บทที่ 243 สูญเสียกำลังภายในไปกว่าครึ่ง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 243 สูญเสียกำลังภายในไปกว่าครึ่ง

“ดูนู้นเร็ว มาแล้วๆ”

ทว่า!

ทุกๆคนก็ต่างถูกหลอกตา เพราะที่ประตูทางเข้าวังไม่มีแม้แต่เงาของเทพธิดา

เป็นเพราะหมอกหนาเกินไปงั้นรึ?

หรือว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะมองไม่เห็น?

ทุกคนตกอยู่ในความงุนงง ทันใดนั้นในฝูงชนก็เริ่มเจี๊ยวจ๊าว ไม่รู้ว่าผู้ใดพูดออกมาว่า “บนกำแพงเมือง” ในขณะเดียวกัน ผู้คนต่างก็มองไปบนกำแพงเมือง

ณ บนกำแพงเมือง แสงสลัวท่ามกลางหมอกควัน ก็มีรถม้าแสนสวยอันโอ่อ่าที่น่าหลงใหล เหาะลงมาจากบนกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว

ความรู้สึกเหมือนดั่งว่าเหาะลงมาจากฟากฟ้ายังไงยังงั้น ทำเอาผู้คนต่างอ้าปากค้างไปโดยปริยาย……

รถม้าถูกล้อมรอบด้วยผ้าโปร่งแสงสีแดงอยู่รอบคันรถ พวกมันพลิ้วไสวไปกับสายลมดั่งมนต์มายาท่ามกลางสายหมอก

ในส่วนของผู้ควบคุมม้าบนรถม้านั้น เป็นชายหนุ่มสองคนสวมหน้ากากปกปิดครึ่งใบหน้า พวกเขาทั้งคู่ใส่ชุดสีเดียวกัน แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ทำเอาผู้คนที่มองอยู่รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของพวกเขาในทันที ยังไงก็ไม่ธรรมดาแน่ๆ

ไร้สาระ!

เป็นถึงคนข้างกายของเทพธิดา จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไรกัน?

มันทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอกันยิ่งกว่าเดิม

ว่าเทพธิดาจะมีรูปลักษณ์อย่างไร?

ไม่นานนักรถม้าสีแดงก็จอดลงบนพื้น หมอกควันโดยรอบค่อยๆฟุ้งกระจาย……

ดุจดั่งภาพในความฝัน ทำเอาผู้คนต่างตื่นเต้นแทบจะรอไม่ไหว พวกเขาต่างเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆว่าเทพธิดานั้นมาประทานพรจริงๆ เช่นนั้นหลายคนจึงเริ่มก้มหน้าก้มตานมัสการไปตามๆกัน

“เทพธิดาทรงเสด็จ เทพธิดาทรงเสด็จ เทพธิดาทรงเสด็จ…”

แต่ว่า!

หลานเยาเยาที่นั่งอยู่บนรถม้า ได้มีใบหน้าที่ผิดรูปไป

คิดว่าการสร้างภาพให้มีมนต์ขลังมันง่ายงั้นรึ?

คิดว่ารถม้ามันเหาะได้จริงๆงั้นสิ?

บ้าบอ!

ในขณะที่อยู่นอกกำแพงเมือง หลานเยาเยาได้ใช้หลักการโยกคันเร่ง โดยให้ตาแก่ยิงตัวรถม้าข้ามกำแพงเมืองมา แล้วให้จื่อซีกับจื่อเฟิงใช้กำลังภายในพยุงรถม้าเอาไว้ ถึงได้จอดลงบนพื้นอย่างราบรื่น

เพียงแต่……

ในขณะที่รถม้ากำลังจะลงจอดนั้น ก็ได้ทำให้นางกระเด้งกระดอน ส่วนต่างๆภายในร่างกายขยับเขยื้อนเล็กน้อย นางปิดปากสนิทมิให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา จะได้ไม่เป็นพิรุธ

คิดว่าเป็นนางมันง่ายไหมล่ะ?

แต่เพื่อให้สิ่งต่างๆออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ นางจึงได้ทุ่มอย่างสุดตัว

เช่นนั้น!

อย่ามองที่ภาพพจน์อันเปล่งประกายงดงามของนาง รวมไปถึงการยกย่องของคนนับหมื่น แต่ดูแค่เบื้องหลัง ความโศกเศร้าและความทุ่มเทของนางจะมีผู้ใดรับรู้ได้?

“ขอประทานอภัย ด้านในรถม้านั้นเป็นเทพธิดาใช่หรือไม่?” เสียงใสดั่งหินหยกดังเข้ามา

หลานเยาเยาเลิกคิ้วขึ้น

นางรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างมาก นอกจากรัชทายาทเย่หลีเฉินแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้อีก?

“ใช่แล้ว!”

คนที่ตอบเขาก็คือจื่อซี

“สามารถเผยรูปลักษณ์แก่ประชาราษฎร์ได้หรือไม่? ในวันข้างหน้าหากเทพธิดาออกมาเที่ยวเล่น เกรงว่าราษฎรแห่งประเทศก่วงส้าจักละเลยเทพธิดาเอาได้”

อย่าว่าแต่พวกคนธรรมดา เย่หลีเฉินเองก็อยากจะเห็นรูปลักษณ์อันแท้จริงของเทพธิดามากเหมือนกัน

เขาพูดเช่นนี้ก็มีจุดประสงค์แฝงอยู่

ประการแรกคือ เทพธิดาที่พวกเขามารับเป็นเทพธิดาตัวจริง มิใช่เป็นผู้ใดแอบแฝงมา

ประการที่สอง คือเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง

ในประเทศอื่น ที่เทพธิดาเคยไปปรากฏตัว ผู้คนต่างขอให้จิตรกรวาดภาพร่างของเทพธิดาออกมา และบูชาอย่างเทพเจ้า

ถึงแม้ว่าเทพธิดาจะไม่เคยมายังประเทศก่วงส้า แต่พวกเขาก็เคยเห็นภาพร่างกันมาก่อนแล้ว

ก่อนจะมาต้อนรับเทพธิดา ในมือของพวกเขาต่างมีภาพร่าง จดจำคนในภาพได้อย่างขึ้นใจ จึงสามารถแยกแยะข้อเท็จจริงได้

จื่อซีเผยสีหน้าไม่พอใจ

จากนั้นก็หันศีรษะเล็กน้อย พลางถามผ่านผ้าโปร่งแสงสีแดงว่า: “คุณหนู?”

“ไม่เป็นไร องค์รัชทายาทกำลังสงสัยในตัวตนของข้า เผยโฉมเสียหน่อยจะเป็นกระไรไป?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

เย่หลีเฉินก็รู้สึกอึดอัดใจ

เขาไม่คิดว่าเทพธิดาจะพูดความคิดของเขาออกมาดื้อๆเช่นนี้

ทั้งยังรู้ด้วยว่าเขานั้นเป็นรัชทายาท

ทุกคนไม่ได้คิดว่าที่เทพธิดาพูดออกมาจะจริงหรือเท็จ เพียงได้ยินเทพธิดาพูดออกปากมาด้วยตัวเอง พวกเขาก็ยิ่งเชื่อกันเข้าไปใหญ่ ว่าเทพธิดาที่พวกเขากำลังมองอยู่นั้นเป็นเทพธิดาตัวจริง จริงแท้อย่างแน่นอน

ส่วนรัชทายาทนั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดสิ่งใดออกมา แต่ในใจลึกๆก็รู้สึก ว่าการกระทำของพระองค์เป็นการดูหมิ่นเทพธิดา

เช่นนั้น!

สายตาของทุกๆคนจึงแปรเปลี่ยนไป

“อะแฮ่มๆ…”

เย่หลีเฉินยิ่งอึดอัดใจเข้าไปใหญ่

สาบานกับตัวเองเลยว่า ต่อจากนี้ไปเรื่องพวกนี้ จะให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเป็นผู้มาถาม เช่นนี้ก็จะไม่เป็นการเสียหน้าอีก

แต่ว่า การถามของรัชทายาท ก็ไม่ได้มีผลอันใดต่อแรงปรารถนาของพวกเขา ที่อยากจะเห็นรูปลักษณ์อันแท้จริงของเทพธิดา

จากนั้นผ้าโปร่งแสงสีแดงก็ถูกเปิดออก หลานเยาเยาในชุดสีแดงฉานปรากฏกายต่อหน้าทุกๆคน

ผมยาวสีดำขลับอันเงางาม สยายพลิ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาติ……

คนทั้งเมืองต่างหลงใหลไปกับใบหน้าอันงดงาม ดั่งดอกไม้ผลิบานที่ดึงดูดสายตา……

อีกทั้งยังมีเนื้อหนังมังสาที่เปล่งปลั่งดั่งผิวหยก……

เพียบพร้อมด้วยเสน่ห์อันสูงส่งของเรือนร่างนั้น………

“ว้าว……”

ทุกคนต่างตกตะลึงกับใบหน้านวลลออ ที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเคียงได้ของหลานเยาเยา

มีเพียงเทพธิดาผู้เดียวเท่านั้นที่ครอบครองความงามเช่นนี้อยู่บนโลก

เย่หลีเฉินอดไม่ได้ที่จะมึนงงเล็กน้อย

ไม่คิดว่า……เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือโลกหล้ายังมียอดคน!

เขาเคยคิดว่า ถังมู่หวั่นผู้งดงามเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง คือหญิงสาวที่สวยที่สุดในปฐพี

แต่หลานเยาเยาที่คิดมาตลอดว่าเป็นคนน่าเกลียดที่สุด เมื่อได้เติมแต่งแล้ว ดันสวยกว่าถังมู่หวั่นเป็นไหนๆ

และในเพลานี้……

เทพธิดาองค์นี้ ความงามของนางก็ทำให้ทั้งโลกได้ตกตะลึง……

“ไปกันเถอะ!”

เสียงไพเราะละมุนละไมของหลานเยาเยาดังขึ้นเรียบๆ เย่หลีเฉินจึงได้สติ

จากนั้นก็รีบสั่งจัดการเปิดทาง ให้เทพธิดานำไป

ท่ามกลางแววตาของคนนับหมื่น รถม้าของเทพธิดาก็ค่อยๆเคลื่อนไปทางพระราชวัง

ริมถนน ภายในห้องส่วนตัวของร้านอาหาร มีชายสองคนกำลังนั่งดื่มกันอยู่ริมหน้าต่าง คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวที่ดูอ่อนโยน อีกคนสวมเสื้อคลุมสีดำงามสง่าดั่งทวยเทพ

“เป็นนางงั้นรึ?!”

ชายชุดดำที่เหมือนดั่งทวยเทพ จริงๆแล้วก็คืออ๋องเย่แจ๋หยิ่งผู้ทรงอำนาจ ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามกับเขา ก็คือเซียวจิ่นหยูผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าพระยาซื่อสัตย์

“เจ้ารู้จักนางรึ?”

เสียงละมุนดังขึ้น เซียวจิ่นหยูอดไม่ได้ที่จะสงสัย

นางผู้นี้ ชี้ไปที่เทพธิดา

เย่แจ๋หยิ่ง “อือ” ออกมาเรียบๆ

มากกว่าแค่รู้จัก?

หวนนึกถึงการพบกันครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเทพธิดา ได้ล้มลงมาตรงหน้าเขา ทั้งผลไม้และติ่มซำต่างหกหล่นลงมาจากอ้อมแขน กระจัดกระจายไปทั่ว……

ท่าทีแบบนั้นช่างดูน่ารัก……

น่ารักรึ?

เมื่อนึกถึงคำสองคำนี้ เย่แจ๋หยิ่งก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

เมื่อเห็นเซียวจิ่นหยู กลับขมวดคิ้วและพูดอย่างคลุมเครือว่า: “เจ้าคงจะดูไม่ออก ว่าดวงตาของนางนั้นเหมือนคนคนหนึ่ง”

“ผู้ใดรึ?”

“หลานเยาเยาไง!” เซียวจิ่นหยู่จ้องไปยังดวงตาที่เย็นชาของเย่แจ๋หยิ่งพลางพูดว่า

“หลานเยาเยา? อ่า หลานเยาเยาอีกแล้วสินะ” แววตาของเย่แจ๋หยิ่งปรากฏความหงุดหงิดออกมา

หลานเยาเยาคนนั้นเป็นผู้ใดกันแน่?

เหตุใดคนที่เขารู้สึกไม่ประทับใจ เย่หลีเฉินและเซียวจิ่นหยูถึงได้สนใจมากถึงเพียงนี้?

“นางเป็นพระชายาของเจ้า ที่เจ้าเคย……”

“พอละ เซียวจิ่นหยู ในเมื่อนางเป็นพระชายาของข้า เจ้าจะสนใจนางมากมายไปใย? หรือว่าเจ้าก็ชื่นชมพระชายาของข้าด้วยเช่นกัน?”

เสียงดัง “ปัง”

เย่แจ๋หยิ่งกระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง ขัดจังหวะของเซียวจิ่นหยู

“ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะลืมไปแล้วจริงๆ”

น้ำเสียงของเซียวจิ่นหยูมีความสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า สาเหตุที่เย่แจ๋หยิ่งลืมหลานเยาเยาได้ ก็เพราะว่าคนคนนั้นกลับมา เขาจึงจงใจทำเป็นลืม และให้หลานเยาเยาแกล้งตาย

แต่ว่า……

ดูเหมือนในเพลานี้ หลานเยาเยาจะตายจากไปแล้วจริงๆ

จากที่พยายามมานับครั้งไม่ถ้วน สิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อ มันก็ดันกลายเป็นความจริง

ในใจไม่สามารถยับยั้งความกระอักกระอ่วนได้

“ก็เป็นแค่หญิงสาวผู้หนึ่ง ลืมไปแล้วก็ลืมไปเถอะ” เรื่องที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจ เย่แจ๋หยิ่งก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องเอามาพูดซ้ำๆ

สุดท้าย……ก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ตายจากไป

เมื่อเห็นเย่แจ๋หยิ่งเงียบไป เซียวจิ่นหยูก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องของหลานเยาเยาอีก

จากนั้นก็ถามขึ้น: “ได้ยินโม่เหลียงเฉินบอกว่า เจ้าสูญเสียกำลังภายในไปกว่าครึ่ง และในเพลานี้ก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้งั้นรึ?