บทที่ 224 กลับบ้าน

บทที่ 224 กลับบ้าน

“เถ้าแก่อวี๋ กล่องไม้ไผ่ที่ท่านเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้ พวกเราทำจากไม้ไผ่ที่ดีที่สุดและสานด้วยมือ กล่องไม้ไผ่นั้นดูประณีตและสวยงาม หากวางไว้ที่บ้านก็เป็นงานศิลปะซึ่งหายากด้วย ราคาชิ้นละห้าตำลึงเงินเท่านั้นเจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเถ้าแก่อวี๋สนใจจึงแอบคิดว่าธุรกิจสำเร็จไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ครั้นเห็นเขาถามถึงราคา กู้เสี่ยวหวานก็รีบตอบกลับทันที

เมื่อได้ยินว่ากล่องไม้ไผ่ราคากล่องละห้าเหรียญ เถ้าแก่อวี๋ก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าห้าเหรียญจะไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่ถ้าเขาขายมากกว่าร้อยชิ้นต่อวัน เขาจะต้องใช้เงินห้าร้อยเหรียญไปกับกล่องไม้ไผ่ นี่จึงถือว่าเป็นการเพิ่มต้นทุน

เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่อวี๋เงียบลงอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานเดาว่าเขาคิดว่ามันแพงเกินไป แต่นั่นเป็นวิธีการทางธุรกิจที่ควรจะเป็น

กู้เสี่ยวหวานเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “เถ้าแก่อวี๋ ท่านลองคิดดูนะเจ้าคะ ห้าเหรียญนี้อาจไม่มากนัก แต่ถ้าท่านขายหนึ่งร้อยชิ้นต่อวัน มันคือห้าร้อยเหรียญซึ่งไม่น้อยเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ? ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าหากสูญเสียลูกค้าไปหลายสิบคนต่อวัน ขนมของท่านที่ดูดีมีระดับและขนมที่ถูกที่สุดมีราคายี่สิบตำลึงเงินต่อชั่ง ถ้าลูกค้ามาครั้งแรกแล้วไม่ได้ซื้อ มาครั้งที่สองก็ซื้อไม่ได้ นี่จะทำให้ท่านสูญเสียลูกค้าไปตลอด ท่านลองคิดดูว่าคุ้มหรือไม่ที่จะเสียเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษาลูกค้าไว้ หรือจะเสียลูกค้าไปเช่นเดิม?” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างฉะฉาน

เมื่อเถ้าแก่อวี๋ได้ฟังเช่นนั้นก็ครุ่นคิด

“จริงสิ!” เถ้าแก่อวี๋ตบต้นขาและกัดฟันกล่าวว่า “ได้! แต่กล่องของเจ้าจะต้องราคาถูกลงกว่านี้!”

เมื่อเห็นเถ้าแก่เห็นด้วย กู้เสี่ยวหวานก็กล่าวอย่างมีความสุขว่า “ตกลง เรามาเขียนสัญญากัน ถ้าในอนาคตท่านรับแค่กล่องไม้ไผ่จากครอบครัวของข้า ข้าจะคิดเงินท่านน้อยลงกล่องละครึ่งเหรียญ สี่เหรียญครึ่ง! ท่านว่าอย่างไรบ้าง”

เถ้าแก่อวี๋ลองคำนวณดู และนี่ก็น้อยลงมาก จึงรีบพยักหน้า “ตกลง มาเขียนสัญญากันเถอะ!”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าการเจรจาธุรกิจสำเร็จลุล่วง นางจึงกล่าวกับสวีเฉิงเจ๋อว่า “พี่เฉิงเจ๋อ รบกวนท่านเขียนสัญญาให้พวกเราหน่อยเจ้าค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นข้ากับเถ้าแก่อวี๋จะได้ลงชื่อในสัญญาได้”

หัวใจของสวีเฉิงเจ๋อเต็มไปด้วยความชื่นชม ไม่รู้ว่าสาวน้อยผู้นี้คิดอะไรอยู่ในหัวบ้าง ถ้าเขาเป็นเจ้าของร้านขนม เขาจะต้องซื้อกล่องไม้ไผ่นี้แน่นอน ใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อทำเงินได้มาก ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นคนโง่ไม่ใช่หรือ?

สวีเฉิงเจ๋อระงับความตื่นเต้นภายในใจของเขา และเขียนสัญญาที่เหมือนกันสองฉบับตามที่กู้เสี่ยวหวานกล่าว หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานอ่านอย่างละเอียดแล้ว นางและเถ้าแก่อวี๋ก็ลงนามในสัญญาทั้งสองฉบับ หากทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถือว่าการเจรจาธุรกิจนี้สำเร็จ

จากนั้นเถ้าแก่อวี๋บอกให้กู้เสี่ยวหวานส่งกล่องไม้ไผ่มาอย่างน้อยสองร้อยกล่องในสามวัน กู้เสี่ยวหวานจึงรีบตกลงโดยบอกว่าจะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะมาส่งกล่องไม้ไผ่ให้ที่นี่ เมื่อถึงเวลานั้นเถ้าแก่ได้โปรดยอมรับด้วย

หลังจากส่งกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว เถ้าแก่อวี๋ก็มาที่ร้านอีกครั้ง ดูเหมือนว่าลูกค้าจะรีบร้อนและมักจะเร่งลูกจ้างของเขาอยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าขนมของเขาช้า ลูกค้าก็กล่าวประโยคที่ว่า “ไม่ต้องการมัน” แล้วเดินจากไป

ลูกจ้างในร้านตะโกนเรียกอย่างไรก็เรียกไว้ไม่ได้ เขาทำได้แค่เอาของกลับคืนหลังจากห่อไปครึ่งกล่อง ลูกจ้างคนนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่

เถ้าแก่อวี๋มองดูและพบว่าคนผู้นั้นเลือกขนมมีราคาสูงและชิ้นใหญ่ เมื่อลูกค้าไม่เอาเช่นนั้นเขาก็เสียเงินนั้นไป เมื่อคิดเช่นนี้เถ้าแก่อวี๋ก็รู้สึกใจเจ็บ

ดูเหมือนว่าลูกค้าที่ใจร้อนจะเลือกใช้แต่วิธีง่าย ๆ และรวดเร็วเท่านั้น ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขาเสียลูกค้าและเสียรายได้ไปแล้วเท่าไร

ในอนาคต ถ้ามีกล่องไม้ไผ่จะทำให้การขายขนมสะดวกกว่านี้ และสามารถรับมือกับลูกค้าที่ใจร้อนแบบนี้ได้ง่ายขึ้น

ระหว่างทางเดินไปหาพวกกู้หนิงอัน สวีเฉิงเจ๋อยังคงตกตะลึงเล็กน้อยกับวิธีที่กู้เสี่ยวหวานใช้เจรจาเมื่อสักครู่ “เสี่ยวหวาน เมื่อครู่นี้เจ้าเยี่ยมมาก!”

กู้เสี่ยวหวานเขินอายเล็กน้อย หญิงสาวที่ต้องออกหน้ามาทำงาน กลัวว่าหลายคนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องการเอาชีวิตรอด แม้จะไม่มีคนมาช่วย แต่ถ้าไม่อยากอดตายก็ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้

“ชีวิตก็เช่นนี้แหละ!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว

เมื่อได้ยินเช่นนี้สวีเฉิงเจ๋อก็รู้สึกสับสน เขามองไปที่ร่างผอมบางของกู้เสี่ยวหวาน เขาไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความทุกข์ยากและความอุตสาหะ

เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถ้ายังไม่รีบกลับ เกรงว่าจะถึงบ้านดึกมาก

ทุกคนจึงนั่งรถม้ากลับบ้าน

ทุกคนหิวเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานจึงหยิบอาหารแห้งที่เตรียมไว้เมื่อวานนี้ออกมา แม้ว่าจะไม่ดีเท่าของที่สวีเฉิงเจ๋อนำมา แต่ก็มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

กู้เสี่ยวหวานใช้แป้งผสมกับไข่ ทำเป็นแป้งทอดไข่ แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมอย่างเท่า ๆ กัน เสียดายตอนนี้ไม่มีกุ้ยช่ายเลย ถ้ามีกุ้ยช่ายอีกสักหน่อย รสและกลิ่นของมันจะดีขึ้น

นี่เป็นครั้งแรกที่สวีเฉิงเจ๋อได้ทานอาหารเช่นนี้ แม้ว่าแป้งทอดไข่จะเย็นลงแล้วก็ตาม แต่เมื่อเขาคิดว่าเป็นกู้เสี่ยวหวานที่ปรุงมันขึ้นมา จึงกินมันอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อกลับไปถึงเมืองหลิวเจียท้องฟ้าก็มืดสนิท สวีเฉิงเจ๋อต้องการรั้งให้พวกกู้เสี่ยวหวานทานอาหารเย็นที่บ้านของเขาก่อนจะกลับ แต่ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรกู้เสี่ยวหวานก็ไม่เห็นด้วย สวีเฉิงเจ๋อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้รถม้าวิ่งไปส่งที่หมู่บ้านอู๋ซี

เมื่อกลับไปถึงหมู่บ้านอู๋ซี กู้เสี่ยวหวานก็ต้องการให้สวีเฉิงเจ๋ออยู่ทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับไป แต่ไม่คิดว่าสวีเฉิงเจ๋อจะไม่เห็นด้วยและนั่งรถม้ากลับไปเมืองหลิวเจียกับกู้หนิงอัน

หลังจากที่วิ่งวุ่นมาทั้งบ่าย เมื่อกลับถึงบ้านแม้แต่น้ำสักอึกก็ยังไม่ได้ดื่ม กู้หนิงอันรู้สึกผิดมาก “ท่านอาจารย์ ข้าเสียใจจริง ๆ ที่ท่านไม่ได้ดื่มน้ำร้อนสักอึก”

ที่สวีเฉิงเจ๋อไม่ได้กินน้ำไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แต่เพราะเขาเห็นว่ากู้เสี่วหวานวิ่งวุ่นอยู่ทั้งวันและร่างกายของนางคงรับไม่ได้อย่างแน่นอน เขาไม่ต้องการให้กู้เสี่ยวหวานเหนื่อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่ทานข้าวที่นั่น

ไม่เช่นนั้น

เขาอยากจะอยู่ทานข้าวที่นั่นจริง ๆ!

เมื่อคิดถึงอาหารที่กู้เสี่ยวหวานทำ สวีเฉิงเจ๋อก็แอบน้ำลายไหล และคิดว่าในครั้งต่อไปเขาจะต้องมาหาและทานอาหารด้วยแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานทำอาหารเย็นอย่างง่าย ๆ หลังจากรับประทานอาหารแล้วนางก็ไปที่บ้านของป้าจางพร้อมกับตะเกียง

ในสัญญานี้เขียนไว้ว่าจะทำกล่องไม้ไผ่อย่างน้อยสองร้อยกล่องภายในสามวัน ไม่รู้ว่าวันนี้พวกลุงจางได้ทำเสร็จไปบ้างแล้วหรือยัง ดังนั้นนางจึงต้องนำสัญญาฉบับนี้ไปให้กับพวกเขาโดยเร็วที่สุดเพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถทำกล่องไม้ไผ่ตามจำนวนดังกล่าวได้โดยเร็วที่สุด