เล่ม 1 ตอนที่ 86-2 จุดจบ ถอนหมั้น

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 86-2 จุดจบ ถอนหมั้น
หลังสนทนากับลี่ว์จูจบ เฉียวเวยก็ไปห้องครัว ในห้องขังอับชื้นยิ่งนัก น่ากลัวว่าไอเย็นจะซึมเข้าร่าง นางจึงอยากต้มน้ำขิงให้เด็กๆ สักถ้วย

พ่อครัวหลิวชี้ถ้วยยาน้อยบนเตา แล้วคลี่ยิ้มตอบว่า “นายท่านสั่งไว้ ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”

ใส่ใจปานนี้เชียว…

หลังเตรียมอาหารเรียบร้อย ลี่ว์จูก็ไปเรียกจีหมิงซิวให้ทานอาหาร แต่กลับพบว่าเขานั่งหลับอยู่ในถังอาบน้ำ…

หลังกินข้าวเสร็จ เฉียวเวยก็พาลูกๆ กลับเมือง นางแวะร้านเช่ารถม้าที่เช่ารถเมื่อวานก่อน สารถีเฒ่าเห็นนางก็นำข้าวของที่นางซื้อมาให้ “รอเจ้าอยู่นานแล้ว เมื่อวานจู่ๆ เจ้าก็ถูกศาลาว่าการจับตัวไป ข้าคิดว่าชั่วครู่ชั่วยามคงไม่ได้ออกมาแน่ จึงเอาข้าวของที่เจ้าซื้อกลับมาที่เมืองก่อน เป็นอย่างไร ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มตอบ “ไม่เป็นอันใด ขอบคุณมากที่ห่วงใย”

สารถีเฒ่าไม่ถามมากกว่านั้น เขามิได้มีนิสัยชอบนินทา “เจ้าลองตรวจดูหน่อย ข้าวของขาดหายไปหรือไม่”

ไม่ขาดสักอย่าง เฉียวเวยขอบคุณคนขับรถม้า จากนั้นจ่ายค่ารถอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือให้ แล้วนำข้าวของกลับมายังหรงจี้

หรงจี้ซื้อโต๊ะเก้าอี้มาแล้ว สถานที่ก็จัดการจนเรียบร้อย

เถ้าแก่หรงมองโคมไฟที่แขวนอยู่ประปราย แล้วไม่เข้าใจสักนิด “หากเจ้าจะใช้สถานที่เท่านี้ จะให้ข้าเช่าทั้งถนนไปทำอันใดเล่า”

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ถึงเวลาท่านก็ทราบเอง”

เฉียวเวยเข้าครัวทำกุ้งตุ๋นน้ำมันออกมาจานหนึ่ง กุ้งพริกหมาล่าอีกจานหนึ่ง เหล่าพ่อครัวล้วนเป็นมืออาชีพ เพียงแสดงให้ดูเล็กน้อยก็เข้าใจกระจ่าง ต่างคนลองทำไม่กี่ครั้งก็ทำเป็นประมาณหนึ่งแล้ว

เฉียวเวยนำกุ้งตุ๋นน้ำมันหม้อหนึ่งกลับหมู่บ้าน

นางไม่ได้กลับมาหนึ่งคืน คนบ้านหลัวร้อนใจแทบแย่ เฉียวเวยไม่ต้องการให้คนบ้านหลัวกังวล เดิมจึงคิดปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ เพียงบอกว่าตนไปซื้อข้าวของที่เมืองหลวงจนเลยเวลาที่เหมาะออกจากเมืองเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าป้าหลัวให้ลูกชายไปสืบข่าวในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว

จะถามข่าวคราวของนางไยมิใช่เรื่องง่าย นางต้องไปเมืองหลวงย่อมต้องเช่ารถ ไม่ใช่รถของเฉินต้าเตา ก็มีรถม้าของสองร้านเช่ารถม้าเท่านั้น เมื่อทราบว่านางถูกคนของศาลาว่าการจับตัวไป ป้าหลัวก็ร้อนใจจนกินข้าวไม่ลงทั้งวัน

“ตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ” เฉียวเวยปลอบป้าหลัว นางอยู่ในคุกมาแต่ต้องมาปลอบคนที่ไม่ได้เข้าคุก

ป้าหลัวขอบตาแดงเรื่อ “ผู้หญิงคนหนึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพข้างนอกลำบากนัก เจ้าว่าเจ้าหาบุรุษมาไว้สักคนจะลดความลำบากได้หรือไม่ ครั้งก่อนคุณชายโจวยังถามถึงเจ้าอยู่เลยแหนะ”

“ไม่ใช่ถูกหมิงซิวขู่จนหนีไปแล้วหรือ ยังไม่ตัดใจอีกหรือ” เฉียวเวยเดาะลิ้น

ป้าหลัวสูดจมูก “คุณชายโจวอีกคนหนึ่ง”

เฉียวเวย “…”

ท่านยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว กินกุ้งเถิด ครึ่งหนึ่งข้าทำเอง อีกครึ่งหนึ่งพวกพ่อครัวทำ” เฉียวเวยตัดสินใจเบี่ยงประเด็น

“อย่ามาเฉไฉ ข้าไม่มีอารมณ์กินอะไรหรอก” ป้าหลัวกล่าวจบ ก็ถูกเฉียวเวยป้อนกุ้งใส่ปาก นางเบิกตาโต “คิดจะปิดปากข้าหรือ ข้าขอบอกเจ้า ไม่มีทางเสีย…เอามาอีกตัวซิ”

เรื่องวุ่นวายในคุกนับว่าผ่านพ้นไปแล้ว ทุกสิ่งเป็นดั่งฟ้าใสหลังเมฆฝน เรื่องทุกอย่างกลับสู่ทางที่ควรจะเป็น ตอนเช้าไม่จำเป็นต้องไปส่งของในเมือง เฉียวเวยจึงประหยัดเวลาได้ไม่น้อย ต้นอ่อนของข้าวฟ่างหวานงอกออกมาดียิ่งนัก พวกมันโตจนจะเท่าเข่าของเจ้าซาลาเปาน้อยแล้ว ต้นอ่อนในที่นาสิบหมู่ ทอดสายตามองไปช่างดูอลังการนักเชียว ต้นอ่อนแตงโมที่ไหล่เขาก็แย่งชิงกันงอก เพราะหว่านเมล็ดช้าจึงเพิ่งงอกออกมาน้อยนิด แต่อัตราการงอกของพืชทั้งสองชนิดล้วนไม่เลว ดูสภาพนี้แล้วคงเป็นปีที่เก็บเกี่ยวได้บริบูรณ์

ที่จุดก่อสร้าง นายช่างหลายคนกำลังทำงานอย่างแข็งขัน ตอกแผ่นไม้อัดดินเสียงดังโป๊กๆ

ยิ่งอัดได้แน่นเท่าไร รากฐานก็ยิ่งมั่นคง

พลบค่ำวันหนึ่งปลายเดือนสี่ กิจการขายกุ้งของหรงจี้ก็เปิดฉาก ที่ว่างฝั่งตรงข้ามวางโต๊ะเก้าอี้ไว้เจ็ดแปดชุด เหนือศีรษะแขวนเชือกเส้นน้อยเอาไว้ บนเชือกแขวนตะกร้ากุ้งสีแดงเรียงรายเป็นทิวแถว ริมทางตั้งเตาเอาไว้ บนเตาวางกระทะใบโตไว้สองใบ ด้านข้างเตาคือโต๊ะเครื่องปรุง ด้านซ้ายเป็นถังไม้ใส่กุ้งตัวโต แต่ละตัวๆ ล้วนยังมีชีวิต

ผู้คนเคยเห็นคนตั้งร้านขายขนมแป้งทอด ขายบัวลอย ขายซาลาเปา แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนขายกุ้ง น่าสนใจ

เสี่ยวลิ่วยืนตะโกนอยู่ด้านหน้า “กุ้งสดใหม่ กุ้งตุ๋นน้ำมันตัวใหญ่ๆ! อยากกินตัวไหนก็ทำตัวนั้น สั่งเองเลือกเอง ไม่อร่อยไม่คิดเงิน!”

คนมามุงดูมากมายนัก แต่คนที่เข้ามาถามจริงๆ กลับไม่มีสักคน

คุณชายอายุน้อยผู้หนึ่งทนความสงสัยใคร่รู้มิไหวจึงก้าวเข้ามาถามประโยคหนึ่งว่า “ขายอย่างไร” เสี่ยวลิ่วยิ้มแย้มตอบ “หนึ่งชั่งเจ็ดสิบเก้าอีแปะ สองชั่งหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าอีแปะ วันนี้เปิดกิจการแถมน้ำบ๊วยให้ไม่คิดเงิน”

“กุ้งข้างนอกเพิ่งจะราคาชั่งละยี่สิบอีแปะ มาถึงร้านเจ้ากลับเพิ่มเป็นเท่าตัว!” คุณชายอายุน้อยไม่พอใจ

เสี่ยวลิ่วเกาศีรษะ

เฉียวเวยยกกุ้งที่เพิ่งลงจากกระทะจานหนึ่งเดินมาด้านหน้า ใบหน้าประดับรอยยิ้มการค้า “คุณชาย กุ้งร้านเรากับกุ้งด้านนอกไม่เหมือนกัน ร้านข้า กุ้งหนักหกเฉียนล้วนนำไปทำลูกชิ้นกุ้ง มีแต่กุ้งหนักเจ็ดเฉียนถึงเก้าเฉียนจึงจะนำมาทำกุ้งตุ๋นน้ำมัน ใช้สูตรเฉพาะของบรรพบุรุษข้า ท่านไปร้านอื่นก็หากินไม่ได้ ไม่เชื่อท่านลองชิม”

นางถือจานหนึ่งยื่นไปตรงหน้าคุณชายเยาว์วัย

คุณชายเยาว์วัยไม่สะดวกใจปฏิเสธ จึงรับไว้แล้วบิดู “จัดการกุ้งได้สะอาดทีเดียว”

เฉียวเวยยิ้มอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว “ดูคุณชายคงจะเป็นคนเข้าใจด้านนี้ ตอนพวกเราปรุงกุ้งล้วนนำขี้กุ้งออกหมดแล้ว”

ไม่มีผู้ใดมิชอบคำชม นับประสาอะไรกับหญิงงามเช่นนี้เอ่ยชม

คุณชายหนุ่มแทบจะกินกุ้งจนหมดทั้งที่หน้าแดง ความจริงกุ้งรสชาติเป็นอย่างไร เขาก็กินไม่รู้รส เอาแต่มองเฉียวเวย

เฉียวเวยยิ้มละไม “รสชาติเป็นเช่นไร”

“ดี ดี…” คุณชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกถึงความไม่สำรวมของตนเอง จึงรีบโค้งขออภัย “ผู้น้อยหยาบคายแล้ว ขอแม่นางโปรดอภัย”

คนงามย่อมต้องออกมาอวดโฉมให้โลกงดงาม มองดูนิดมองดูหน่อยเป็นอันใดไปเล่า

เฉียวเวยหัวเราะคิกคักตอบ “คุณชายจะลองชิมอีกสักตัวหรือไม่”

“ดี” ครั้งนี้ตั้งใจลิ้มรสจริงๆ แล้ว น้ำมันกับเครื่องปรุงสัดส่วนกลมกล่อม น้ำมันไม่เยิ้ม กุ้งเนื้อแน่นเด้ง กลิ่นหอมเผ็ดซาบซ่านอร่อยลิ้น กินตัวเดียวจะไปพออะไร “เอาให้ข้าหนึ่งชั่ง!”

“ท่านเป็นลูกค้าคนแรก นอกจากน้ำบ๊วย จะแถมไข่เยี่ยวม้าเป็นเครื่องเคียงให้ท่านอีกหนึ่งจาน”

ชื่อเสียงของไข่เยี่ยวม้าขจรขจายไปไกลตั้งนานแล้ว หนึ่งลูกตั้งสองร้อยอีแปะ จนเขาตัดใจซื้อไม่ลง วันนี้กลับได้แถมมาหรือ

คุณชายหนุ่มดีใจแทบบ้า กินหมดก็สั่งกลับบ้านอีกหนึ่งชั่ง เฉียวเวยแถมไข่เยี่ยวม้าให้เขาจานหนึ่งกับขนมซานเย่าไส้ถั่วแดงให้เขาอีกจานหนึ่งอย่างใจกว้าง (ความจริงเป็นของที่ตอนกลางวันขายไม่หมด…)

เมื่อมีหน่วยกล้าตายคนแรก ต่อจากนั้นคนก็เข้ามาถามกันมากมาย

ความจริงแล้วเฉียวเวยไม่กังวลสักนิดว่ากิจการกุ้งตุ๋นน้ำมันจะขายไม่ดี ชาติก่อนนางรู้จักร้านกุ้งอยู่ร้านหนึ่ง ค้าขายแต่ละวันได้เงินมากว่าหนึ่งหมื่นหยวน นั่นเป็นเมืองชั้นสี่ที่ระดับการใช้จ่ายของครัวเรือนไม่สูง ซ้ำคู่แข่งก็มาก กุ้งยังขายดีขนาดนั้น ตอนนี้นางทำกิจการอยู่ผู้เดียว ยังจะกลัวขายไม่ดีอีกหรือ

เฉินต้าเตาพาเหล่าพี่น้องมาช่วยอุดหนุน พวกเขาเฮละโลไปนั่งกันเจ็ดแปดโต๊ะ เฉียวเวยให้เสี่ยวลิ่วยกโต๊ะกับเก้าอี้มาเพิ่มบางส่วน

ผู้คนชอบชุมนุม พอเริ่มครึกครื้น คนก็ยิ่งแห่มามาก

เมืองซีหนิวอยู่ใกล้กับเมืองหลวง คนเดินทางผ่านมากมาย มีพ่อค้าจากเมืองหลวงพักอยู่ไม่น้อย เงินไม่กี่สิบอีแปะสำหรับพวกเขาแล้วไม่นับเป็นอันใด ยิ่งกว่านั้นเฉียวเวยยังแถมน้ำบ๊วยกับขนมให้อีก นายท่านทั้งหลายจึงกินอย่างอิ่มหนำสำราญ คำว่าเพิ่มอีกชั่ง เพิ่มอีกสองชั่งหลุดจากปากมาไม่ขาด

กุ้งห้าร้อยชั่งของวันแรก ไม่ถึงเที่ยงคืนก็ขายหมดแล้ว

เถ้าแก่หรงไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เขาสงสัยว่าแค่คนของพรรคชิงหลงอาจกินไปสักสองร้อยชั่ง!

“วางใจเถิด แต่ละคนสั่งไปแค่หนึ่งชั่งเท่านั้น สามสิบกว่าคนรวมกันแล้วยังไม่ถึงสี่สิบชั่งเลย” นางมิได้ขายกุ้งตุ๋นน้ำมันอย่างเดียวสักหน่อย ยังทำยำถั่วแระ ยำเนื้อวัว เต้าหู้แผ่นพะโล้พวกนั้นด้วย แม้จะขายเป็นเครื่องเคียง แต่ก็ขายออกไปได้ไม่น้อย

พ่อครัวทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยแล้ว เพิ่งจะเคยทำอาหารท่ามกลางสายตาธารกำนัลเป็นครั้งแรกจึงตื่นเต้นอยู่บ้าง พ่อครัวเหอเกือบจะจับกระบวยกลับด้าน แต่เมื่อเห็นคนเหล่านั้นกินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินไปชมฝีมือของพ่อครัวไป ในใจเขาก็อิ่มอกอิ่มใจ พอใจยิ่งนัก เป็นพ่อครัวมาสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นอาหารที่ตนทำเป็นที่นิยมปานนี้มาก่อน จานแล้วจานเล่า ไม่ได้หยุดพัก

แม้เหนื่อยแต่ก็ภูมิใจ

“วันพรุ่งนี้ก็ยังห้าร้อยชั่งสินะ” เฉียวเวยถาม

เถ้าแก่หรงกระแอม “มีเพียงห้าร้อยชั่งหรือ”

เฉียวเวยแสร้งทำโกรธ “นี่เพิ่งวันแรก ท่านก็รังเกียจว่าน้อยแล้ว ท่านคิดจะให้พี่ใหญ่ของข้าเหนื่อยตายหรือ!”

หลัวหย่งจื้อรับซื้อกุ้งเหนื่อยพอตัว บางคนก็มาส่งของเองถึงบ้าน แต่คนที่ไม่ส่ง เขาต้องตระเวนไปทั่วแปดหมู่บ้านสิบลี้ เข็นรถเข็นคันหนึ่งข้ามเขาข้ามภูง่ายนักหรือ

เถ้าแก่หรงไม่พูดแล้ว แต่เมื่อคิดอะไรขึ้นได้ เขาก็พลันเอ่ยว่า “ทำข้างนอก ไม่กลัวถูกคนขโมยวิชาหรือ”

“ไม่ทำข้างนอกก็ขโมยสูตรได้เหมือนกัน ลองชิมของร้านเราสักสองสามครั้งก็คงพอทำได้แล้ว” กุ้งตุ๋นน้ำมันก็มิใช่อาหารที่ทำยากสักเท่าใด เฉียวเวยตบหัวไหล่เถ้าแก่หรง “วางใจเถิด ขโมยสูตรไปก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องแย่”

เมื่อกลับถึงบ้าน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก็กอดกันหลับปุ๋ยแล้ว ชุ่ยอวิ๋นก็พาลูกน้อยเข้านอนแล้วเช่นกัน ป้าหลัวกับหลัวหย่งจื้อนั่งรอนางอยู่ในห้อง ดวงตาของทั้งสองคนเป็นประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้น

“แม่บุญธรรม พี่ใหญ่” เฉียวเวยเข้ามาในห้อง

ป้าหลัวรีบเอ่ย “หิวแล้วใช่หรือไม่ ข้าไปต้มบะหมี่ให้เจ้าสักชาม”

เมื่อครู่ยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก ดมกลิ่นน้ำมันกลิ่นควันจนอิ่ม ตอนนี้กลับถึงบ้านจึงเพิ่งรู้สึกว่าท้องกำลังร้องโครกคราก

ป้าหลัวทำบะหมี่เนื้อซอยแกล้มผักมาสองชาม แล้วยังใส่ไชเท้าดองที่ตนทำเองลงไปนิดหน่อยด้วย

เฉียวเวยกินบะหมี่ไปพลาง ป้าหลัวก็คุยกับนางไปด้วย “รู้หรือไม่ว่าวันนี้พี่ใหญ่ของเจ้าได้เงินมาเท่าไร”

“เท่าไรหรือ” เฉียวเวยกลืนบะหมี่

ป้าหลัวมองหลัวหย่งจื้อ “เจ้าพูดสิ”

หลัวหย่งจื้อหัวเราะเหอะๆ “หนึ่งตำลึงเงินกับห้าร้อยอีแปะ”

นี่เป็นส่วนต่างราคาระหว่างการรับซื้อกับการขายต่อ นับว่าเป็นกำไรสุทธิ หนึ่งวันก็เกือบสองตำลึงแล้ว เดือนหนึ่งจะได้สักเท่าไร เพียงคิดหลัวหย่งจื้อก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ

ป้าหลัวเอ่ยขึ้นว่า “เงินนี้ข้าจะตัดสินให้ ให้พี่ชายเจ้าเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นของเจ้า”

“ทำไมเล่า”

ป้าหลัวกลัวว่านางจะรังเกียจว่าน้อย แม้ลูกชายจะเป็นคนลงแรง แต่ความคิดเป็นของเสี่ยวเวย ไม่มีความคิดของเสี่ยวเวย ต่อให้ลูกชายวิ่งจนสองขาหักก็เสียแรงเปล่า “ข้าก็รู้สึกว่าให้พี่ใหญ่ของเจ้ามากไปหน่อย”

เฉียวเวยกลั้นหัวเราะไม่ไหว “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าจะบอกว่าเงินนี่น่ะ แต่เดิมก็เป็นเงินที่พี่ใหญ่หามาได้ จะให้ข้าทำไมเล่า”

ป้าหลัวตกตะลึง

เฉียวเวยวางตะเกียบลงแล้วมองนางอย่างจริงจัง “ข้ามีเงินส่วนที่ข้าได้อยู่แล้ว ท่านวางใจเถิด”

บุญคุณที่บ้านหลัวมีต่อนางมากมายนัก ไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ แต่เป็นเสียยิ่งกว่าครอบครัวสายเลือดเดียวกัน ดีกว่าครอบครัวที่ขับไล่ ‘นาง’ ออกมาครอบครัวนั้นมากนัก นางมีเหตุผลอันใดให้ไม่ทำดีต่อบ้านหลัว

กิจการกุ้งตุ๋นน้ำมันรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับซื้อกุ้งและส่งของ หลัวหย่งจื้อจึงซื้อลามาตัวหนึ่ง แล้วขอร้องนายช่างที่สถานที่ก่อสร้างให้ทำรถลากคันเล็กให้คันหนึ่ง หลังจากมีรถลาก อาณาเขตที่เขารับซื้อของก็กว้างขึ้นอีก ปริมาณของที่ส่งให้หรงจี้จึงเพิ่มจากห้าร้อยชั่งเป็นหกร้อยชั่ง

เดือนห้าตามปฏิทิน เป็นช่วงเวลาทองของกุ้ง กุ้งในช่วงนี้ตัวอวบแน่นรสดีที่สุด ‘แผงขายอาหาร’ ของหรงจี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทุกคืน ด้านนอกนั่งไม่หมดจริงๆ จึงต้องเข้ามานั่งในเหลาสุรา จนต่อมาในเหลาสุราก็เต็มไปด้วย

การทำตามกระแสมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อเห็นกุ้งตุ๋นน้ำมันของหรงจี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เหลาสุราเย่ว์ไหลก็ทำอาหารแบบเดียวกันขึ้นมาบ้าง แต่ครั้งนี้ผู้คนเห็นกันถ้วนหน้าแล้ว ฝั่งนั้นจึงไม่ป่าวประกาศว่าหรงจี้ขโมยสูตรลับของพวกเขาอีก

เย่ว์ไหลทำแล้ว เหลาสุราแห่งอื่นก็ทยอยกันลอกเลียนแบบ กุ้งที่ขายอยู่ในตลาดนัด ทุกวันล้วนขายหมดเกลี้ยง

แต่ไม่นานสหายร่วมอาชีพทั้งหลายก็พบว่า ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรก็ขายดีสู้หรงจี้ไม่ได้ รสชาติความจริงแล้วแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็นับว่ารสชาติอร่อยแน่นอน เหตุใดคนเหล่านั้นจึงยินยอมต่อแถวอยู่นอกหรงจี้ แต่ไม่เข้ามาในเหลาสุราของพวกเขาเล่า

หรือว่า…จะต้องออกไปทำข้างนอก

ฤดูร้อนอบอ้าว ฝูงชมรวมตัวอยู่ด้วยกัน สั่งกุ้งตุ๋นน้ำมันเผ็ดร้อนกระทะหนึ่ง กินแกล้มน้ำบ๊วยเย็นสดชื่นอร่อยล้ำ กินให้เผ็ดพ่นไฟขึ้นฟ้า นั่นจึงจะสุดยอด!

สหายร่วมอาชีพทั้งหลายรีบไปหาร้านเช่าแผงร้านค้า แต่กลับถูกปฏิเสธว่าแผงทั้งหมดบนถนนเส้นนี้ถูกเช่าไปแล้ว

“ผู้ใดเช่าไป” เถ้าแก่เนี้ยของเย่ว์ไหลถาม

หัวหน้ากิจการตอบว่า “หรงจี้เช่าไปแล้ว”

“พี่หรง ท่านยึดแผงไปเปล่าๆ เช่นนั้นตั้งมากมาย แบ่งให้ข้าสักหน่อยเถิด ข้าไม่โลภมาก ท่านแบ่งเจ็ดแปดแผงข้างเหลาสุราข้าให้ข้าก็พอ” เถ้าแก่เนี้ยเย่ว์ไหลเอ่ยเสียงหวาน

เถ้าแก่หรงกระแอมเบาๆ “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจมิได้หรอก เถ้าแก่รองล้วนเป็นผู้ดูแล”

“ผู้หญิงที่ไล่พ่อครัวหวงออกคนนั้นน่ะหรือ” เถ้าแก่เนี้ยของเย่ว์ไหลกลอกตา นางใช้เงินตั้งมากกว่าจะส่งไส้ศึกแทรกซึมเข้ามาได้ แต่เพียงชั่วพริบตาก็ถูกแม่นางน้อยผู้นั้นจับได้ น่าชังนัก “พี่หรง พี่ชายคนดีของข้า ท่านรับปากข้าเถอะ เป็นสามีภรรยาคืนเดียวผูกพันตัดไม่ขาด ไยท่านทนดูข้าค้าขายไม่ออกได้ลงคอ”

เรือนร่างนางแนบลงมาแผ่วเบา

เถ้าแก่หรงรีบลุกขึ้นยืน

แต่นางกดเขาลง

เขาลุกขึ้นอีกหน แต่ครั้งนี้ที่ลุกมิใช่ขา แต่เป็นเถ้าแก่หรงน้อยตรงหว่างขา

นางเห็นแล้วก็ยิ้มจนตาหยี มือเรียวงามลูบลงไปด้านล่างเบาๆ “พี่หรง ท่านรับปากน้องสิ”

ในใจเถ้าแก่หรงกู่ร้องคำราม

ช่วยด้วยจ้า ช่วยด้วยจ้า เสี่ยวเฉียวรีบมาช่วยข้าเร็ว หากไม่มาข้าจะรักษาความตั้งใจไว้มิได้แล้วนะ หรงหรงน้อยมันไม่ฟังคำสั่งของข้าแล้ว มันอยากก่อกบฏ!

ปัง!

เฉียวเวยตบประตูเปิดอย่างแรง!

หรงหรงน้อยตกใจจนพลีชีพในพริบตา!

เถ้าแก่เนี้ยแห่งเย่ว์ไหลรามืออย่างมิใคร่จะยินยอม นางเหยียดตัวตรงมองไปทางเฉียวเวยแล้วแค่นเสียงเอ่ยว่า “โอ๊ะ เถ้าแก่รองมาแล้วหรือ ไม่เห็นหรือว่าเถ้าแก่ใหญ่ยุ่งอยู่ เหตุใดเข้ามาไม่เคาะประตูเล่า”

เฉียวเวยยกสองมือขึ้นกอดอก แล้วยิ้มอย่างเอาแต่ใจ “ข้าเคาะประตูหรือไม่เคาะแล้วมันหนักส่วนไหนของเจ้า หรงจี้เป็นของข้า ข้าอยากไปที่ใดก็ไปที่นั่น ข้าอยากเคาะประตูก็เคาะ พี่หรง ท่านว่าใช่หรือไม่”

เถ้าแก่หรงเห็นทางรอดจึงกระโดดพรวดไปหลังร่างเฉียวเวยทันใด สตรีผู้นั้นยั่วยวนเกินไปแล้ว ช่างเหมือนในอดีต แต่ยามนั้นเขายังไม่แต่งงาน แต่ตอนนี้เขามีลูกมีเมียแล้ว เขามิอาจเสเพลตามใจได้อีก!

มุมปากของเถ้าแก่เนี้ยแห่งเหลาสุราเย่ว์ไหลกระตุก “ข้ามาหาพี่หรงเพรามีธุระเล็กน้อย รบกวนเจ้าออกไปหน่อย”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “หากเป็นเรื่องแผงตั้งร้าน ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็มาหาผิดคนแล้ว”

“เจ้ามิใช่ถ้าแก่เสียหน่อย!”

“นางใช่” เถ้าแก่หรงโผล่ศีรษะออกมาจากหลังของเฉียวเวยอย่างระมัดระวัง กล่าวจบก็หดกลับไปอย่างรีบร้อน

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ได้ยินแล้วหรือยัง”

เถ้าแก้เนี้ยเย่ว์ไหลหนังตาเริ่มกระตุก “พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ถึงจะยอมให้เช่าแผง”

เฉียวเวยยิ้มหวาน “แข่งให้ราคา ใครให้สูงก็ได้”

กิจการขายกุ้งตุ๋นน้ำมันขายดีเกินไปแล้ว ยามปกติเช่าแผงไม่กี่สิบอีแปะ หนึ่งแผงก็กวาดเงินได้เกือบหนึ่งตำลึงเงิน เหลาสุราแห่งหนึ่งเช่าอย่างน้อยก็ต้องสามสี่แผง อยากทำการค้ามากหน่อยก็ต้องเช่าสักเจ็ดแปดแผง ขีดสุดคือแปดแผง ตัวหรงจี้เองใช้ทั้งหมดยี่สิบแผง

จัดการเช่นนี้ วันหน้าต่อให้ทั้งถนนทำกิจการขายกุ้งตุ๋นน้ำมันทั้งหมด หรงจี้ก็ยังเป็นเจ้าใหญ่อย่างสมศักดิ์ศรี

ไม่อาจไม่พูดว่าหมากตานี้ของเฉียวเวยเดินได้งดงามยิ่งนัก

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยแห่งเย่ว์ไหลก็ต้องทำเหมือนผู้อื่น รีดเลือดมาจ่ายค่าเช่าแผงตลาดกลางคืน นางปวดใจจนทั้งชีวิตไม่ต้องการพูดจากับเถ้าแก่หรงอีก

ฝั่งเฉียวเวยกิจการรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน แต่อีกฝั่งหนึ่งบ้านรองตระกูลเฉียวกำลังพบเรื่องร้ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เฉียวอวี้ซีดวงแก้วกลางฝ่ามือของพวกเขาถูกจับเข้าคุกเสียแล้ว เพราะมิใช่การจับผู้บริสุทธิ์ สวีซื่อคิดจะไปอธิบายกับผู้อื่นก็แก้ตัวมิได้ สวีซื่อเที่ยวหาเส้นสายไปทั่วแต่ก็มิอาจพาบุตรสาวออกมาจากคุก

“ท่านแม่! ท่านแม่รีบช่วยข้าออกไปที!” เฉียวอวี้ซีน้ำตาร่วงพรูดุจสายฝน “ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่! ที่นี่มีแต่แมลงสาบกับหนู! ของกินก็เป็นหมั่นโถวเน่าๆ! ผู้คุมเรือนจำยังตีคนด้วย!”

สวีซื่อปวดใจแทบบ้าแล้ว นางมีบุตรสาวคนนี้เพียงคนเดียว นางอยู่ในวัยผลิบานดั่งบุปผา อนาคตอันงดงามรออยู่ข้างหน้าแต่กลับมาถูกจับขังคุก

นางมองดวงหน้าที่ซูบผอมลงไปรอบหนึ่งของบุตรสาว ดวงใจราวกับถูกมีดกรีด “เจ้านะเจ้า ไม่มีเรื่องอันใดดันต้องไปใส่ร้ายผู้อื่น ครั้งนี้เป็นอย่างไรเล่า ใต้เท้าโมโหแล้ว! ใต้เท้าไม่ไยดีเจ้า ใครจะทำอันใดได้”

เฉียวอวี้ซีร่ำไห้ “ข้าจะไปหาเหล่าฮูหยิน! เหล่าฮูหยินจะต้องช่วยข้าแน่!”

ขอโทษด้วย คนที่ให้ไปส่งข่าวกับเหล่าฮูหยินทั้งหมดถูกจีหมิงซิวดักไว้ เหล่าฮุหยินไม่ทราบว่าสักนิดจวนเอินปั๋วเกิดเรื่องอันใดขึ้น แล้วยังโมโหที่จีหมิงซิวจากไปโดยไม่ลา รั้นจะให้จีหมิงซิวไปง้อนางกลับมาด้วย

แต่จีหมิงซิวจะไปง้อหรือ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่

“ท่านแม่…ฮือฮือ…ท่านแม่…ข้าอยากออกไป…” เฉียวอวี้ซีร่ำไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา

หัวใจของสวีซื่อดั่งถูกมีดคว้าน

เด็กรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา “ขอถาม เฉียวฮูหยินใช่หรือไม่”

สวีซื่อพยักหน้า “ข้าเอง”

“ใต้เท้าของข้าให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมามอบให้ฮูหยิน” เด็กรับใช้จากจวนอัครมหาเสนาบดีส่งจดหมายถึงมือสวีซื่อด้วยมือตนเอง

สวีซื่เปิดจดหมายออก ในจดหมายเขียนไว้เพียงสั้นๆ ไม่กี่คำ ‘อยากออกจากคุก ก็ถอนหมั้นเสีย’