บทที่ 245 การพบปะครั้งที่ 1

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 245 การพบปะครั้งที่ 1

โอ้ว!

คิดจะซักชื่อเสียงเรียงนามกันเสียแล้ว

ได้! นางจะเรียบเรียงให้อย่างแนบเนียน จะดูเสียหน่อยว่าพระองค์จะตรวจสอบเช่นไร?

“ฟากฟ้าคือพระบิดา ใต้หล้าคือพระมารดา ได้รับการบำรุงจากทุกสิ่งอย่างเข้าด้วยกัน จนเติบใหญ่ขึ้นมา นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์บอกแก่ข้าไว้ตั้งแต่จำความได้ เขาบอกว่าข้านั้นเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงลิขิต”

เหมือนว่านี่จะหมายถึง นางถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้าในถิ่นทุรกันดาร แล้วก็มีท่านอาจารย์มาช่วยนางไว้ ถึงได้มีชีวิตอยู่มาจวบจนทุกวันนี้

จึงได้ไม่มีพ่อแม่ และชื่อเสียงเรียงนาม

ตรวจได้ก็ตรวจสิ!

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เบาะแสใดๆ

ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มันก็เป็นสิ่งที่หลานเยาเยาได้พูดออกไป

ก็นางจะผยองเช่นนี้ ก็นางภูมิใจที่เป็นแบบนี้

แล้วพวกเขาจะทำไม?

แน่ล่ะ!

ว่าสีหน้าของฮ่องเต้จะต้องเผยความลำบากใจ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างหันมองหน้ากันและกัน

เทพธิดาองค์นี้ รอบคอบจริงเชียว

“เช่นนั้น……ท่านอาจารย์ของเทพธิดาล่ะ?” ฮ่องเต้ยังวางแผนที่จะถามลงรายละเอียด

ในท้ายที่สุด!

หากสามารถหาตัวท่านอาจารย์ของเทพธิดาได้ นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ด้วยประการแรกคือสามารถหาตัวช่วยมาได้อีกหนึ่ง

ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่สามารถฝึกฝนคนอย่างเทพธิดาขึ้นมาได้ ยังไงก็ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่

ประการที่สอง เมื่อถึงเวลาอันสมควร ก็สามารถใช้ท่านอาจารย์ของเทพธิดาในการยื่นเงื่อนไขแก่เทพธิดาได้อีกด้วย

ยังไงเทพธิดาก็โอหังจนเกินไป เขาไม่ถูกใจ และความเกรี้ยวกราดเช่นนี้ก็เหมือนอ๋องเย่มิมีผิด

“เขาสิ้นแล้ว!”

“สิ้นแล้วงั้นรึ?”

“ใช่!” หากยังไม่ตาย จะปั้นน้ำต่อยังไงเล่า?

ฮ่องเต้ไม่สามารถหาเหตุอันใดต่อได้ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย จากนั้นก็เข้ากับเฉิงเสี้ยง(อัครมหาเสนาบดี)ได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย จึงได้ฤกษ์ยกเรื่องตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าขึ้นมา

เมื่อพูดถึงเรื่องตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า ฮ่องเต้ก็กลุ้มอกกลุ้มใจ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างพากันถอนหายใจ

จากนั้นฮ่องเต้ก็ฝากความหวังไว้ที่หลานเยาเยา เขามีสีหน้าที่ไม่สู้ดี แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า:

“เนื่องด้วยการที่ราชวงศ์เก่าถูกไฟไหม้ เพียงชั่วข้ามคืนก็ทำลายล้างไปหมดสิ้น อีกทั้งตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าก็ไร้ร่องรอยด้วยเช่นกัน

บ้างก็ว่าราชครูแห่งราชวงศ์เก่าเอาไป บ้างก็ว่าเฉิงเสี้ยง(อัครมหาเสนาบดี)เย่นโจกชิงเอาไป

และยังมีคนพูดอีกว่า ตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าได้มอดไหม้ไปพร้อมกับความฉิบหายของราชวงศ์เก่าแล้ว

แต่ข้ารู้สึกว่า สองเรื่องแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า ขึ้นครองราชย์บัลลังก์มาก็หลายสิบปี เรื่องตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าเรื่องเดียวนี้ ก็ทำเอากินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอด

มิทราบว่า เทพธิดามีข้อคิดเห็นอันใดเกี่ยวกับตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าบ้างหรือไม่?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

หลานเยาเยาจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากของนางก็ค่อยๆยกขึ้น

และแล้วในที่สุด ก็ยกเรื่องตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าขึ้นมาได้สักที

ด้วยความพินาศของราชวงศ์เก่า ฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหน้าพระองค์นี้ได้ยกขึ้นมาเพียงแค่บทสรุป โบ้ยเรื่องทั้งหมดให้สิ้นไปกับการถูกไฟไหม้

หึ…

ไฟไหม้งั้นรึ?

จะใช่หรือไม่ใช่ไฟไหม้ ก็มีเพียงคนในเหตุการณ์เท่านั้นที่รู้ได้

ส่วนตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าก็คือตราราชลัญจกรหยก ราชสำนักในเพลานี้มิได้มีตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่า ฮ่องเต้พระองค์ก็นี้ไม่ได้มีความเหมาะสมกับตำแหน่งที่ครอบครอง

หากวันหนึ่ง มีคนถือตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่ามา และมีเหตุผลที่เหมาะสม ขู่เขาให้สละราชสมบัติ เขาจักทำเช่นไร?

หลานเยาเยารู้สึกว่า ฮ่องเต้ก็คงเลือกที่จะเข่นฆ่า แล้วช่วงชิงตราหยกมา

แต่เช่นนั้น จะหยุดขี้ปากชาวบ้านได้อย่างไรกัน?

ดังนั้น ก่อนที่เรื่องราวมันจะไปถึงจุดนั้น แน่นอนว่าฮ่องเต้จักต้องหาตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าให้พบเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต

“ไม่ว่าตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าจักอยู่ในมือผู้ใด หรือถูกผู้ใดนำไปก็ตาม หาใช่เรื่องที่ต้องพิจารณาไม่ เพราะว่าเรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องเก่าทั้งสิ้น

“ในเพลานี้เป้าหมายของฮ่องเต้ คืออยากหาตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าให้พบ ข้าได้ยินมาว่า ช่วงหลายปีมานี้มักจะมีข่าวคราวเรื่องตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าออกมา มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

ด้วยการถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจเช่นนี้

หลานเยาเยาดูเหมือนจะชำนาญการอย่างมาก

เมื่อสามปีก่อน ตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าปรากฏขึ้น เพราะมีคนจงใจปล่อยข่าว สุดท้ายก็พบว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดแผนการร้าย

และสามปีต่อมา นางก็จงใจให้หานแสปล่อยข่าวเรื่องการปรากฏของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า เพราะหนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง

แม้ว่านี่จะเป็นการสมรู้ร่วมคิดที่นางวางแผนไว้อย่างรอบคอบ

แต่ทว่า เมื่อสามปีก่อนตราหยกมิได้ปรากฏขึ้นจริง แต่ในวันนี้ ที่เป็นสามปีหลังจากตอนนั้น เรื่องตราหยกกลับกลายเป็นความจริง

นี่เป็นสามปีให้หลังที่นางได้กลับมาพบอีกครั้ง

หึ!

นางอยากจะรู้ว่า หลังจากวันนี้ไป ราชสำนักจักเป็นเช่นไร?

“ใช่แล้วล่ะ! สามปีก่อนหน้านี้ ข่าวคราวเรื่องการปรากฏของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าแพร่มาจากทางชนเผ่าชายฝั่ง จากนั้นชายฝั่งชนเผ่าก็โดนสังหารหมู่จนสิ้นราบคาบ ซึ่งแท้จริงแล้วหาได้มีตราหยกอยู่ที่นั่นจริงๆไม่

แต่ในเพลานี้ ตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังอยู่เพียงใต้จมูกของข้า ข้าส่งคนไปเสาะหาทั่วเมืองหลวงอยู่หลายชั่วยาม เสาะหาอย่างขะมักเขม้นแต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์”

ไม่ว่าตราหยกจะเป็นเรื่องจริงหรือหลอก

แต่หากมีคนเผยตนออกมา นั่นก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าคนผู้นั้นอาจจะเป็นคนของราชวงศ์เก่า

เพื่อมิให้เขาเป็นฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นก็ต้องเล่นกลให้ซับซ้อน ทำให้เขาลุกลี้ลุกลนจนนั่งไม่ติด

ดังนั้น!

เมื่อเขาหาตราหยกไม่พบ เขาก็จะต้องหาตัวคนปล่อยข่าว

“อืม~ หากเป็นเช่นนี้ก็น่าสนใจ นับแต่ข่าวนั้นถูกเผยแพร่ออกมาจากในเมืองหลวง หากมิใช่ว่ามีคนตั้งใจปล่อยข่าวเท็จ

ตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าก็อาจจะปรากฏขึ้นจริงๆ จากที่ข้ามอง เรื่องหลังนี้เหมือนจะมีความเป็นไปได้สูง”

เมื่อคำนี้พูดออกมา!

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ต่างพยักหน้ากันเล็กน้อย ฮ่องเต้มีความยินดีปรีดาขึ้นมาในทันใด จากนั้นก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กังวลใจจนนั่งไม่ติด

เทพธิดาบอกว่าเรื่องตราหยกอาจเป็นความจริง

งั้นมันก็ต้องเป็นความจริง!

ทว่า………

จะเป็นคนเช่นไรถึงได้หลบหนีจากการแสวงหาอย่างขะมักเขม้นของเขาไปได้?

“หากเรื่องตราหยกเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นมันจะไปซ่อนอยู่แห่งใดกัน?”

“ฮ่องเต้คงจะไม่ได้ลืมคำคำหนึ่งไปหรอกกระมัง?”

หลานเยาเยาค่อยๆยืนขึ้น กวาดสายตามองเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สายตาหยุดลงที่ร่างของถังเฉิงเสี้ยงและหลานเฉินมู๋อยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็ดึงสายตากลับมา “ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด”

“หมายถึงสิ่งใดกัน?”

ฮ่องเต้นั้นเข้าใจทุกตัวอักษร แต่เขากลับไม่เข้าใจสิ่งที่เทพธิดาต้องการจะสื่อ

“ขอประทานอภัย ฮ่องเต้ได้ส่งผู้ใดในการเสาะหาเบาะแสของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า? พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในหน้าที่จริงหรือไม่?”

หลานเยาเยารู้

ว่าคนที่ฮ่องเต้ส่งไปในครานี้ ก็น่าจะเป็นคนที่จงรักภักดีต่อเขาอยู่แล้ว นางจึงอยากจะดูว่าฮ่องเต้จะมีปฏิกิริยาเช่นไร

แน่ล่ะ!

เมื่อได้ฟังคำของนาง สีหน้าของฮ่องเต้ก็ไม่สู้ดี สายตาจับจ้องไปที่นาง ด้วยแววตาที่ไม่สามารถตีความได้

แต่หลานเยาเยากลับมองเขาเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งยังเผยรอยยิ้มเรียบๆที่มุมปาก

ไม่นานนัก ฮ่องเต้ก็คุมสติอารมณ์ พลางพูดเสียงดังอย่างเย็นชา: “แม่ทัพหลาน เฉียนส้าวชิง ท่านทั้งสองได้ละเลยหน้าที่หรือไม่?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

แม่ทัพหลานเฉินมู๋ ส้าวชิงจากศาลต้าหลี่ ก็รีบคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความกังวลใจ ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า

“ฮ่องเต้ เพื่อการแสวงหาตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าแล้ว ข้าน้อยมิแม้แต่จะกินข้าวกินปลา เอาแต่แสวงหาไปทั่วบ้านทั่วเมืองโดยมิบังอาจเกียจคร้าน ฮ่องเต้โปรดพินิจพิจารณา ข้าน้อยนั้นจงรักภักดีต่อพระองค์!”

หลานเฉินมู๋ที่เหงื่อตก ก็รีบแสดงความจงรักภักดีของตนอย่างไม่รีรอ

หลายชั่วยามมานี้ เพื่อเสาะหาเบาะแสของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า แม้ว่าจะไม่ถึงขนาดไม่กินข้าวกินปลาอย่างที่เขาว่า แต่เขาก็ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่จริงๆ หาได้ละเลยสิ่งใดไม่พระพุทธเจ้าข้า!

“ฮ่องเต้ผู้ทรงบารมี ความจงรักภักดีที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ของข้าน้อย มีแผ่นฟ้าผืนดินเป็นสักขีพยาน เพื่อแสวงหาเบาะแสของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า ข้าน้อยทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก แค่ยังค้นหาไม่พบเพียงเท่านั้น หาได้ละเลยหน้าที่การงานดั่งคำกล่าวของเทพธิดาไม่

เทพธิดาเพิ่งจะเข้ามายังเมืองหลวง แน่นอนว่ายังไม่รู้เรื่องราวภายในเมืองหลวง ฮ่องเต้โปรดอย่าได้หลงกลคำให้ร้ายของนาง”

เฉียนตุ้นน้ำตาไหลพราก ขณะที่แสดงความจงรักภักดีของตนอย่างตรงไปตรงมา

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคร่ำครวญออกมาจากใจ ทำเอาเหล่าขุนนางท่านอื่นๆต่างแสดงความเห็นอกเห็นใจกันอย่างสุดซึ้ง

ส่วนเทพธิดา

นางเพิ่งจะเข้ามายังวังหลวง หาได้รู้เรื่องการสืบสวนใดๆของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าไม่

เช่นนั้น จึงได้คิดผิดถนัดในเรื่องของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน

“นี่…