลัว ก่อนนางจะหัวเราะเสียงแผ่ว เอ่ยเสียงแหบแต้มความจนใจสิ้นหวังออกมา

“ข้าย่อมเชื่อใจท่าน ข้าเชื่อมาตลอด”

“แต่จิ่งอวี้ ท่านรู้หรือไม่? ไม่ว่าจะแกร่งเพียงไหนก็ยังมีสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อยู่ ไม่ว่าจะมีอำนาจมีพลังในดินแดนใดสักเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้”

ม่อจิ่งอวี้มองนางหน้าตาอึ้งไป “เจ้าคิดจะพูดอะไร?”

ชิงหลานเฟยหลุบตาลง ใช้เวลาอยู่นานก่อนจะเปล่งเสียงขึ้นช้า ๆ “อย่างไรเราก็เป็นเพียงมนุษย์ ไม่อาจต้านทานพลังที่เหนือกว่าพวกเราได้”

“พลังที่เจ้าว่า….. มันคืออะไร?” ม่อจิ่งอวี้รู้สึกว่าคำที่ชิงหลานเฟยกำลังจะกล่าวอาจเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจคาดถึง เป็นสิ่งเหนือจินตนาการก็เป็นได้

“ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าตอนแรกทำไมท่านถึงไล่ตื๊อข้าไม่หยุด?” ชิงหลานเฟยเงยหน้าขึ้นจ้องตา “เป็นเพราะครานั้นท่านเป็นจอมยุทธ์ที่ล้ำเลิศที่สุดบนแดนเมฆาสวรรค์ แต่กลับถูกหญิงสาวคนหนึ่งโค่นล้มได้”

เขาแพ้หนักหน่วงนัก ไม่ถึงสิบกระบวนท่าก็ถูกซัดเสียหมอบ

ม่อจิ่งอวี้ชะงักไปน้อย ๆ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเอ่ยขึ้นมา แต่ก็ยังพยักหน้ารับ

เขาย่อมจำได้ เขากระทั่งเคืองใจอยู่นาน เขาเคยนึกสงสัยว่าพลังตนเองเสื่อมถอยลงหรืออย่างไรจึงแพ้ให้หญิงสาวผู้หนึ่งได้เช่นนั้น

แต่เพราะแพ้อย่างหมดรูปเช่นนั้นเขาจึงเริ่มสนใจนางขึ้นมา จนสุดท้ายก็กลายเป็นความรักความสิเน่หาต่อนาง

แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ถึงขั้นกลับไปลองทดสอบฝีมือตนเองอย่างถี่ถ้วน ผลคือพลังไม่ได้ถดถอยลงสักนิดเดียว

เขามีพรสวรรค์น่าเหลือเชื่อ อยู่เหนือคนส่วนมาก ยามฝึกก็มุ่งมั่นซื่อตรง ทำให้พลังบำเพ็ญรุดหน้าไปโดยเร็ว ทั้งยังเคยท้าประลองกับจอมยุทธ์ทรงพลังบนแดนเมฆาสวรรค์มาแล้วเกือบทุกคน เอาชนะมาโดยตลอด ทำให้ได้สมญานามจอมยุทธ์ที่เก่งกล้าที่สุดบนแดนมา

ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายเขาจะพ่ายแพ้ให้หญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

ได้แต่จิตนาการว่าชิงหลานเฟยในตอนนั้นน่ากลัวเพียงไหน กระทั่งม่อจิ่งอวี้ที่แกร่งราวกับคนคลั่งยังเทียบนางไม่ได้

เขากระทั่งสงสัยว่าชิงหลานเฟยอาจดื่มยาที่ช่วยเพิ่มพลังบำเพ็ญมาหรือไม่ หรืออาจจะกินยาชั่วร้ายอันใดที่ต้องแลกมาด้วยของที่เทียบเท่ากันลงไปเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังมหาศาลหรืออย่างไร

แต่ความจริงก็คือพลังบำเพ็ญที่ทรงพลังจนน่ากลัวของชิงหลานเฟยนั้นเป็นของจริงไร้เล่ห์กลใด เป็นพลังของนางจริงแท้ทุกประการ

ชิงหลานเฟยเห็นเขาตกลงสู่ห้วงอดีตก็คลี่ยิ้มหัวเราะเบา ๆ ก่อนว่าต่อ “แล้วก็เรื่องที่ข้าไม่เคยป่วยหรือบาดเจ็บมาก่อนอีก? ถึงจะไปได้แผลอะไรมา ไม่นานข้าก็จะหายดี”

“เรื่องนั้นข้ารู้ ก็เพราะคุณสมบัติเฉพาะตัวของธาตุเปลวอัคคี” ม่อจิ่งอวี้ตอบ

“จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพราะธาตุเปลวอัคคีทั้งหมดหรอก” ชิงหลานเฟยยื่นมือออกมา สีหน้าดูเยาะเย้ยตนเองชอบกล “แต่ข้าในตอนนี้ไร้ธาตุเปลวอัคคีแล้ว อ่อนแอต่อโรคต่อบาดแผล ย่อมหลังเลือดย่อมตายได้ พลังบำเพ็ญก็ไม่เหมือนเช่นเมื่อก่อน จิ่งอวี้ ท่านรู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร?”

ได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้น ม่อจิ่งอวี้จึงเข้าใจ ใช่ว่าร้อยปีก่อน ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องร้ายขึ้นก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ เกิดขึ้นบ้างแล้ว

เช่นเรื่องที่นางได้แผลแต่กลับหายในพริบตา ทั้งยังวิชาแกร่งเหนือขีดจำกัดมนุษย์ ราวกับว่านางถือครองพลังอำนาจที่ไม่ควรมีอยู่ในใต้หล้านี้

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่รู้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ พวกเขาก็ล้อเล่นกัน ลอบโจมตีเล่นกัน ทั้งนางยังหลบเขาไม่ทันอีกด้วย

ยังมีอีกครั้งหนึ่งตอนนี้นางไข้ขึ้นกลางดึก ใช้เวลาสองคืนเต็มไข้จึงจะลด ป่วยครานั้นทำให้นางผอมลง ตัวซีดเซียวทีเดียว

ครานั้นเขายังเอ่ยหยอกนางเล่นไม่ได้คิดอะไรมากมาย

เมื่อลองนึกย้อนไปแล้ว เรื่องทั้งหมดกลับทำให้รู้สึกสงสัย ทำไมจู่ ๆ นางถึงอ่อนแอลงได้?

“ขุมพลังหลักทั้งห้าแห่งแดนเมฆาสวรรค์อาจจะแกร่งกล้าทรงพลังนัก แต่ไม่ว่าจะแกร่งเพียงไรก็ยังสู้พลังเซียนไม่ได้”

“ผู้คนมิล่วงรู้เลย ว่าสถานที่ที่ว่ากันว่าเป็นแดนเซียนศักดิ์สิทธิ์นั้น แท้จริงแล้วเป็นนรกที่กุมอำนาจเหนือโลกา เป็นที่ที่ไม่ว่าใครถูกเลือกให้ไปจะไม่อาจหลบหนีออกมาได้อีก”

ยามสิ้นคำพูดสิ้นหวังของชิงหลานเฟย ม่อจิ่งอวี้พลันเบิกตากว้างแล้วเอ่ยถามเสียงไม่อยากเชื่อ “เจ้าพูดถึง….. ยอดเขาใจสงบหรือ?”

“ใช่” ชิงหลานเฟยพยักหน้า “ข้ามาจากที่นั่น”

“แต่เจ้าเป็นธิดาของพระเจ้าแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์นี่…..”

“ใช่แล้ว แต่ข้าก็เป็นเครื่องสังเวยที่ถูกเลือกไปยังยอดเขาใจสงบด้วย” ชิงหลานเฟยหัวเราะขื่น “เพราะข้ามีธาตุเปลวอัคคี กลายพันธุ์ มีประโยชน์ต่อพวกเขา ดังนั้นเกิดได้ไม่นานจึงถูกยอดเขาใจสงบเอาตัวไป กลับมาก็ตอนอายุได้สิบขวบเท่านั้น”

“ในช่วงนั้น พวกเขาหาตัวแทนมาอาศัยอยู่ในอารามศักดิ์สิทธิ์แทนข้าถึงสิบปีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย”

กล่าวถึงตรงนี้ ชิงหลานเฟยก็ถอนหายใจยาว “ในใจลึก ๆ ข้ารู้ชะตาตนเองดี นิสัยข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเย็นชาเย่อหยิ่ง เหินห่างกับผู้คน แต่แล้ว….. ข้าก็พบท่าน ซึ่งทำให้ข้าเปลี่ยนความคิดไป”

“ข้าถูกคนบนยอดเขาใจสงบควบคุมอยู่ตลอด พวกเขารู้ทุกย่างก้าวและการกระทำของข้าดี ทั้งยังมุ่งความสนใจไปที่ธาตุเปลวอัคคีในกายข้า จนกระทั่ง….. ถึงตอนที่ข้ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่าน”

พลังธาตุเปลวอัคคีจะสมบูรณ์ที่สุดก็ตอนที่ร่างยังไร้มลทิน มันมักเหมาะกับสตรีมากกว่าบุรุษ ทั้งวิชายุทธ์ที่นางบำเพ็ญยังต้องรักษาร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์เพื่อร่ำเรียน

ยอดเขาใจสงบสกัดเอาเลือดที่มีพลังธาตุเปลวอัคคีจากนางไป ใช้วิธีลับเพื่อฉีดมันเข้าร่างจอมยุทธ์ทรงพลังคนอื่น ๆ ทำให้อีกฝ่ายมีความสามารถในการฟื้นฟูรวดเร็วเช่นกัน แม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็รักษาชีวิตไว้ได้

พวกเขาฟูมฟักนางมาหลายปี แต่นางกลับทำลายแผนการของพวกเขา ไม่คิดว่าพออายุถึงคราเป็นผู้ใหญ่ก็จะเสียความบริสุทธิ์ไป เมื่อนางมีมลทินแล้ว จึงเป็นที่แน่ชัดว่าพวกเขาได้ทอดทิ้งนางแล้ว

นางควรถูกสังหารทิ้งเสีย ทว่าสุดท้ายอาจารย์ก็ไม่เอาชีวิตนางอย่างเหี้ยมโหด เพียงแต่ริบเอาพลังเซียนที่นางได้จากยอดเขาใจสงบและล้างความทรงจำในช่วงสิบปีไปเท่านั้น

แต่นั้นมา นางก็เป็นเพียงองค์หญิงสิบเอ็ดแห่งอารามจันทร์กระจ่าง ทุกอย่างในอดีตไม่เกี่ยวข้องกับนางอีก ทั้งนางยังจำอะไรไม่ได้สักนิด

เดิมทีนางคิดว่านางจะสามารถใช้ชีวิตสุขสงบได้ แต่ก็ยังไม่อาจหลีกหนีโชคชะตานี้ คำสาปธาตุเปลวอัคคีได้สืบเชื้อสายต่อไปยังลูกแฝดของนาง

นางไม่มีวันลืมสิ่งที่อาจารย์บอกในฝัน ว่าธาตุเปลวอัคคีที่ลูกสาวนางมีนั้นทั้งทรงพลังและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าของนาง ต้องเป็นหุ่นเชิดที่ดีกว่าได้แน่นอน

นางจะให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?

มีหรือนางจะนั่งดูลูกของนางต้องประสบกับชะตากรรมร้ายเช่นเดียวกับที่นางเคยผ่านมาแล้ว!?

ชิงหลานเฟยกำมือแน่น เมื่อเล่าที่มาที่ไปของเรื่องที่กำลังจะเกิดด้วยขอบตาแดงก่ำ

ม่อจิ่งอวี้นั่งฟังชิงหลานเฟยเอ่ยคำเงียบ ๆ จากนั้นเขาจึงสบตานาง กุมหลังมือเย็นเฉียบของนางเอาไว้แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เฟยเอ๋อร์ เจ้าเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่?”

ชิงหลานเฟยอ้าปากราวกับอยากพูด ทว่าไร้เสียงกล่าวออกมา

“ไม่ว่ามันจะจบอย่างไร ข้าก็ไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาอยู่แล้ว ไม่เคยสักครั้ง เพราะคนเรานั้นย่อมต้องคุมชะตาตนเองได้”

ม่อจิ่งอวี้จ้องมองหญิงสาวที่ดูสับสนหลงทาง ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา “เจ้าอย่าห่วง จะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นทั้งนั้น เราทั้งคู่เคยตายมาคราหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวได้อีก หากเรายังมีลมหายใจ จะไม่มีใครหรือพลังอำนาจใดมาแยกครอบครัวเราออกจากกันได้”

“ข้าเชื่อว่าลูก ๆ เองก็ต้องไม่กลัวมันแน่ พวกเขาก็กล้าหาญเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” ม่อจิ่งอวี้ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากหางตานาง

ชิงหลานเฟยจ้องนัยน์ตาอ่อนโยนของเขาแล้วในใจรู้สึกบีบคั้น นางโผกอดเขาแน่น ฝังใบหน้าลงกับอ้อมแขนเขา น้ำเสียงแผ่วเบาแต่กลับมุ่งมั่นหนักแน่นพลันเอ่ย

“จิ่งอวี้ เรื่องหนึ่งที่ข้าจะไม่มีวันเสียใจในชีวิตของข้าคือการได้ตกหลุมรักท่าน ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับท่าน”

ม่อจิ่งอวี้ก้มลงจูบกระหม่อมนางแผ่วเบา แพขนตาหนาของหลุบลงปิดดวงตา ปิดบังความอ่อนโยนความรักลึกล้ำเอาไว้

“ข้าได้ยืนเคียงข้างชิงหลานเฟยเช่นนี้ ในชีวิตนี้ของข้าก็นับว่ามากพอแล้ว”