บทที่ 217 เกาเทียนหยวน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 217 เกาเทียนหยวน

“อุ๊บ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวนางนี้ ทั้งหลีจิ่นเหยา ถังรั่วเวย และแม้แต่ซูเซียงเสวี่ยต่างก็อดหัวเราะไม่ได้

“อาจารย์”

ศิษย์สายตรงของเขาเอ่ยถามทั้งที่ไหล่สั่นสะท้านจากแรงขบขัน

“นั่นมันชื่อพิสดารอะไรกัน?”

ไป๋ชิวหรานเหลือบมองไปทางซูเซียงเสวี่ย

“เรื่องนั้นเจ้าคงต้องถามนาง”

จากนั้นเขาจึงหันไปกล่าวกับเฟิงเจียนเหยา

“แม่นางเฟิง อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดไป ข้าเป็นมนุษย์เลือดบริสุทธิ์ ทว่าคราวที่แล้วเข้ามาอยู่ในโลกมารเป็นการชั่วคราว จึงจำเป็นต้องปลอมตัวเป็นคนของอสูรเผ่ามาร”

“หืม? แล้วเหตุใดเจ้าถึงรู้ชื่อแซ่ของข้าล่ะ?”

เฟิงเจียนเหยากล่าวอย่างระมัดระวัง

“จำได้ว่าข้าไม่ได้บอกให้เจ้ารับทราบเมื่อครั้งที่แล้วเสียหน่อย”

“ข้ามีสหายคนหนึ่งติดตามมาด้วย และเขาสามารถตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับคนที่ข้าพบเจอได้”

ไป๋ชิวหรานโบกมือก่อนกล่าวต่อไป

“ส่วนครั้งนี้ข้าบังเอิญมีธุระต้องมายังหมู่เกาะแห่งนี้ จึงมีเรื่องบางอย่างต้องการสอบถามจากแม่นาง”

ตามที่จื้อเซียนเคยกล่าวไว้ เฟิงเจียนเหยาผู้นี้มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ที่มหาวิหารฝูซางในตำนาน ไป๋ชิวหรานจึงคาดว่าถึงแม้ว่านางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเจียงหลานโดยตรง แต่ย่อมต้องรู้บางอย่างเกี่ยวกับไป๋ลี่เป็นแน่

ทว่าเฟิงเจียนเหยากลับปฏิเสธเขาทันควัน

“คงไม่ได้ เพราะไม่รู้จักตัวตนของเจ้าดีพอ อีกทั้งข้ายังมีภารกิจที่ต้องจัดการ”

“ภารกิจใดกัน?”

ไป๋ชิวหรานเหลือบมองนางเพียงครู่แล้วคาดเดา

“หากหมายถึงการกำจัดอสูรเหล่านี้คงไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้า เพราะอสูรเหล่านั้นถูกเราสังหารไปจนหมดสิ้นแล้ว”

เฟิงเจียนเหยาเหลือบมองพวกเขาเล็กน้อย ก่อนจะใช้ทักษะการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของตนวิ่งหายเข้าไปตรวจสอบภายในหมู่บ้านโดยใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา แล้วกลับออกมาสมทบกับไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ พร้อมเอ่ยถาม

“จงกล่าวมาสิ ว่าเจ้าต้องการรู้สิ่งใด?”

ไป๋ชิวหรานถูฝ่ามือของตนไปมา

“อยากรบกวนถามเจ้าว่าข้าจะเดินทางไปยังมหาวิหารฝูซางได้อย่างไร?”

“เจ้าต้องการไปที่มหาวิหารฝูซางอย่างนั้นรึ?”

เฟิงเจียนเหยาเหลือบมองพวกเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

“เจ้าคงอยากจะแสวงหาความเป็นอมตะใช่หรือไม่? ทว่าแท้จริงแล้วมหาวิหารฝูซางให้ความสำคัญกับชะตากรรมโดยธรรมชาติ ตามกฎ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นหนึ่งในผู้อาศัยของที่นั่น แต่ไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แท้จริงของมันได้ เจ้าควรเสาะหาด้วยตัวเองเท่านั้น”

“อืม เช่นนั้น…”

เมื่อเห็นว่าทัศนคติของนางมั่นคงต่อกฎเกณฑ์ ไป๋ชิวหรานจึงคิดว่าอาจเป็นเพราะตนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง เขาจึงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่

“เช่นนั้นข้าขอถามแม่นางเฟิงว่า มีหญิงสาวนามว่าเจียงหลานอาศัยอยู่ ณ มหาวิหารฝูซางหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่มสีหน้าของเฟิงเจียนเหยาก็พลันแปรเปลี่ยนไปจากเดิมยิ่ง นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะตั้งท่าพร้อมโจมตีโดยสัญชาตญาณแล้วถามกลับว่า

“เจ้าได้ยินชื่อนั้นมาจากที่ใดกัน?”

ไป๋ชิวหรานลอบสังเกตท่าทางของเฟิงเจียนเหยาไปพลาง

เห็นได้ชัดว่านางมีความระมัดระวังมาก ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้สองทาง ประการแรกคือมหาวิหารฝูซางเป็นกองกำลังฝ่ายศัตรูของเจียงหลาน แต่เมื่อพิจารณาถึงระดับขั้นการฝึกตนของเฟิงเจียนเหยาแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงตัดทอนความน่าจะเป็นนี้ไปได้ในทันที

เขาตระหนักดีถึงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเจียงหลาน หลังจากฝึกฝนมาหลายปีจนมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ความแข็งแกร่งของนางเป็นสิ่งที่มนุษย์เช่นเฟิงเจียนเหยาไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไล่ล่าหรือต่อสู้กับเจียงหลาน ต่อให้นางหรือถังรั่วเวยที่เพิ่งเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนได้ไม่นาน ทว่าอัตราการชนะยังอยู่ที่ประมาณสี่หรือหกจากสิบ

ดังนั้นความน่าจะเป็นเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ คือเจียงหลานเป็นคนจากมหาวิหารฝูซางอย่างแน่นอน อีกทั้งอาจมีฐานะเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา ส่วนเฟิงเจียนเหยาอาจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนาง บางทีอาจเป็นศิษย์ของนางก็เป็นได้

และนี่หมายความว่า ไป๋ชิวหรานอาจไม่สามารถ ‘เดินทาง’ ไปพบหน้าสตรีได้โดยง่าย เขาและเจียงหลานไม่ได้พบเจอกันมานานกว่าหลายแสนปีแล้ว อีกทั้งยังติดหนี้เจียงหลานที่ปล่อยให้นางต้องเป็นม่ายมาเป็นเวลานาน ทว่าเมื่อมีโอกาสได้พบเจออีกครั้ง นอกจากจะไม่ได้ขอโทษแล้ว ยังต้องผ่านด่านลูกศิษย์ของนางผู้นี้ไปให้ได้เสียก่อน

แม้ว่าไหวพริบทางอารมณ์ของเขาจะต่ำเพียงใด แต่รู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้

จากเหตุผลทั้งหมดแล้ว เห็นทีควรจะต้องเปลี่ยนวิธีการเสียใหม่

ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

“แม่สาวน้อย ตอนที่อาจารย์ของเจ้าขอให้ส่งบางอย่างมาให้ข้าก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้บอกเจ้าหรอกหรือว่าข้าเป็นใคร?”

“เจ้าคือบรรพชนกระบี่แห่งเผ่ามนุษย์ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินใช่หรือไม่?”

เฟิงเจียนเหยายังคงสงวนท่าที

ดูเหมือนว่าเจียงหลานจะไม่เคยบอกกล่าวผู้ใดให้รับทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา ส่วนอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนแห่งอสูรเผ่ามารอาจบอกแจ้งตัวตนที่แท้จริงของเขาเพียงว่าเป็นบรรพชนกระบี่เท่านั้น

“แม่สาวน้อย เจ้าลองไตร่ตรองดูให้ดี อาจารย์ของเจ้าขอให้มอบจี้หยกให้แก่ข้า นั่นหมายความว่าเราย่อมรู้จักตัวตนระหว่างกันดีอยู่แล้ว”

ไป๋ชิวหรานถูฝ่ามือตนเองอีกครั้ง

“ข้าไม่ต้องการไปที่มหาวิหารฝูซางเพื่อแสวงหาการเป็นอมตะ แต่เพียงต้องการพบเจอกับเจียงหลานเพื่อรำลึกถึงอดีตเท่านั้น แม่สาวน้อย รบกวนช่วยทำให้ความต้องการของข้าเป็นไปอย่างราบรื่นได้หรือไม่?”

สิ่งที่ไป๋ชิวหรานกล่าวมานั้นสมเหตุสมผล เฟิงเจียนเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมือข้างที่กระชับด้ามกระบี่ไว้แน่นลง

“ข้าพาเจ้าไปที่นั่นได้”

เฟิงเจียนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมเชื่อคำข้า”

ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ข้าเปล่าเชื่อถ้อยคำของเจ้า”

เฟิงเจียนเหยาตอบกลับทันควัน

“ทว่าความแข็งแกร่งของอาจารย์ข้านับว่าคงกระพันพอสมควร หากเจ้าไปถึงมหาวิหารฝูซาง ถึงแม้เจตนาของเจ้าจะผิดแผกไปจากที่บอกกล่าว เจ้าก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะรับมือกับนาง”

ไป๋ชิวหรานยักไหล่ จากนั้นประสานมือเข้าด้วยกันพร้อมกล่าวว่า

“รบกวนด้วย รบกวนด้วย”

“เช่นนั้นไปกันเถอะ ไปพร้อมกันกับข้า”

เฟิงเจียนเหยาหันหลังกลับพร้อมก้าวไปข้างหน้า โดยไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ เดินติดตามมา เมื่อเห็นสิ่งนี้เข้านางจึงหยุดชะงักไปอีกครั้ง

“เป็นอะไรไปอีกหรือ?”

ไป๋ชิวหรานถาม

เฟิงเจียนเหยาขมวดคิ้วพลางเหลือบมองไปที่ซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ก่อนถามกลับ

“พวกนางจะติดตามไปด้วยงั้นรึ?”

“อะไรกัน ไม่ได้หรือ?”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“พวกนางต่างเป็นคนกันเองสำหรับข้าทั้งนั้น”

เฟิงเจียนเหยาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า

“สำหรับเจ้าแล้วถือเป็นข้อยกเว้นที่จะอนุญาตให้ไปยังมหาวิหารฝูซาง ทว่าจะให้เจ้าพาภรรยาและอนุภรรยาไปด้วยคงไม่ได้”

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกนางไม่มีความสัมพันธ์ทำนองนั้นกับข้าเสียหน่อย”

ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะ ก่อนจะตบบ่าถังรั่วเวย

“ศิษย์สายตรงของข้า”

ว่าแล้วก็เอื้อมไปตบบ่าหลีจิ่นเหยาบ้าง

“สหายของศิษย์สายตรงข้า”

หลีจิ่นเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก ทว่าไป๋ชิวหรานแสร้งเพิกเฉยเสีย

เฟิงเจียนเหยาจึงเหลือบมองไปที่ซูเซียงเสวี่ยจากระยะไกล

“แล้วนางล่ะ?”

“นางเป็น…”

ไป๋ชิวหรานมองไปที่ซูเซียงเสวี่ย นิ่งคิดอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบ

“นางเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของข้า”

ซูเซียงเสวี่ยหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขณะที่หลีจิ่นเหยาอ้าปากค้าง

มีการล่วงประเวณีกันเกิดขึ้น!

หลังจากถังรั่วเวยลอบมองไปที่ซูเซียงเสวี่ยและไป๋ชิวหราน นางเริ่มคาดเดาภายในใจอย่างเงียบเชียบ

ต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างอาจารย์ของนางและเจ้าสำนักซูเป็นแน่ ในสถานที่ที่ศิษย์พี่หลีและข้าไม่รู้

“ฮึ่ม…”

สีหน้าของเฟิงเจียนเหยาดูไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เอาเถอะ เอาเถอะ”

ไป๋ชิวหรานส่ายหน้าพร้อมกล่าวแก้ไขสถานการณ์

“ข้าเชื่อว่าเจียงหลานเองก็อยากจะทำความรู้จักกับพวกนางเช่นกัน รบกวนเจ้าอนุญาตให้พวกนางติดตามไปด้วยเถิด”

“ข้าไม่สามารถเหาะไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยแบกรับคนจำนวนมากไปพร้อมกันได้”

เฟิงเจียนเหยากล่าว

“ข้าสามารถพาพวกเราทุกคนไปพร้อมกันได้”

ซูเซียงเสวี่ยเรียกร่างจำแลงของตนเองออกมา ก่อนจะกลายร่างเป็นมังกรเผือกเก้าเศียรที่มีความยาวตลอดลำตัวหลายสิบจั้ง ร่างกายเรียวยาว ท่าทางสง่างาม นางขอให้มังกรเผือกก้มศีรษะลง แล้วให้ทุกคนปีนขึ้นไปนั่งบนหลัง ก่อนจะหันไปเอ่ยถาม

“เอาล่ะ แล้วพวกเราจะไปที่นั่นกันอย่างไร?”

เฟิงเจียนเหยานั่งอยู่ลำคอของมังกรเผือก เหลือบมองไปยังซูเซียงเสวี่ยด้วยสายตาซับซ้อน เผยอริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย ไป๋ชิวหรานคาดเดาว่านางอาจยังอยากที่จะปฏิเสธ ทว่าเฟิงเจียนเหยาเป็นคนหน้าบางเกินกว่าจะกลับคำของตนเอง

นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วตอบกลับไปว่า

“สวรรค์ ต้องขึ้นไปสู่ชั้นเหนือเมฆ”

“มหาวิหารฝูซางสร้างขึ้นบนชั้นเหนือเมฆงั้นหรือ?”

ร่างจำแลงของซูเซียงเสวี่ยกระพือปีกพร้อมโผบิน ขณะเดียวกันร่างที่แท้จริงของนางก็เอ่ยถามเฟิงเจียนเหยาไปพลาง

“ใช่แล้ว แต่หากเจ้าต้องการไปยังมหาวิหารฝูซาง เช่นนั้นจำเป็นต้องผ่านสถานที่บางแห่ง”

เฟิงเจียนเหยาเหลือบมองหญิงสาวผู้งดงามนางนี้พร้อมกับขยับร่างกายเล็กน้อย

“เราต้องไปยังเกาเทียนหยวนก่อน”