บทที่ 244 ชักจะผยองเกินไปเสียแล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 244 ชักจะผยองเกินไปเสียแล้ว

ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา

ใบหน้าของเย่แจ๋หยิ่งก็ก้มต่ำลง พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้า

“หึ เขาก็ช่างกล้า”

การไปยังชนเผ่าชายฝั่ง องครักษ์ลับที่เขาพาไป ไม่มีรอดกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว ชนเผ่าชายฝั่งก็โดนสังหารหมู่ หุบเขาจิ้นก็โดนไฟไหม้จนไม่เหลือซาก

อีกทั้งเขากลับเสียกำลังภายในไปกว่าครึ่ง ทั้งยังลืมเรื่องบางเรื่องไปแล้ว……

บางที เรื่องเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอันใด

เพราะว่า เรื่องที่สำคัญที่สุด เขานั้นยังคงจดจำได้

“คงจะจริง” เซียวจิ่นหยูไม่ได้อยากจะถามเย่แจ๋หยิ่งต่อเรื่องการสูญเสียกำลังภายใน ถึงแม้จะอยากรู้ก็ตามที แต่ก็ไม่อยากจะถามมากมายนัก เพราะถามไปเย่แจ๋หยิ่งก็คงจะไม่ตอบ

“แล้วจากนี้……เจ้าจักทำเช่นไรต่อไป? ข้าผู้เป็นหมากตัวนี้ยังมีประโยชน์ใดอยู่หรือไม่?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

เย่แจ๋หยิ่งก็เหลือบมองเขา

“อีกไม่นาน เจ้าก็จะเป็นอิสระ”

“ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น!”

ผ่านไปไม่นาน เซียวจิ่นหยูก็จากไปทั้งๆที่ยังดื่มชาไม่หมด

เซียวจิ่นหยูไปแล้ว โม่เหลียงเฉินจึงเดินออกมาจากความมืดด้วยความทรงสงสัยอันล้นหลาม

“เทพธิดาเข้าพระราชวังไปแล้ว แล้วเจ้าไม่ไปที่ราชสำนักรึ?”

“ข้ายังไม่ได้ไปเหยียบเมืองหลวงเลย!” เสียงที่สุขุมนุ่มลึกดังขึ้น

เย่แจ๋หยิ่งจิบชา พลางมองดูท้องถนนที่ผู้คนได้แยกย้ายกันไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

“ก็ใช่ พูดในมุมของฮ่องเต้ พระองค์ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ากลับมาแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเจ้ากลับมา ในเพลานี้เขาก็ไม่สนใจเจ้าอยู่ดี”

เทพธิดาเป็นดั่งตัวช่วยอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้

ยังไงซะพระองค์ก็ไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปเป็นแน่ มิเช่นนั้นวันนี้พระองค์คงไม่ให้รัชทายาทหัวแก้วหัวแหวนของพระองค์มาต้อนรับเองหรอก”

“อือ! แล้วเรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจดูเป็นเช่นไรบ้าง?”

เมื่อนึกถึงเรื่องที่เย่แจ๋หยิ่งให้เขาไปตรวจดู โม่เหลียงเฉินก็ขมวดคิ้วในทันที พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เทพธิดาองค์นี้ ไม่สามารถตามร่องรอยได้ เหมือนอยู่ๆนางก็โผล่มา ปรากฏตัวครั้งหนึ่งก็ทำเอาตกตะลึงกันไปทั้งเมือง”

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่ที่เทพธิดาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก ผู้คนที่พบเห็นนางต่างพูดกันว่านางเป็นดั่งมังกรที่เห็นหัวแต่มิเห็นหาง หลังจากจบกงการอันยิ่งใหญ่ก็จะหายลับไป

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นช่างลึกลับ ซึ่งมันก็คือสิ่งที่ควรจะเป็น

ดังนั้น!

เทพธิดาองค์นี้ จะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน

“ไม่สามารถตามร่องรอยได้งั้นรึ? ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินนางต่ำไป” เย่แจ๋หยิ่งเลื่อนสายตามายังถ้วยน้ำชา พร้อมใช้ปลายนิ้วถูถ้วยน้ำชาเบาๆ

“มักจะมีเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในทุกๆที่ที่เทพธิดาไป เพลานี้นางก็มาเยือนยังเมืองหลวง ราชสำนักก็คงใกล้จะโกลาหลแล้ว ที่มิอาจรู้ได้ก็คือ นางจะไปยืนอยู่ฝั่งไหนนี่สิ?”

จะฝั่งไหนก็ได้ ตราบใดที่ไม่ใช่ฝั่งราชครูก็เป็นพอ

แต่ถ้าดึงมาฝั่งนี้ได้ละก็ จะต้องมาเป็นมือขวาของเย่แจ๋หยิ่งอย่างแน่นอน

ทันใดนั้น!

โม่เหลียงเฉินก็นึกแผนขึ้นมาได้ จึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

“อยากให้……ข้าใช้เสน่ห์ชายหนุ่ม ล่อนางมาฝั่งนี้ไหมล่ะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

ถ้วยชาในมือของเย่แจ๋หยิ่งก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำชาไหลรินลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

แต่เขากลับไม่รู้ตัว เอาแต่มองไปที่โม่เหลียงเฉินอย่างแปลกประหลาด: “เจ้าแน่ใจรึ?”

“……แน่ใจสิ!” จะให้ไม่แน่ใจได้ยังไงกัน

เย่แจ๋หยิ่งจะตื่นตระหนกกระไรถึงเพียงนั้น? เขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไปเสียหน่อย

หรือว่าเขาจะยังไม่หนำใจกับการนำภัยมาสู่ประเทศชาติและราษฎร?

มิใช่กระมัง!

เขาเองก็หลงใหลฮัวหยู่อันอย่างหัวปักหัวปำอยู่แล้วนี่

เทพธิดาองค์นั้นดูเหมือนจะเพิ่ง 17 18 ปีเอง คงยังไม่เคยมีความรู้สึกอันใดกระมัง?

และที่ยิ่งไปกว่านั้น หากคนอื่นมองเขาไม่ดี เขาจะให้เป็นดั่งผู้สืบราชการลับก็ได้นี่!

“ขอให้รอดกลับมาก็แล้วกัน!”

“……”

ไม่ได้เป็นเพียงเทพธิดาองค์หนึ่งอย่างนั้นรึ?

อีกทั้งยังเป็นเทพธิดาที่มาเพื่อประทานพรแก่ราษฎร อย่างไรนางก็มิอาจฆ่าเขาได้อยู่แล้วนี่

อย่างไรก็ตาม!

ด้วยรูปการณ์เช่นนี้ เขาจึงเตรียมมือทั้งสองข้างให้พร้อม และแล้ว เขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ช่วงเวลานี้!

เย่แจ๋หยิ่งที่มองดูน้ำชาล้นเอ่ออยู่บนโต๊ะก็หลับตาแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้นไปอิงอยู่ริมหน้าต่าง เลิกแขนเสื้อขึ้น ก็เห็นคำสองคำที่เขียนไว้บนแขน: “เยาเยา”

อีกทั้ง ทั้งสองคำนี้ยังถูกกรีดด้วยมีดดาบอย่างเร่งรีบ

เหมือนกลัวว่าตัวเองจะลืมเลือนสิ่งใดไป จึงได้ใช้วิธีนี้ในการทำให้ตัวเองจดจำเอาไว้

หลานเยาเยา……

ในจิตใจของข้า เจ้ามีความสำคัญมากเพียงใดกัน?

เหตุใดถึงได้เป็นชื่อของเจ้า หัวใจของข้าจะเหมือนถูกมีดกรีดด้วยไหมนะ?

ก็เพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้หวังให้มีใครหน้าไหนมาเอ่ยชื่อนาง

ชื่อชื่อนี้ มีเพียงแค่เขาที่จดจำไว้ก็เป็นพอ!

……

พระราชวัง พระตำหนักกระดิ่งทอง

ในส่วนของทุกๆคนที่กำลังเงยหน้ามองอย่างคาดหวัง หลานเยาเยาในชุดสีแดงฉานก็ค่อยๆเดินเข้ามา

ในช่วงเพลานั้นช่างน่าอัศจรรย์ใจ

เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์อันแท้จริงของเทพธิดา เหล่าข้าราชบริพารต่างไม่กล้าที่จะส่งเสียงใดๆ

ฮ่องเต้ที่ประทับบนราชบัลลังก์ ก็ได้มองตรงลงไป

ถึงได้รู้ว่า บนโลกใบนี้มีหญิงสาวที่น่าหลงใหลถึงเพียงนี้อยู่……

เมื่อหันมองสายตาของผู้คน หลานเยาเยาที่สงบนิ่งดั่งสายน้ำ ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หลังจากหยุดยืน นางก็มิได้คุกเข่าลงแต่อย่างใด แค่พยักหน้าเล็กน้อยเพียงเท่านั้น

เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นเช่นนี้

ก็มีขุนนางยศสูงศักดิ์จำนวนหนึ่งไม่พอใจกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถังเฉิงเสี้ยง

ดูทรงแล้วเทพธิดาก็น่าจะอายุเพียง 17 ถึง 18 ปี ข่าวลือที่ว่าคงจะเกินจริงไปแล้วกระมัง?

อีกทั้ง……

ก็เป็นแค่เทพธิดาที่คนพูดกันปากต่อปาก หาใช่เทพเจ้าที่แท้จริงอันใดไม่

พูดกันตรงๆ เทพธิดาก็เป็นเพียงบุคคลที่เล่าลือกันมา อีกทั้งยังไม่มีองครักษ์ติดตามใดๆ เหตุใดจึงไม่คุกเข่าลงเมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้?

จากนั้นเขาก็จ้องมอง พลางพูดเสียงทุ้มว่า:

“ขอประทานอภัยเทพธิดา เหตุใดเมื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถึงไม่คุกเข่าลง?”

แม้ว่าถังเฉิงเสี้ยงจะเป็นเพียงอัครมหาเสนาบดี ในขุนนางพลเรือน แต่เขาก็มีร่างกายอันสูงใหญ่ และเสียงที่ดังก้องราวกับระฆัง

เขาคิดว่าการที่เขาถามเช่นนี้ แม้เทพธิดาจะไม่ยอมคุกเข่าลงแต่โดยดี อย่างน้อยก็ต้องมีคำอธิบายมิใช่รึ?

แต่ว่า!

หลานเยาเยามิแม้แต่จะชายตามอง เพียงยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา:

“การที่ฮ่องเต้อุตส่าห์ส่งรัชทายาทไปต้อนรับข้า เพื่อให้มาคุกเข่าแก่ฮ่องเต้อย่างงั้นสินะ?

จิ๊จิ๊ ประเทศก่วงส้าที่เคียงคู่กับเชียนหลิงแห่งประเทศทรงอำนาจทั้งสี่ ผึงไหลและซีเม่า ฮ่องเต้ของพวกเขา หาได้ให้ข้าคุกเข่าทำความเคารพไม่

พวกเจ้าประเทศก่วงส้าชักจะโอหังเกินไปแล้ว!”

คำพูดของนาง แสดงออกมาด้วยความยโสโอหังอย่างเหลือล้น

ในประเทศทรงอำนาจทั้งสี่ ประเทศก่วงส้าหาใช่ประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดไม่

นางมิได้คุกเข่าแก่ฮ่องเต้ของประเทศทรงอำนาจทั้งสาม เหตุใดจำต้องคุกเข่าให้แก่ฮ่องเต้แห่งประเทศก่วงส้ากันล่ะ?

หากในวันนี้ฮ่องเต้แห่งประเทศก่วงส้าให้นางคุกเข่าให้ละก็ เรื่องนี้ก็จะถูกแพร่สะพัดออกไป

ประเทศอันทรงอำนาจประเทศอื่นก็จะคิดว่า ประเทศก่วงส้าเหนือกว่าประเทศทรงอำนาจอีกสามประเทศ

เมื่อถึงเพลานั้น ประเทศก่วงส้าก็จะน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่เต็มปากเต็มคำ ทั้งอาจจะเกิดภัยอันร้ายแรงตามมาก็เป็นได้

“ท่าน……”

ถังเฉิงเสี้ยงหาข้อหักร้างใดๆมิได้

เขาไม่คิดว่าเทพธิดาที่เยาว์วัยองค์นี้จะผยองถึงเพียงนี้

เหมือนกับอ๋องเย่ไม่มีผิด!

“พระราชทานพระที่นั่ง!”

เมื่อเห็นเฉิงเสี้ยงที่แพ้ราบคาบ ในใจของฮ่องเต้ก็ปลื้มปิติ

มันคือลักษณะของผู้ทรงพลังที่ดี ก็หวังว่าความโอหังของนางจะเทียบเคียงกับทักษะของนางด้วยแล้วกัน

หลังจากที่หลานเยาเยานั่งลง ฮ่องเต้ก็เริ่มถามอ้อมไปอ้อมมา เหมือนกับฮ่องเต้ของประเทศอื่นๆมิมีผิดเพี้ยน ต่างก็ถามนางว่านางทำสิ่งที่น่าชื่นชมเหล่านั้นได้อย่างไรกัน

นางก็อ้าปากพูดในสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็เติมแต่งเรื่องราวเหล่านั้นให้สวยงาม ทำเอาเหล่าข้าราชบริพารต่างหลงใหลใจจดใจจ่อ

ยิ่งฟังไปฮ่องเต้ก็ยิ่งวิตกกังวล

อายุเพียงน้อยนิดแต่มีทักษะถึงเพียงนี้ เขาจะต้องใช้มันเพื่อประโยชน์ส่วนตนให้จงได้ หากใช้ไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ได้ใช้มันเหมือนกัน……

หลังจากที่หลานเยาเยาพูดจบ

ฮ่องเต้ก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม: “เทพธิดา การประทานพรแก่ราษฎรนั้นเป็นโชคอันดีของบ้านเมือง มิทราบว่าชื่อแซ่ของเทพธิดาคือผู้ใดฤา? พำนักอาศัยอยู่แห่งหนใด? มีญาติสนิทมิตรสหายหรือไม่?

แม้ว่านางจะได้รับการยกย่องเป็นถึงเทพธิดา แต่เรือนร่างนั้นก็เป็นมนุษย์ธรรมดา

อย่างไรก็ต้องเติบโตมาจากครรภ์มารดา เช่นนั้นก็ต้องมีพ่อมีแม่ผู้ให้กำเนิด ต้องมีชื่อมีแซ่ เป็นไปไม่ได้กระมังที่จะถูกเรียกว่าเทพธิดามาแต่กำเนิด