ตอนที่ 87-1 เล่นงานบ้านรอง
ระหว่างนั่งรถม้ากลับจวน สวีซื่อรู้สึกอับจนหนทาง ตัวอักษรดำบนกระดาษขาวของจีหมิงซิวเขียนไว้ชัดเจนกระจ่างแจ้ง ไม่มีหนทางเหลือให้เจรจาเลยแม้แต่น้อย
แต่เดิมลำดับวงศ์ตระกูลของจวนเอินปั๋วก็ไม่คู่ควรกับตระกูลดังนับร้อยปีอย่างตระกูลจีจริงๆ อดีตฮองเฮาติดค้างน้ำใจเสิ่นซื่อเอาไว้จึงแหวกธรรมเนียมกำหนดงานแต่งให้สองครอบครัว ด้วยเกรงว่าจวนอัครมหาเสนาบดีจะดูแคลนตระกูลเฉียว จึงจงใจสั่งว่าหากมิใช่ตระกูลเฉียวขอ จะถอนหมั้นมิได้
กล่าวกันว่าผู้วายชนม์มิมีใครชนะได้ หากอดีตฮองเฮายังมีพระชนม์ชีพอยู่ จวนอัครมหาเสนาบดีอาจขอร้องนางให้ถอนพระราชเสาวนีย์ แต่คนกลับคืนสรวงสวรรค์แล้ว จะไปขอร้องที่ใดได้ จวนพญายมในยมโลกหรือ
ก็เพราะเหตุผลนี้เอง ตระกูลเฉียวถึงกล้าขับไล่คุณหนูใหญ่เฉียวออกจากตระกูลแล้วให้เฉียวอวี้ซีมาแทนที่นาง
นางทราบว่าอัครมหาเสนาบดีมิชอบบุตรสาวของตน แล้วก็ทราบว่าจีหว่านไม่เห็นด้วย แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เคยทำให้นางคิดถอย ถึงอย่างไรการแต่งงานระหว่างสองตระกูลก็เป็นสิ่งที่อดีตฮองเฮากำหนดไว้ จวนอัครมหาเสนาบดียอมก็ยอม ไม่ยอมก็ต้องยอม ตระกูลเฉียวไม่มีวันยื่นหนังสือถอนหมั้นแผ่นนั้นแน่
นางคิดว่าจีหมิงซิวจะไม่มีหนทางทำอันใดตระกูลเฉียวได้ แต่เมื่อจ้องตัวอักษรแปดคำนั้นในมือ นางพลันตระหนักโดยพลันว่าตระกูลเฉียวต่างหากที่ไม่มีหนทางทำอันใดจีหมิงซิวได้!
ข่าวเรื่องการ ‘ถอนหมั้น’ กระจายไปทั่วจวนตระกูลเฉียวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ฮูหยินของแต่ละบ้านล้วนมาหาสวีซื่อ พวกนางนั่งบนเตียงเตา ฮูหยินบ้านสามนั่งประจันหน้ากับสวีซื่อ ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนม้านั่งแกะสลักคือฮูหยินของบ้านสี่
หลินมามายกน้ำชากับขนมมาแล้วพาบรรดาสาวใช้เดินออกไป
ฮูหยินสามสะบัดผ้าเช็ดหน้ากล่าวว่า “พี่สะใภ้รอง ตามความเห็นข้า การแต่งงานครั้งนี้อย่ายกเลิกจะดีกว่า”
สวีซื่อก็ไม่อยากยกเลิก แต่นางมีหนทางหรือไร ไม่ถอนหมั้น บุตรสาวนางก็ต้องอยู่ในสถานที่ไม่ใช่สำหรับคนอยู่นั่นต่อไป!
ฮูหยินสามเอ่ยเสียงอ่อนช้อย “อัครมหาเสนาบดีไม่ชอบซีเอ๋อร์ ก็ยังมีถงเอ๋อร์ของพวกเรา ถงเอ๋อร์ยังไม่ต้องตาอีก ก็ยังมีหรงเอ๋อร์ของบ้านสี่ เจ้าว่าใช่หรือไม่น้องสะใภ้สี่”
ฮูหยินสี่คร้านจะลงไปเกลือกน้ำขุ่นด้วย จึงยิ้มแต่ไม่พูดอันใด
สวีซื่อหน้าบึ้งเอ่ยว่า “เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า อัครมหาเสนาบดีไม่ถูกใจบุตรสาวข้าแล้วจะถูกใจบุตรสาวของพวกเจ้าหรือ จากบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์นับพันคน ซีเอ๋อร์เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมความสามารถที่สุด หากนางยังไม่เข้าตาอัครมหาเสนาบดี ผู้อื่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว”
ฮูหยินสามหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “รูปโฉมความสามารถสู้มิได้ แต่คุณธรรมต้องทำให้อัครมหาเสนาบดีพอใจแน่”
นี่จะด่าอ้อมๆ ว่าเฉียวอวี้ซีขาดคุณธรรมหรือ
แววตาของสวีซื่อเย็นยะเยือกในทันใด นางตบโต๊ะเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด! จวนเอินปั๋วผลัดถึงตาพวกเจ้าตัดสินใจตั้งแต่เมื่อใด”
ฮูหยินสามอุทานชิชะในใจ คิดว่าตัวเองเป็นฮูหยินใหญ่จริงๆ แล้วหรือ หากบ้านใหญ่ไม่ล้ม จะผลัดถึงตาครอบครัวพวกเจ้าได้ประโยชน์หรือ ตอนเสิ่นซื่อยังอยู่ เจ้ากล้าผายลมไหม มีผู้ใดสูงศักดิ์กว่าผู้ใดด้วยหรือ
“น้องสะใภ้สี่ พวกเราไป!” ฮูหยินสามจูงฮูหยินสี่จากไป
สวีซื่อกุมหน้าผาก เหนื่อยใจยิ่งนัก
ยามเสิ่นซื่อปกครองบ้านเหมือนจะไม่เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้นะ ทั้งวันสบายอกสบายใจ ทำสิ่งใดก็ง่ายดายยิ่งนัก เหตุใดพอเป็นนางแล้วกลับยากเย็นเช่นนี้เล่า
“ฮูหยิน” หลินมามาเข้ามาในห้องเห็นนางหน้าซีดลงๆ ก็เอ่ยอย่างปวดใจ “ท่านอย่ากังวลเกินไปเลย จะต้องมีหนทางแน่ ไม่ใช่มีคำกล่าวว่าเรือแล่นถึงสะพานย่อมตั้งลำได้เองหรือ”
สวีซื่ออารมณ์พลุ่งพล่านจนตาแดงก่ำ “นั่นคือบุตรสาวของข้า หลินมามา! บุตรสาวที่ข้าให้กำเนิดมาเอง! นางถูกขังไว้ในคุก เจ้าบอกให้ข้าไม่ร้อนรน! ข้าจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร! ข้าร้อนใจแทบบ้าแล้ว! ข้าร้อนใจจนกินไม่ลง! นอนก็ไม่หลับ! ข้าหลับตาก็เห็นนางร่ำไห้ขอร้องให้ข้าช่วยนางออกมา! แต่ข้าช่วยไม่ได้ ข้าช่วยไม่ได้ หลินมามา!”
หลินมามาตกใจแทบแย่ นางประคองแผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยว่า “ใช่ มิใช่ข้า ข้าจึงพูดได้ แต่บนโลกใบนี้ มีมารดาคนใดไม่เป็นห่วงบุตรบ้างเล่า แต่ฮูหยิน ท่านกังวลใจไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องใจเย็น ครุ่นคิดให้ถี่ถ้วนว่าสมควรรับมือเช่นไรจึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง”
สวีซื่อสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ข้าจะไปหานายท่าน”
เฉียวปั๋วเพิ่งกลับมาจากสำนักหมอหลวง เขากำลังจัดสิ่งของที่ต้องใช้วันพรุ่งนี้อยู่ในห้องหนังสือ เมื่อฟังสวีซื่อ ‘รายงาน’ จบ เขาก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ซีเอ๋อร์เพิ่งกลับจากอารามไม่นานก็ทำเรื่องเช่นนี้ เจ้าสั่งสอนนางอย่างไรกัน”
สวีซื่อขยำผ้าเช็ดหน้าแน่น “นายท่าน ท่านจะตำหนิข้าก็รอช่วยซีเอ๋อร์ออกมาก่อนเถิด ตอนนี้ท่านเร่งคิดหาวิธีให้เจ้าเมืองปล่อยซีเอ๋อร์เถอะ!”
เฉียวปั๋วเอ่ยเสียงเย็นชา “ปล่อยนางหรือ เจ้าพูดง่ายนักนะ เจ้าลืมแล้วหรือว่าผู้ใดโยนนางเข้ากรงขัง หากข้ามีปัญญาเอ่ยโต้แย้งอัครมหาเสนาบดี ข้าคงไปนั่งตำแหน่งหัวหน้าสำนักนานแล้ว!”
สวีซื่อถูกตวาดจนบื้อใบ้หมดคำพูด ผ่านไปพักใหญ่ถึงหาเสียงของตนเองกลับมาได้ “ท่านเป็นหมอหลวงอยู่ในวัง เอ่ยวาจากับฝ่าบาทและบรรดาพระสนมได้ ท่านขอความเมตตาแทนซีเอ๋อร์หน่อยมิได้หรือ”
“พูดได้มิได้แปลว่าจะพูดสำเร็จ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าอยากโวยวายให้ทั้งราชสำนักรู้กันหรือไร” เฉียวปั๋วตวาดดุดัน
พูดมาตั้งนานก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง สวีซื่อเริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว “ถ้าเช่นนั้นท่านคิดจะทำอย่างไร จะให้ซีเอ๋อร์ถูกขังอยู่ในคุกไปตลอดมิได้กระมัง อย่าลืมว่านางเป็นบุตรสาวของท่าน!”
เฉียวปั๋วขมวดคิ้ว “ยังจะทำอันใดได้อีก อัครมหาเสนาบดีก็บอกไว้ชัดเจนแล้วมิใช่หรือ”
สวีซื่อตะลึง “ท่านอยากถอนหมั้น”
แน่นอนว่าเฉียวปั๋วไม่อยาก มีลูกเขยเป็นอัครมหาเสนาบดีเป็นเรื่องมีเกียรติตั้งเท่าใด เขาไหนเลยจะตัดใจยอมสละได้ แต่บุตรสาวทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ อัครมหาเสนาบดียอมแต่งกับนางถึงประหลาด!
การตรวจรักษาในวังหลายครั้งนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยราบรื่น สมุนไพรที่ตนเองสั่งไว้หายไปอย่างไร้สาเหตุหลายต่อหลายครั้ง มิทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออัครมหาเสนาบดีลอบเตือนเขาอยู่
ไม่มีการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็ยังเป็นท่านปั๋วแห่งตระกูลเฉียวอยู่ แต่หากล่วงเกินอัครมหาเสนาบดี อนาคตของเขาอาจจบสิ้นก็เป็นได้
เมื่อคิดตก เฉียวปั๋วก็ตัดใจได้ เขาเอ่ยอย่างมิยอมให้แย้ง “เรื่องนี้ตกลงเอาเช่นนี้ เจ้าไปหาหนังสือหมั้นหมายมา เลือกสักวันไปจวนอัครมหาเสนาบดี ถอนหมั้นเสีย อย่าให้มีปัญหาอื่นงอกขึ้นมาอีก!”
“ข้าไม่ยอม!” เฉียวอวี้ซีที่อยู่ในห้องขังฟังคำตัดสินใจของบิดาแล้วผิดหวังยิ่งนัก นางคิดว่าบิดาจะยืนอยู่ข้างนาง แต่ผู้ใดจะคิดว่าบิดากลับพยักหน้าง่ายดายเช่นนี้ “ข้าไม่ถอนหมั้น! ให้ตายก็ไม่เอา!”
สวีซื่อทราบอยู่แล้วว่าบุตรสาวต้องมีท่าทีเช่นนี้ นางเอ่ยอย่างจนปัญญา “ซีเอ๋อร์ แม่กับพ่อเจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า ตอนนี้ข่าวที่เจ้าถูกขังคุกยังไม่แพร่ออกไป แต่ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดไร้ลมผ่าน เจ้าอยู่ในนี้นานเข้า ข่าวย่อมปิดไม่อยู่ ถึงเวลาผู้ใดยังกล้าสู่ขอเจ้าเล่า”
เฉียวอวี้ซีกัดฟันแล้วเอ่ยอย่างดื้อรั้น “ข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาสู่ขอข้า! ข้าไม่สน! ข้าจะไม่ถอนหมั้น!”
สวีซื่อเอ่ยอย่างร้อนใจ “ไม่ถอนหมั้น เจ้าก็ต้องกินข้าวคุกไปชั่วชีวิต”
เฉียวอวี้ซีจินตนาการถึงรสชาติของการเป็นไม่สู้ตายเช่นนั้น ในใจก็หวาดผวา แต่นางก็ยังไม่ยินดีประคองของในมือตนเองส่งให้ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่นางเกลียดชังผู้นั้น “ท่านแม่ สิ่งใดนางก็ล้วนสู้ข้ามิได้ บริสุทธิ์ก็ไม่บริสุทธิ์ พูดถึงชาติตระกูลก็ไม่มี ไม่รู้ว่าหลับนอนกับบุรุษมาแล้วกี่คน ลูกก็มีตั้งสอง อาศัยอะไรมาแย่งชิงสิ่งที่เป็นของข้า”
“ตอนนี้เจ้ามีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะสนว่านางแย่งหรือไม่แย่งอีกหรือ” บุตรสาวโง่เขลาผู้นี้ทำให้สวีซื่อร้อนใจแทบบ้าแล้ว
เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างไม่สนเหตุผล “ข้าไม่สน! ข้าจะไม่ยอมยกให้นาง!”
สวีซื่อเอ่ยคล้อยตามอย่างจนปัญญา “ได้ๆ ไม่ยกให้นาง อัครมหาเสนาบดีจะแต่งกับนางมิได้ จะแต่งก็ต้องแต่งกับผู้อื่น”
เฉียวอวี้ซีฟังประโยคแรกยังรู้สึกว่าสมควรเป็นเช่นนั้น แต่ประโยคหลังกลับทำให้นางขมวดคิ้วแน่น “คนอื่นข้าก็ไม่ยกให้”
“ซีเอ๋อร์!” สวีซื่อหน้าถมึงทึง
เฉียวอวี้ซีรั้งแขนของนาง แล้วเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “ตอนนั้นพวกท่านเรียกให้ข้าไปเป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดี ตอนนี้พวกท่านจะบอกให้ข้าไม่ต้องเป็นแล้ว พวกท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างหรือไม่ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าข้าจะรับไหวหรือไม่ไหว”
“เรื่องนี้โทษพวกเราได้หรือ ผู้ใดที่หลอกลวงจวนแม่ทัพ แล้วผู้ใดที่ใส่ร้ายแม่ม่ายกับเด็กกำพร้าเข้ามาในคุก” สวีซื่อนึกเสียใจแล้วที่มาบอกข่าวกับลูกสาว หากรู้ก่อนนางคงตรงไปถอนหมั้นที่จวนอัครมหาเสนาบดีเลย จะได้ไม่ต้องมีเรื่องเพิ่ม
เฉียวอวี้ซีร่ำไห้ “ท่านแม่ ท่านช่วยข้าเถิด ท่านฉลาดปานนั้น ต้องมีหนทางแน่!”
สวีซื่อโมโหจนเจ็บหน้าอก นางมีวิธีอันใดเล่า ตระกูลเฉียวตั้งแต่บนจรดล่างล้วนตำหนินางจนแทบสิ้นชีวา นางเองก็หมดปัญญาแล้ว
…
ณ เรือนสี่ประสาน
หมิงอันฝนหมึกให้จีหมิงซิว “นายท่าน ท่านคิดว่าตระกูลเฉียวจะยอมถอนหมั้นโดยดีหรือไม่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าคุณหนูเฉียวผู้นั้นคงไม่ยอม”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “พนันไหมเล่า”
“ไม่เอาขอรับ ข้าพนันกับท่าน มีครั้งใดชนะบ้างเล่า” หมิงอันจับใบหูตนเอง
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบ “ถ้าเช่นนั้นลองทำนายอักษรดีหรือไม่”
หมิงอันดวงตาเป็นประกาย “อันนี้ข้าชอบ!”
“ทำนายอักษรตัวใดเล่า” จีหมิงซิวถาม
หมิงอันหัวเราะหึๆ หยิบพู่กันด้ามหนึ่งออกมาจากกระบอกใส่พู่กัน แล้วใช้ฝีพู่กันอันไก่เขี่ยไร้เทียมทานเขียนตัวอักษรคำว่า ‘ถอน’ หน้าตาบิดเบี้ยวออกมาตัวหนึ่ง “ตัวนี้ก็แล้วกัน!”
จีหมิงซิวเอ่ยเนิบนาบ “ส่วนบนของตัวอักษรคำว่า ‘ถอน’ คือคำว่า ‘หนักแน่น’ หากแต้มจุดหนึ่งจุดบนหัวมันจะกลายเป็นคำว่า ‘ดี’ หมายความว่าพยักหน้าตกลงจะเป็นดี ทว่าหากเติมอักษรข้างคำว่า ‘ซ้ำ’ ทางซ้ายจะกลายเป็นคำว่า ‘ลำบาก’ ตำราว่าไว้ ‘หนักแน่น หมายถึงไม่ยอมคล้อยตาม’ นั่นหมายความว่าหากไม่ทำตามอีก สถานการณ์จะยากลำบากอย่างยิ่ง”
หมิงอันเหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจนัก “ใต้เท้า ท่านว่าข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่ หากพวกนางพยักหน้าตกลงกับเงื่อนไขของพวกเรา ทุกสิ่งก็จะราบรื่น! แต่หากยังโง่เขลาไม่เลิกเหมือนก่อนหน้านี้ ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่มีเรื่องดีอันใดเกิดขึ้นอีก! แต่…สุดท้ายพวกนางจะตกลงหรือไม่ตกลงเล่า เรื่องนี้ท่านไม่ได้บอกนี่นา! ท่านเพียงบอกว่าตกลงจะเป็นอย่างไร ไม่ตกลงจะเป็นอย่างไร!”
จีหมิงซิวชี้ตัวอักษรที่เขาเขียน “เจ้าดูด้านล่างของคำว่า ‘หนักแน่น’ คือสิ่งใด”
“ส่วนประกอบของอักษรคำว่า ‘เดิน’ ” หมิงอันเอ่ยตอบ “นี่หมายความว่า…จะตกลงถอนหมั้นหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบ “เดิน มิว่าจะเดินอย่างไร ผู้ใดเดิน ล้วนเป็นการเดิน ล้วนต้องเดิน แม้นยืนกรานมิทำก็ไม่พ้นต้องทำ”
หมิงอันฟังแล้วมึนงงดั่งอยู่ในเมฆหมอก
“เจ้าค่อยๆ คิดเอาเอง” จีหมิงซิวไม่สนใจหมิงอันอีก เขายกพู่กันแต้มหมึกแล้วเริ่มเขียนฎีกา
หมิงอันหน้าทะมึน ทุกครั้งพูดอยู่ครึ่งเดียว พูดให้ชัดเจนในครั้งเดียวมิได้หรือ ทำให้ผู้อื่นต้องเค้นสมองคิดหาคำตอบ! คืนนี้คงมิต้องนอนอีกแล้ว!
“พี่สี่! พี่สี่!”
ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งก้าวเท้าเข้ามาจากลานบ้านอย่างรีบร้อน เขาสวมอาภรณ์สีแดง ร่างสูงเพรียวประหนึ่งหยก ดวงหน้าหล่อเหลาเปี่ยมชีวิตชีวา การมาถึงของเขาคล้ายเปลวเพลิงดวงหนึ่งที่ทำให้ทั้งห้องสว่างไสวขึ้นหลายส่วน
หมิงอันยิ้มแย้มคำนับ “ผู้น้อยคารวะคุณชายอวี้!”
หลี่อวี้โบกพัดที่ตัวโครงทำจากหยกในมือ ติ้งหยกขาวที่ผูกไว้กับเชือกสีแดงด้านหน้าร่างแกว่งไกวเป็นประกายแวววาว สะท้อนต้องดวงหน้าเขาจนดูเหมือนหยกสลักเสลา “เอาล่ะๆ ตรงนี้ไม่มีธุระอะไรของเจ้า ไปชงน้ำชาดีๆ มาให้ข้าไป!”
“ขอรับ!” หมิงอันคลี่ยิ้มแล้วเดินออกไป
จีหมิงซิวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเขียนฎีกาต่อไป
หลี่อวี้เขยิบเข้าไปเหล่มอง แต่ดูไม่เข้าใจจึงจิ๊ปาก “พี่สี่”
พี่สี่เหมือนจะไม่มีเวลาสนใจเขา
หลี่อวี้ลงไปเกาะขอบโต๊ะ สองมือเท้าแก้ม ใบหน้าผอมเพรียวของตนถูกบีบจนกลายเป็นกระรอกอ้วนตัวน้อยตัวหนึ่ง “พี่สี่ พวกเราไม่พบกันนานนักแล้ว ท่านไม่คิดถึงข้าสักนิดจริงหรือ”
“เจ้ามิใช่สตรีสักหน่อย ข้าจะคิดถึงเจ้าทำอะไร” จีหมิงซิวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
ลูกตาของหลี่อวี้กลอกรอบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นท่าทางทะเล้น “พี่สี่เริ่มคิดถึงสตรีแล้วหรือ”
น้ำหมึกตรงปลายพู่กันหมดแล้ว จีหมิงซิวยกพู่กันแต้มน้ำหมึกบนแท่นฝน “มีอันใดก็พูดมาตรงๆ จะผายลมก็รีบผายออกมาเสีย”
“ข้า…” หลี่อวี้กำลังจะเอ่ยปากเสียตอนนี้ แต่เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างก็หยุดชะงัก แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พักนี้ในเมืองมีถนนขายกุ้งเปิดใหม่เส้นหนึ่ง พี่สี่อยากไปเที่ยวหรือไม่”
หมิงอันชงชาเข้ามา พอดีได้ยินประโยคสุดท้ายจึงรีบเอ่ยว่า “คุณชายอวี้ นายท่านกินกุ้งไม่ได้ขอรับ!”
หลี่อวี้ร้องอ้อ “ลืมไปเลยว่าท่านแพ้อาหารทะเล กินกุ้งไม่ได้ สิ่งนี้ถ่ายทอดมาในตระกูลท่านหรือ มารดาของท่านก็กินไม่ได้ ท่านว่าอนาคตหากท่านมีลูกสักคน เขาจะกินไม่ได้ด้วยหรือไม่”
ในสมองผุดภาพของจิ่งอวิ๋นตอนเกิดอาการแพ้ขึ้นมาทันใด จีหมิงซิวชะงักวูบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ส่ายศีรษะเยาะหยันตนเอง เขาไม่เคยทำเรื่องไม่รับผิดชอบเช่นการร่วมอภิรมย์ชั่วข้ามคืนเสียหน่อย
“พี่สี่ ท่านไปกินเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” หลี่อวี้เอ่ยอย่างเอาแต่ใจ
จีหมิงซิวแค่นเสียงหยัน “ไปมองเจ้ากินหรือไร”
หลี่อวี้หัวเราะแกนๆ สองสามครั้ง สองแขนค้ำลงบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วขยับเข้าไปใกล้ จ้องดวงตาของเขาตาไม่กะพริบ “พี่สี่ ข้าได้ยินมาว่าพักก่อนท่านก่อเรื่องใหญ่โตที่จวนเจ้าเมือง พาสตรีนางหนึ่งกับเด็กสองคนออกมา สตรีผู้นั้นเป็นใครกันหรือ คงไม่ใช่พี่สะใภ้สี่ของข้ากระมัง อยู่ที่นี่หรือไม่ ให้ข้าพบหน่อยสิ!”
จีหมิงซิวเหลือบมองเขาหนหนึ่งแล้วไม่พูดไม่จา แต่วางพู่กันเสร็จก็ลุกขึ้นยืนเดินออกไปด้านนอก
หลี่อวี้จ้องตาค้าง “อย่าเพิ่งไปสิพี่สี่ ข้าไม่ล้อเล่นแล้วก็ได้”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบ “ไม่กินกุ้งแล้วใช่หรือไม่”
หลี่อวี้แรกสุดตกตะลึง แต่จากนั้นดวงตาก็เป็นประกาย “กิน! กิน! กินแน่นอน!”
…
นับตั้งแต่หรงจี้เปิดขายกุ้งสูตรลับของร้านจนเกิดเป็นถนนขายกุ้ง คนที่กินกุ้งก็มากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าที่แวะเวียนมาซ้ำก็มาก อาหารอย่างหนึ่งกินครั้งแรกรู้สึกแปลกใหม่ กินครั้งที่สองยังเอร็ดอร่อย กินครั้งที่สาม สี่ ห้า ต่อให้เป็นน้ำอมฤตของเจ้าแม่หวังหมู่ก็ไม่รู้สึกอิ่มเอมเท่าใดแล้ว กุ้งตุ๋นน้ำมันกับกุ้งพริกหมาล่าเริ่มไม่อาจเติมเต็มความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนกลับมาจำนวนหนึ่งได้ เฉียวเวยจึงปรุงกุ้งสิบสามสุคนธ์ กุ้งกระเทียม กุ้งนึ่งวุ้นเส้น กุ้งสองสหาย (นึ่ง+ใส่โจ๊ก) สิ่งที่ทำให้เฉียวเวยประหลาดใจก็คือกุ้งสองสหายได้รับกระแสตอบรับดีมาก น่าจะเป็นเพราะผู้เฒ่าเด็กน้อยต่างกินได้ ลูกค้าไม่น้อยพาครอบครัวมา สั่งกุ้งตุ๋นน้ำมันที่หนึ่ง กุ้งสองสหายอีกที่หนึ่งทั้งครอบครัวก็กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
หรงจี้ทำแล้ว สหายร่วมอาชีพอย่างเย่ว์ไหลก็ทำตามกระแสทันที ฝั่งเฉียวเวยนับว่าใจกว้างนัก ขอเพียงไม่มาก่อกวนภายในร้านของนาง จะทำตามอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น
เฉียวเวยกำลังสะสางสมุดบัญชีอยู่ใน ‘ห้องทำงาน’ ของตน ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา “พี่เฉียว ในร้านมีแขกสูงศักดิ์มาจากเมืองหลวงสองคน คนหนึ่งเอาแต่นั่งเฉยไม่กิน อีกคนหนึ่งกินกุ้งไปแปดชั่งแล้ว เพิ่งจะสั่งเพิ่มอีกสองชั่ง ท่านว่า…ท่านว่าจะกินจนเป็นอะไรหรือไม่”
เขาไม่กังวลใจว่าจะเป็นสหายร่วมอาชีพมาขโมยวิชา เพราะอีกฝ่ายสั่งรสเดียว นั่นคือรสกระเทียม
คนทั่วไปกินชั่งเดียวก็เริ่มอิ่มแล้ว บางคนอาจสั่งสองสามชั่ง แต่มากที่สุดก็ห้าชั่ง แต่คนผู้นั้นกินรวดเดียวแปดชั่ง แปดชั่งเชียวนะ!
เขาเกือบจะตกตะลึงนิ่งค้างไปแล้ว