บทที่ 216 แผ่นหลังของนางใหญ่กว่าหน้าอกอย่างเห็นได้ชัด

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 216 แผ่นหลังของนางใหญ่กว่าหน้าอกอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นความยากจนและความล้าหลังของหมู่บ้านแห่งนี้

บ้านเรือนภายในหมู่บ้านสร้างขึ้นจากไม้และมีรูปทรงเตี้ยทั้งหมด ขนาดแคบ ทั้งยังทรุดโทรม นอกหมู่บ้านไม่มีแม้แต่กำแพงกั้นอาณาเขต

นอกจากนี้บนหมู่เกาะฝูซางยังมีสัตว์อสูรมากมายที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ได้พบเห็นพวกมันระหว่างทาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงสามารถจินตนาการได้ว่าปัญหาด้านความปลอดภัยของหมู่บ้านแห่งนี้เลวร้ายเพียงใด!

ดูเหมือนจะมีท้องทุ่งรกร้างสองสามแห่งตั้งอยู่ใกล้กับปากทางเข้าหมู่บ้าน ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจเข้ามาถางเพื่อทำการเพาะปลูก ทำให้ทุ่งนาเหล่านี้รกชัฏไปด้วยวัชพืช

“ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าสมัยนี้จะยังมีหมู่บ้านดังกล่าวหลงเหลืออยู่”

ถังรั่วเวยรู้สึกประหลาดใจกับภาพตรงหน้า

“ในหมู่บ้านแห่งนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่จริงหรือ?”

“มีควันจากการก่อไฟหุงหาอาหารลอยกรุ่นขึ้นมาจากด้านในหมู่บ้าน”

หลีจิ่นเหยาเอ่ยเตือน

“ต้องมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อย่างแน่นอน”

ไป๋ชิวหรานกล่าว

“แต่สังเกตจากผิวเผิน เป็นการยากที่จะบอกว่าใช่มนุษย์หรือไม่”

“เราจะรู้แน่ชัดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าไปที่นั่น”

ซูเซียงเสวี่ยแนะนำ

ภายในกลุ่มเดินทางนี้ แม้แต่ถังรั่วเวยที่อ่อนแอที่สุดยังมีความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนในขั้นปฐมวิญญาณ ระหว่างทางสัตว์อสูรที่พวกเขาพบเห็นนั้นเป็นไก่เสียส่วนใหญ่ อาศัยความกล้าหาญของการเป็นผู้ฝึกตนเดินตรงเข้าไปยังหมู่บ้าน

เป็นผลให้พวกเขาถูกคนกลุ่มหนึ่งขัดขวางไว้ขณะที่เดินไปจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน

คนเหล่านี้มีรูปร่างหน้าตาและส่วนสูงที่แตกต่างกัน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือไม่ใช่มนุษย์!

“เวลากลางวันแสก ๆ ที่ท้องฟ้าสว่างแจ่มใสเช่นนี้ พวกอสูรยังไม่วายรบกวนถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษยชาติ”

หลีจิ่นเหยาขมวดคิ้วพลางกล่าวต่อไป

“ระบอบการปกครองของโลกมารนี่ช่างไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย”

ซูเซียงเสวี่ยเพียงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ไป๋ชิวหรานรีบยกมือขึ้นตบริมฝีปากตนเองทันที อาจเป็นเพราะหญิงสาวทั้งสองต่างพัวพันอยู่ในชีวิตของเขามาเป็นเวลานานพอสมควร จึงหลงลืมไปเสียแล้วว่าตนเองต่างเป็นคนของอสูรเผ่ามาร โดยเฉพาะซูเซียงเสวี่ยที่เคยเป็นถึงจักรพรรดินีแห่งโลกมาร!

ครั้นเห็นอสูรระดับต่ำเช่นอีกฝ่ายค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามารายล้อมรอบกายและใกล้เข้ามาทุกขณะ หลีจิ่นเหยาพลันเลื่อนมือไปแตะมีดคู่เขี้ยวมังกรที่เหน็บอยู่บริเวณบั้นเอว แต่ยังไม่ทันที่จะชักออกมาเพื่อสั่งสอนอสูรเหล่านั้นว่าอยู่คนละชั้นกับตน ทันใดนั้นเสียงแหบแห้งพลันดังขึ้นจากเหล่าอสูรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“โปรดรอสักครู่!”

สำเนียงการพูดนั้นเป็นภาษาท้องถิ่นของหมู่เกาะฝูซาง ทว่าภาษานี้ไม่ยากเกินความเข้าใจสำหรับไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ พวกเขาพอเรียนรู้มาบ้างแล้วเมื่อครั้งก่อนจะออกจากเมืองท่าจึงไม่มีปัญหาในการสื่อสาร

เหล่าอสูรแหวกแถวออกจากกันให้กับอสูรเพศหญิงที่มีขนและผมเผ้ารุงรัง ร่างกายแข็งแรง ใบหน้าเรียว ความสูงประมาณหนึ่งจั้งเศษกำลังเยื้องย่างอย่างเนิบช้าออกมาจากด้านหลังเหล่าอสูร นางคลุมร่างตนเองไว้ด้วยผ้าหยาบเนื้อธรรมดา ภายในมือถือมีดขนาดใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง และกระดองเต่าในมืออีกข้างหนึ่ง

เมื่อนางเดินมาถึงตรงหน้าของไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ นางมองดูพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยกกระดองเต่าในมือขึ้น พร้อมกล่าวพึมพำในลำคอสองสามคำ

“อะไรกัน?”

เมื่อเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดของอีกฝ่าย ไป๋ชิวหรานรู้สึกประหลาดใจ

“อสูรตนนี้สามารถทำนายด้วยกระดองเต่าได้อย่างนั้นหรือ?”

ครั้นอสูรได้รับคำทำนายแล้วจึงชี้นิ้วไปที่ถังรั่วเวยพร้อมกล่าวว่า

“มนุษย์ เชี่ยเซิน*[1] สามารถปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ในวันนี้ แต่แม่สาวน้อยนางนี้จะต้องอยู่ที่นี่… เป็นอาหารให้กับเชี่ยเซิน”

เมื่อเห็นอสูรที่ทั้งตัวใหญ่และร่างหนาผู้นี้เรียนรู้ที่จะเลียนแบบท่วงท่ากิริยาเฉกเช่นมนุษย์หญิงมากเสน่ห์ ทั้งยังเรียกขานตนเองว่าเชี่ยเซิน ไป๋ชิวหรานพลันรู้สึกอึดอัดในใจยิ่ง!

หญิงสาวร่างใหญ่ทึนทึกที่ไหนกันจะมีความมั่นอกมั่นใจเรียกตนเองว่าเชี่ยเซิน?

เขาขมวดคิ้วขณะคิด ก่อนจะตอบกลับไปทันทีว่า

“ไม่ได้หรอก ข้าจะมอบนางให้เป็นอาหารของเจ้าได้อย่างไร?”

“จากคำทำนายแล้ว นางมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหน้าท้องของเชี่ยเซิน”

อสูรหญิงชราหน้าตารุงรังกล่าว ขณะใช้มือถูวนบนหน้าท้องที่หย่อนคล้อยของตนเอง

อาจเป็นเพราะนางสามารถจับสัมผัสได้ถึงระดับขั้นการฝึกตนบนศีรษะของถังรั่วเวย และเป็นเพราะถังรั่วเวยมีขั้นการฝึกตนที่ต่ำกว่าใครทั้งหมด ทว่าหากกล่าวถึงแง่ของการฝึกตน อย่างไรถังรั่วเวยก็มีความสามารถเหนือนางอยู่ดี

ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำกล่าวของอสูรหญิง อสูรตนนี้เรียนรู้ที่จะพูดจาโดยใช้น้ำเสียงจอมปลอมและมีนิสัยหน้าซื่อใจคดเฉกเช่นมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไรกัน

เขาเกียจคร้านเกินกว่าจะกล่าวเรื่องไร้สาระกับอสูรตนนี้ ดังนั้นเขาจึงขยิบตาให้หลีจิ่นเหยาเล็กน้อยเป็นสัญญาณสั่งให้ลงมือได้

ชิ้ง!

เมื่อเห็นหลี่จินเหยาชักมีดออกมา อสูรตนนั้นพลันร้องตะโกนเสียงดัง

“การที่เจ้าจะเก็บหญิงสาวที่ไม่สามารถแยกออกระหว่างด้านหน้าและด้านหลังได้ นั่นนับว่าคุ้มค่าแล้วหรือ?”

ถังรั่วเวยรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น นางรีบดันผ้าเสริมทรงบนหน้าอกของตนโดยแรงให้มีขนาดฟูขึ้น ทว่ายังไม่ทันที่จะอ้าปากเถียง แต่ไม่คาดคิดว่าไป๋ชิวหรานจะมีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวกว่า!

“ไร้สาระ! เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถแยกแยะสรีระนางได้อย่างนั้นหรือ?”

เมื่อเห็นท่าทางโกรธเคืองของผู้เป็นอาจารย์ ถังรั่วเวยพลันรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าเขาจะตบแต่งกับภรรยาอย่างเป็นทางการแล้ว ทว่าอาจารย์ยังคงห่วงใยศิษย์เช่นตนอยู่เสมอ

ขณะที่นางกำลังคิดในแง่ดีเช่นนั้น กลับได้ยินไป๋ชิวหรานเอ่ยต่อไป

“พวกเจ้าช่างดวงตามืดบอดยิ่งนัก! แผ่นหลังของนางใหญ่กว่าหน้าอกอย่างเห็นได้ชัด!”

ตูม!

ถังรั่วเวยรวบรวมขั้นวิญญาณแท้จริงของตนเองทันที ก่อนจะตบฝ่ามือตนเองไปยังด้านข้างใบหน้าอาจารย์ของนางด้วยความโกรธเคืองยิ่ง

“ฮึ่ม! หุบปากเสียทีเถอะ!”

ดูเหมือนว่าอสูรหญิงชราจะไม่สามารถสังเกตเห็นความแข็งแกร่งและระดับขั้นการฝึกตนของอีกฝ่ายได้ดังเช่นที่ไป๋ชิวหรานคาดไว้แต่แรก นางเพียงตัดสินความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามจากรูปลักษณ์ภายนอกด้วยสัญชาตญาณของตนเอง

เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ไป๋ชิวหรานเป็นบุรุษเพียงผู้เดียวในกลุ่ม เดินทางมาพร้อมกับบรรดาหญิงสาวบอบบางอรชร อีกทั้งเขายังไม่ได้พาผู้อื่นมาคอยป้องกันตนเองแต่อย่างใด

ทั้งไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ยังได้ควบคุมรัศมีแห่งพลังปราณภายในร่างกาย ทำให้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขานั้นยังห่างไกลกว่าที่อสูรและสัตว์อสูรธรรมดาสามัญจะสามารถตรวจสอบได้

นอกจากนี้ ไหวพริบความฉลาดเฉลียวของอสูรหญิงชราไม่ได้ครอบงำความดุร้ายในสัญชาตญาณจนเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหลังจากถูกไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ยืนกรานปฏิเสธ นางจึงเงื้อมีดขึ้นสูงพร้อมออกคำสั่งขั้นเด็ดขาด

“พวกเจ้า จงตามข้ามา!”

เหล่าอสูรต่างกวัดแกว่งมีดในมือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

นางมีจิตใจตั้งมั่นทุ่มเทอย่างที่สุดแม้กระทั่งชีวิตของตนจะพบกับจุดจบ

หลีจิ่นเหยาเก็บมีดเขี้ยวมังกรกลับเข้าไปในฝักตามเดิม

ใบมีดของนางไม่ได้เปื้อนเลือดเลยแม้แต่น้อย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรระดับต่ำเหล่านี้ หลีจิ่นเหยาที่บรรลุขั้นผสานร่างเพียงชักมีดออกมาเท่านั้น แล้วปลดปล่อยพลังงานภายในใบมีดออกมา เมื่อเก็บใบมีดกลับเข้าฝักตามเดิม บรรดาอสูรที่อยู่รายล้อมรอบกายนางก็ถูกสังหารทิ้งจนหมดสิ้น!

หลีจิ่นเหยาแห่งสำนักอสูรสวรรค์ ในฐานะบุคคลที่อยู่ในพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร นางไม่ได้มีความรู้สึกผิดมากเกี่ยวกับการฆ่าอสูรด้วยกันเอง โดยเฉพาะอสูรที่กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร

แต่เนื่องจากไป๋ชิวหรานไม่เห็นด้วยกับการที่อสูรเหล่านี้กินเนื้อมนุษย์ นางจึงตัดสินใจฆ่าพวกมันให้ราบเสีย!

ครั้นทางสะดวก ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ จึงเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อตรวจสอบ ทว่าไม่มีผู้อื่นอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีก มีเพียงซากศพของมนุษย์ที่ถูกโยนทิ้งไว้ตามรายทาง ซึ่งพวกเขากลายเป็นกองกระดูกไปแล้ว…

ควันไฟจากการปรุงอาหาร ที่เหล่าอสูรก่อขึ้นกระท่อมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในหมู่บ้าน อสูรตนหนึ่งกำลังถือหม้อใบใหญ่ที่มีน้ำซุปเนื้อมนุษย์อยู่ในหม้อและถูกต้มจนเดือดพล่าน!

ไป๋ชิวหรานเรียกใช้เวทคาถาเพื่อทำลายสิ่งเหล่านี้ จากนั้นรวบรวมซากศพตามรายทาง รวมถึงผู้โชคร้ายที่ถูกต้มจนเปื่อยอยู่ในน้ำซุป ก่อนจะขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังกลบไว้ในหมู่บ้านแห่งนั้น แล้วพาหญิงสาวทั้งสามเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป

เป็นผลให้ทันทีที่พวกเขาออกจากหมู่บ้านได้บังเอิญพบเจอกับใครบางคนที่เคยรู้จักมักคุ้นตรงถนนปากทางเข้าหมู่บ้าน… อาจจะมากกว่าคนรู้จักโดยทั่วไป เพราะอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์บางอย่างกับซูเซียงเสวี่ย

“พวกอสูร!”

สตรีผมแดงในชุดกระโปรงยาวสีชมพูที่ประดับลายดอกไม้ เลื่อนมือไปจับด้ามกระบี่บนบั้นเอวตนเอง พลางเหลือบมองพวกเขาด้วยสายตาระแวดระวัง หรือกล่าวให้ชัดเจนคือจับจ้องไปที่ซูเซียงเสวี่ยเป็นพิเศษ

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ถูกเจ้าสังหารอย่างนั้นหรือ?”

ซูเซียงเสวี่ยส่ายหน้า ขณะที่ไป๋ชิวหรานเดินเข้าไปหานาง ก่อนจะยื่นมือให้กับหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูผู้นั้น

“ใจเย็นลงก่อนเถิด แม่นางเฟิงเจียนเหยา พวกเราต่างเคยพบเจอกันมาก่อนมิใช่หรอกหรือ?”

“เจ้ารู้จักชื่อแซ่ของข้าได้อย่างไร?”

เฟิงเจียนเหยามองไปที่ไป๋ชิวหรานด้วยสายตาแปลกใจ เวลานี้เขาเปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงโดยไม่ได้อำพรางแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเฟิงเจียนเหยาจะจดจำเขาไม่ได้ในทันที

หญิงสาวเพ่งมองหน้าเขาอีกครั้ง ก่อนจะหรี่ตาลงพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ทันใดนั้นจึงโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เป็นเจ้านั่นเอง เสือดำอาฝู!”

[1] เชี่ยเซินเป็นคำเรียกตัวเองอย่างถ่อมตัวของผู้หญิงจีนโบราณ