ตอนที่ 132.1 โอสถปลอมของแท้ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“มนุษย์ต้องสัมผัสประสบการณ์การฝึกฝนบ่มเพาะพลังก่อนที่จะสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองอย่างแข็งแกร่งในโลกนี้ แล้วเมื่อนั้นพวกเขาก็จะสามารถเทียบท้าสุริยันจันทราแล้วพุ่งทะยานสู่ความรุ่งโรจน์ จากนั้นจึงแสวงหาอมตะและบรรลุชีวิตสงบสุขชั่วกัปชั่วกัลป์ การฝึกฝนไม่อาจราบรื่นได้ จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงกรรม ยิ่งกว่านั้น ยังมีภัยพิบัติที่มักปรากฏขึ้นในโลกนี้อยู่เสมอ ดังนั้น เราจึงต้องแข็งแกร่งให้เพียงพอและเผชิญกับความทุกข์ยากล่วงหน้าก่อนที่เราจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้…”

“นี่คือ…เหตุผลที่ท่านถูกอาจารย์เรียกไปตีเป็นเวลาสองชั่วยามหรือเจ้าคะ ศิษย์พี่”

ในกระท่อมมุงจากของหลี่ฉางโซ่ว ในเวลานี้ หลิงเอ๋อร์พลันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอย่างกะทันหัน ขณะที่ขมวดคิ้วแล้วมองดูที่ศิษย์พี่ของนางซึ่งนอนอยู่บนเตียงฟาง

ภาพเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของศิษย์พี่ที่ถูกทุบตีในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองที่หลิงเอ๋อร์ได้เห็นหลังจากเข้าสู่สำนักแล้ว

นางไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับอาจารย์ของนางเช่นกัน เพราะท่านไม่ได้บันดาลโทสะเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาเป็นนานแล้ว

“ศิษย์พี่ ท่านทำอันใดหรือเจ้าคะ”

“เหอะ ไม่สำคัญหรอก” หลี่ฉางโซ่วกระตุกมุมปากเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แม้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อยในระหว่างกระบวนการ แต่ในตอนนี้ ท่านอาจารย์ก็น่าจะมีกำลังใจขึ้นมาแล้ว”

“หือ?” หลิงเอ๋อร์กะพริบตาเบาๆ ด้วยความรู้สึกฉงนฉงายเล็กน้อย

เดิมทีหลี่ฉางโซ่วอยากให้อาจารย์ของเขาไปเดินเล่นในเมืองฟาง จากนั้นจึงจัดให้มีผู้บำเพ็ญสตรีสักหนึ่งหรือสองคนที่มีขอบเขตพลังต่ำกว่าเข้ามาสนทนากับท่านอาจารย์เพื่อให้ท่านอาจารย์มีชีวิตชีวาและมีความมั่นใจกลับคืนมาได้

เมื่อใช้วิธีเช่นนี้ เขาก็จะไม่ได้รับผลกรรมใดๆ เพราะพวกเขาจะเพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น และเมื่อเขาควบคุมพลังฤทธิ์โอสถเพลิงหัวใจได้ เขาก็จะไม่ทำให้ทั้งสองฝ่ายพัฒนาความรู้สึกชายหญิงต่อกันจริงๆ

แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่า…

เมื่อผู้คนจากไป ก็เกิดความอับอาย และโอสถก็แตกสลาย

แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่สถานการณ์ที่กลุ่มของผู้บำเพ็ญสตรีผสานกับเรื่องแปลกประหลาดที่รุมเข้าหาท่านอาจารย์ของพวกเขานั้น ก็ทำให้เขารู้สึกจริงๆ…

มันยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเขาพร้อมกับความรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วประหลาดใจก็คือ ความโกลาหลของเหล่าสัตว์วิญญาณที่จู่โจมอย่างกะทันหัน…

ในเวลานั้น หากหลี่ฉางโซ่วไม่อาจโต้ตอบได้ทันเวลา ใช้ประโยชน์จากความโกลาหลและรีบออกจากเมืองพร้อมกับท่านอาจารย์ของเขาโดยใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย…บางที เขาอาจถูกทิ้งให้ต้องแบกรับภาระความสูญเสียของเมือง!

ซึ่งยอดเขาหยกน้อยของพวกเขาย่อมไม่อาจรับผิดชอบชดเชยได้

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ทำให้เขาบังเอิญค้นพบว่า ดูเหมือนว่าโอสถเพลิงหัวใจจะมีผลที่คาดไม่ถึงกับสัตว์วิญญาณและปีศาจ

ดังนั้น จากบทเรียนนี้ หลี่ฉางโซ่วจึงตัดสินใจที่จะผนึกโอสถเพลิงหัวใจเอาไว้ชั่วคราวและให้มันเป็นหนึ่งในไพ่ไม้ตายของเขา เขาจะใช้มันให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในภายหน้า

แน่นอนว่า เขาควรจะหยุดได้ทันเวลาหลังจากได้รับโอสถต้านการสำรวจ

อย่างไรก็ตาม แผนเริ่มต้นของหลี่ฉางโซ่ว คือการใช้โอสถเพลิงหัวใจเพื่อรบกวนสภาพจิตใจและก่อกวนอารมณ์ของอีกฝ่ายในระหว่างการต่อสู้ในอนาคตเพื่อเอาชนะศัตรูได้

ความพยายามในการช่วยอาจารย์ยังเป็น ‘การประเมินเชิงปฏิบัติการ’ เกี่ยวกับคุณสมบัติและพลังฤทธิ์ยาของยา…

ยิ่งไปกว่านั้น โอสถเพลิงหัวใจที่แตกสลายในครั้งนี้เป็นเพียงโอสถวิญญาณระดับหนึ่งเท่านั้น

บัดนี้ ในมือของหลี่ฉางโซ่ว ยังคงมีโอสถวิญญาณระดับสาม ซึ่งในขณะนี้ เขาไม่รู้ว่ามันจะส่งผลต่ออารมณ์และสภาพจิตใจของเหล่า ‘ปรมาจารย์’ เซียนเทียนในระหว่างการต่อสู้หรือไม่

และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทดสอบได้

“ศิษย์พี่ ท่านไม่อยากให้ข้าทาให้ท่านหรือเจ้าคะ”

“ไม่ ไม่จำเป็น” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บนี้จะรักษาและฟื้นตัวเองได้ตลอดเวลา คราวนี้ ข้ารู้สึกไม่มั่นใจในการจัดการเรื่องนี้เล็กน้อย ข้าจะคอยระวัง เจ้าไปกับท่านอาจารย์อาน้อย และอย่าให้นางเข้ามาที่นี่ ไม่เช่นนั้น นางจะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน”

“เจ้าค่ะ…”

ทันทีหลังจากนั้น หลิงเอ๋อร์ก็หันหลังกลับและออกจากกระท่อมมุงจากไปอย่างกังวล

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็สูดลมหายใจแล้วนอนลงบนพื้นพลางหยิบกระดานหินออกมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะเริ่มทำการปรับปรุงพระสูตรมั่นคง

ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากกระท่อมมุงจากหลังข้างๆ หลี่ฉางโซ่วจึงแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจสอบและพบว่าท่านอาจารย์ของเขากำลังเปลี่ยนเป็นชุดคลุมเต๋าที่แตกต่างกันทีละชุดอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้าท่าทางที่เริ่มเปล่งประกายพลังที่มีชีวิตชีวาออกมา…

แม้จะมีการพลิกผันไปบ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะบรรลุผลแล้ว

ในห้องลับใต้ดินภายใต้หอโอสถ ในขณะนี้ ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้มเล็กน้อยขณะมองไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในกระท่อมมุงจากที่ทุบตีเขาและเริ่มเข้าสู่เฉิงเต๋าในวันนี้

ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่แม่ทัพตงมู่มาขอบคุณเขา เขาก็ไม่ได้ไปปรากฏตัวในวิหารเทพทะเลมาเป็นเวลาสองปีติดต่อกันแล้ว

แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน และความคิดของเขาก็สงบมั่นคงอย่างยิ่ง

ย่อมจะเป็นการดี หากเขาได้รับการสนับสนุนจากองค์เง็กเซียนซึ่งมีศักยภาพมากมายมหาศาลที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา หากเขาทำไม่ได้ ก็อาจเป็นเพราะการอธิบายที่เขามอบให้นั้นคลุมเครือเกินไป และเขาจะยังคงไปที่ศาลสวรรค์เพื่อรับตำแหน่งเทพ

ทุกอย่างย่อมมีได้มีเสีย นั่นคือกฎแห่งเต๋าสวรรค์

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเวลาที่เพิ่งผ่านไปเพียงสองปี สำหรับผู้ดำรงอยู่เหนือเซียนจินเฉกเช่นองค์เง็กเซียนและแม่ทัพตงมู่ การปิดด่านฝึกฝนและการรู้แจ้งบางอย่างอาจไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะจัดการกับเรื่องสำคัญบางอย่าง…

สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยคือ ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกลับมาจากดินแดนเทวะอุดรได้อย่างปลอดภัย และเขายังได้เชิญหลี่ฉางโซ่วเป็นพิเศษเพื่อให้แวะไปเยี่ยมชมแมลงพิษที่ดูดุร้าย

หลังจากนั้น ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็เริ่มเข้าสู่การปิดด่านเพื่อพยายามทำโอสถพิษสัมผัสเซียนโดยที่ยังมีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นักพรตเต๋าทั้งสองอยู่เคียงข้างผู้อาวุโสว่านหลินหยุน แม้หลี่ฉางโซ่วจะคิดว่าเขาควรจะแอบมอบโอสถเพลิงหัวใจที่เขาสกัดกลั่นออกมาให้กับผู้อาวุโสว่านหลินหยุนบ้างหรือไม่…แต่สุดท้าย หลี่ฉางโซ่วก็ขจัดความคิดนั้นออกไป หลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบแล้ว

นอกจากนี้ ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเก่งกาจยิ่ง หลี่ฉางโซ่วจึงอยากดูเช่นกันว่า ด้วยทักษะการกลั่นสกัดพิษของผู้อาวุโสว่านหลินหยุน เขาจะกลั่นสกัดโอสถพิษสัมผัสเซียนแบบใดออกมาได้

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับของสองสามอย่างเข้ามาเพิ่มในคลังเก็บไพ่ไม้ตายของเขาอีกด้วย

และในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในที่สุด การฝึกฝนก็กลับคืนสู่ความมั่นคงและมีเสถียรภาพตามปกติแล้ว

หลังจากที่หลิงเอ๋อร์และศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายของเขาได้ค้นพบเคล็ดลับในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานแล้ว ความคืบหน้าในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกรงสัตว์วิญญาณก็ได้ผลน่าพอใจมาก และเสร็จสิ้นได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี

หลี่ฉางโซ่วโบกมือและไม่คิดตำหนิใดๆ อีก

หลังจากที่กรงสัตว์วิญญาณเสร็จสมบูรณ์แล้ว โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ตระหนักได้ว่า ในช่วงเวลานี้ นางเสียเวลาการฝึกฝนมากเกินไป และกลับไปยังเคหาสน์ถ้ำของนางเองเพื่อเข้าปิดด่านฝึกฝนเป็นเวลานาน

นับว่า โหย่วฉินเสวียนหย่ามีความสามารถในด้านการควบคุมตนเองไม่เลว เพราะก่อนหน้านี้ นางเพิ่งถูกโจมตีด้วยทักษะเวทของอาจารย์อาจิ่วจิ่ว

เมื่อไม่นานมานี้ หลี่ฉางโซ่วอยากถามคำถามหนึ่งกับจิ่วจิ่ว…

ในเมื่อนางใช้เวลาทุกวันเมามายอยู่ในยอดเขาหยกน้อย แล้วความสำคัญในการสร้างค่ายกลป้องกันด้วยความมั่งคั่งที่นางสั่งสมมาทั้งหมดเป็นเวลากว่าพันปีนั้นมันคืออันใดกัน

อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนของจิ่วจิ่วก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เมื่อใดก็ตามที่นางบรรลุเฉิงเต๋า มันก็จะคงอยู่กับนางนานหลายร้อยปี

ซึ่งความจริงแล้ว การกระทำตามใจ และปล่อยไปตามใจเช่นนี้ เป็นความหมายที่แท้จริงของพระสูตรนิรกรรม

ดังนั้น การฝึกฝนโดยรวมของจิ่วจิ่วนั้นจึงรุดหน้าไปได้รวดเร็วกว่าผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ที่มีอายุเท่ากันซึ่งเข้าปิดด่านฝึกฝนอยู่ทุกวันราวสามถึงสี่ในสิบส่วน

อย่างไรก็ตาม มันก็ยากเกินไปจริงๆ ที่จะวางเฉยได้ เพราะครึ่งหนึ่งของเหตุผลที่อาจารย์อาจิ่วจิ่วไม่กระทำอันใดนั้น คือความจริงที่ว่าเป็นเพราะนางดื่มมากเกินไป

ส่วนที่ยอดเขาเซียนหลินนั้น เขาไม่พบว่ามีการเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นมากนัก และการหายตัวไปของไขว่ซือก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดเขาเซียนหลินมากนัก

ตลอดทั่วทั้งยอดเขาเซียนหลิน นับตั้งแต่สตรีม่ายคู่บำเพ็ญเต๋า ตลอดไปจนถึงเหล่าศิษย์ของเขา ทุกคนที่เห็นไขว่ซือตายนั้น ล้วนได้เห็นไขว่ซือต่อสู้อย่างดุเดือดกับคนอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่เขาถูกสังหารจนตาย…

ซึ่งนั่นนับว่าเป็นการช่วยหลี่ฉางโซ่วได้มาก และเขายังตัดสินใจเฝ้าติดตามยอดเขาเซียนหลินต่อไปอีกสามร้อยปี

หากไม่มีผู้ใดพูดถึงเรื่องนั้นอีก เขาก็จะปล่อยมันไป

แต่หากมีผู้ใดกล่าวถึงมันอีกครั้ง…หลี่ฉางโซ่วก็ทำได้เพียงแค่วางแผนอื่นอีกครั้งเพื่อยุติกรรมนั้นให้ได้อย่างสมบูรณ์

เดิมทีหลี่ฉางโซ่วเคยคิดว่าช่วงเวลาแห่งความสงบสุขจะคงอยู่จนกว่าจะมีการเปิดการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าในดินแดนเทวะมัชฌิมา ดังนั้นในแต่ละวัน เขาจึงมุ่งให้ความสำคัญกับการเข้าสู่เฉิงเต๋า และปรับปรุงทักษะสงบลมปราณเต่าของเขา

ทว่าจู่ๆ เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าความสงบจะคงอยู่ได้เพียงสองปี…