บทที่ 225 ไปเมืองรุ่ยเสียนอีกครั้ง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 225 ไปเมืองรุ่ยเสียนอีกครั้ง

บทที่ 225 ไปเมืองรุ่ยเสียนอีกครั้ง

เมื่อมาถึงบ้านของป้าจาง พบว่าทุกคนกำลังทานอาหารเย็นกันอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นพวกกู้เสี่ยวหวานมา พวกเขาจึงนำตะเกียบมาเพิ่มให้นาง แต่นางบอกว่าทานข้าวมาแล้ว พวกเขาจึงยอมแพ้ไป

กู้เสี่ยวหวานหยิบสัญญาที่ลงนามกับร้านอวี๋จี้ในบ่ายวันนี้ส่งให้ป้าจาง “ท่านป้าจางเจ้าคะ นี่เป็นสัญญาที่ข้าลงนามกับร้านขนมอวี๋จี้เมื่อบ่ายนี้” ท่านป้าจางรับสัญาแผ่นนั้นไป แต่นางไม่รู้หนังสือนางจึงไม่เข้าใจ

“สาวน้อยเสี่ยวหวาน มันเขียนว่าอย่างไรหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “นี่เป็นข้อตกลงระหว่างร้านขนมอวี้จี้ที่สั่งกล่องไม้ไผ่กับพวกท่านป้า จากนี้ไปพวกเขาจะสั่งกล่องไม่ไผ่กับท่านในระยะยาว และต้องการกล่องไม้ไผ่มากเท่าที่ท่านมี!”

สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวน่าตกใจเกินไป ป้าจางและลุงจางจึงตกตะลึงอยู่นาน แม้แต่ฉือโถวก็ยังเอ่ยถามว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าหมายความว่ากล่องไม้ไผ่ที่เราทำในอนาคตจะถูกรับซื้อไม่ว่าจะมีกี่กล่องก็ตาม?”

“ใช่แล้ว!” กู้เสี่ยวหวานพยักหน้ายืนยัน และกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี “กล่องหนึ่งราคาสี่เหรียญครึ่ง และไม่ว่าอนาคตจะทำกล่องไม้ไผ่ได้มากแค่ไหน ร้านค้าก็จะรับซื้อ ครั้งนี้ข้ารีบมาบอกก่อนเพราะอีกสามวันให้หลัง พวกเขาต้องการให้เราส่งกล่องไม้ไผ่สองร้อยกล่องไปที่ร้าน ข้ากลัวว่าพรุ่งนี้จะสายเกินไปเลยรีบมาบอกพวกท่านก่อน”

ป้าจางตื่นเต้นมาก แม้ว่านางจะไม่เข้าใจสัญญาในมือ แต่กล่องไม้ไผ่ก็มีราคาถึงสี่เหรียญครึ่งและไม่ว่าจะทำได้เท่าไรร้านค้าก็จะรับซื้อทั้งหมด นี่ก็หมายความว่า ตราบใดที่ร้านค้าแห่งนี้ยังเปิดอยู่ ครอบครัวของนางก็จะมีรายได้ไปตลอดเลยใช่หรือไม่?

สี่เหรียญครึ่งต่อหนึ่งกล่อง หนึ่งร้อยกล่องก็เป็นเงินสี่ร้อยห้าสิบเหรียญ และสองร้อยกล่องก็เป็นเงินเก้าร้อยเหรียญ!

ป้าจางและลุงจางสบตากันด้วยความตกตะลึง

แม้ว่าตะกร้าสานใบใหญ่จะทำเงินได้ใบละห้าสิบเหรียญ แต่เมื่อนึกถึงกล่องไม้ไผ่ใบเล็กนี้ที่ใช้วัสดุน้อยลงและใช้เวลาน้อยลง และยังมีราคาเกือบกล่องละห้าเหรียญอีก แค่คิดลุงจางก็ตื่นเต้นมากแล้ว

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ป้าจางก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน นางจับมือกู้เสี่ยวหวานและกล่าวอย่างลำบากใจว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เจ้าไม่ได้ลำบากอะไรใช่หรือไม่? ”

“ไม่เลยเจ้าค่ะ” ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานสว่างไสวราวกับดวงดาว “พี่เฉิงเจ๋อก็ไปกับข้า”

ป้าจางคิดว่าสวีเฉิงเจ๋อก็ช่วยเหลือเช่นกัน จึงกล่าวด้วยความขอบคุณอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณสวีเฉิงเจ๋อมากเช่นกัน”

เมื่อเห็นป้าจางกล่าวเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้เปิดปากอธิบาย

“สาวน้อยเสี่ยวหวาน ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามาก!” ลุงจางสะอื้นเล็กน้อย ถือสัญญาด้วยปลายนิ้วที่สั่นไหว สิ่งนี้เท่ากับเป็นสัญญารับรองการจัดหาระยะยาว ด้วยสัญญาฉบับนี้แม้ว่าในอนาคตครอบครัวจะทำแต่กล่องไม้ไผ่ พวกเขาจะสามารถทำเงินได้มากมาย

“ขอบคุณอะไรกันท่านลุงจาง พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เอาล่ะ ตอนนี้ดึกแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน อีกสามวันให้หลัง ข้าจะไปเมืองรุ่ยเสียนกับพี่ฉือโถว” หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวจบ นางก็กลับบ้านไป แต่ฉือโถวกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงไปส่งกู้เสี่ยวหวานกลับบ้าน

ระหว่างทาง ฉือโถวไม่รู้จะขอบคุณกู้เสี่ยวหวานอย่างไร ดังนั้นเขาจึงกล่าวเพียงแค่คำขอบคุณ

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินคำขอบคุณนี้ นางรู้สึกบางอย่างเล็กน้อย “พี่ฉือโถว คนที่ควรกล่าวคำขอบคุณคือข้า!”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวจากใจ ทันทีที่นางลืมตาขึ้นมาในโลกนี้ ความอบอุ่นที่นางได้รับจากผู้อาวุโสก็มาจากป้าจาง ความห่วงใยที่นางได้รับก็มาจากฉือโถว

ความอบอุ่นเช่นนี้จะทำให้กู้เสี่ยวหวานไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต กู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่มีความกตัญญู ถ้าใครดีกับนาง นางก็จะดีกับคนนั้น สำหรับความพยายามเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ยังเทียบไม่ได้กับคำขอบคุณในใจของนางเลย

“มันเป็นความพยายามของครอบครัวท่าน ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย!” ถ้าลุงจางไม่มีฝีมือที่ดีขนาดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็ทำไม่ได้จริง ๆ “สองสามวันนี้ พวกท่านทุกคนตั้งใจทำกล่องไม้ไผ่กันมาก ที่ข้าบอกว่าสองร้อยกล่องนั่นเป็นจำนวนขั้นต่ำ แต่… ” กู้เสี่ยวหวานหยุดชั่วคราวแล้วกล่าวต่อว่า “พวกท่านต้องใส่ใจกับการพักผ่อนให้มากและอย่าทำงานหนัก โดยเฉพาะท่านลุงจางที่สุขภาพไม่ดี ท่านต้องเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาเหนื่อยเกินไป”

ฉือโถวตอบรับคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน เมื่อส่งกู้เสี่ยวหวานกลับบ้านแล้วเขาก็รีบกลับไป ระหว่างทางเขาก็คิดได้ว่าพ่อกับแม่ของเขาคงกำลังยุ่งอยู่แน่นอน

เมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นว่าพ่อกับแม่ย้ายเครื่องมือทำงานมาไว้ในบ้าน และกำลังทำงานอยู่ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมัน

ฉือโถวก็รีบมาทำงานด้วยเช่นกัน ของที่อยู่ในมือสามารถขายได้ในราคาสี่เหรียญครึ่ง ถ้าทำหนึ่งกล่องก็จะได้เงินสี่เหรียญครึ่ง และถ้าทำสิบกล่องก็จะได้เงินสี่สิบห้าเหรียญเงิน เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจมากขึ้นไปอีก

“สามี คราวนี้พวกเราต้องขอบคุณสาวน้อยเสี่ยวหวานจริง ๆ!” ป้าจางกล่าว

“ใช่แล้ว! ถ้านางไม่มองหาผู้ซื้อ เราจะมีข้อเสนอที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร!” ลุงจางกล่าว “เด็กคนนี้มีจิตใจดีเสียจริง!”

“เป็นเช่นนั้น!” ป้าจางถอนหายใจ ทั้งมีความสุขและไม่เสียดาย “สามี ข้ามีลางสังหรณ์ว่าภายในสองปี สาวน้อยเสี่ยวหวานจะไม่อยู่ในหมู่บ้านอู๋ซีอีกต่อไป”

เมื่อลุงจางได้ยินเรื่องนี้ เขาก็วางเครื่องมือในมือของเขาลง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เด็กพวกนั้นฉลาดและมีความสามารถ! ถ้าสามารถออกจากหมู่บ้านอู๋ซีและไปอยู่ในที่ที่ดีกว่าได้ นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี!”

“ใช่แล้ว ข้าก็ยินดีกับพวกเขาด้วย! ถ้าพ่อแม่ของพวกเขามองลงมาแล้วเห็นว่าเด็กพวกนี้ทั้งเป็นเด็กดีและฉลาดแค่ไหน พวกเขาก็คงจะหมดห่วง” ป้าจางรู้สึกว่ามีน้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อยจึงเช็ดด้วยแขนเสื้อ สูดลมหายใจ แล้วเริ่มทำงานอีกครั้ง

ทั้งสามคนแบ่งงานและให้ความร่วมมือกันจนกระทั่งลืมตาไม่ขึ้น จากนั้นจึงเลิกงานและเข้านอนเพื่อพักผ่อน ก่อนเข้านอนก็นับได้ว่าเกินสามสิบกล่องแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ทำเพิ่มอีก กล่องไม้ไผ่จำนวนสองร้อยกล่องก็คงจะนำส่งทันเวลาอย่างแน่นอน

ในช่วงสามวันที่ผ่านมา กู้หนิงผิงวางแผนที่จะไปที่บ้านของฉือโถวเพื่อช่วยทำงาน แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ให้เขาไป กู้หนิงผิงไม่เข้าใจว่าทำไม แต่หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานบอกเขาว่ากลัวว่าครอบครัวของฉือโถวจะเกรงใจ เขาก็ทำได้เพียงยอมแพ้

กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าในสองสามวันนี้ ถ้านางไปช่วยก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าพวกเขาจะทำออกมาได้เท่าไร กู้เสี่ยวหวานก็เชื่อมั่นในตัวพวกเขา

ในวันที่สาม กู้เสี่ยวหวานก็ตื่นขึ้นตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง นางได้อธิบายให้กู้หนิงผิงฟังเมื่อคืนนี้แล้ว ครั้นจัดการทุกอย่างเรียบร้อย นางก็ได้ยินเสียงของฉือโถวดังมาจากข้างนอก กู้เสี่ยวหวานจึงรีบออกไปและเห็นเกวียนวัวที่บรรทุกของอยู่เต็มเกวียน

“พี่ฉือโถว ท่านเอามาเท่าไ?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น เมื่อนับดูแล้วคงไม่ต่ำกว่าสองร้อยกล่องเป็นแน่นอน