ตอนที่ 87-2 เล่นงานบ้านรอง
กุ้งก้ามแดงเป็นของดี มีโปรตีนสูง คุณค่าอาหารมากมาย เมื่อเทียบกับกุ้งพันธุ์อื่นมีแร่ธาตุอยู่มาก ไขมันก็น้อย นางให้วั่งซูกินอยู่สองสามตัวทุกวัน จิ่งอวิ๋นแพ้กินไม่ได้จึงหมดหนทาง แต่ถึงของจะดี กินมากเข้า ร่างกายก็ย่อยไม่ไหว
หากกินจนเป็นอันใดขึ้นมาจริง พวกขี้นินทาย่อมไม่คิดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายกินไม่รู้จักพอ แต่คงจะคิดว่ากุ้งของหรงจี้มีปัญหา
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉียวเวยก็รู้สึกว่าตนเองต้องไปดูสักหน่อยจริงๆ
“คนอยู่ที่ไหน” นางถาม
เสี่ยวลิ่วตอบว่า “อยู่ที่หอชิงอวี้ชั้นสองขอรับ”
หอชิงอวี้เป็นห้องส่วนตัวชั้นดีที่สุดของหรงจี้ ค่าอาหารหนึ่งมื้อมักจะมากกว่าห้าตำลึงเงิน ดูท่าแขกสูงศักดิ์ทั้งสองท่านคงจะไม่ชอบความครึกครื้นตรงแผงขายอาหาร
ประตูห้องงับไว้หลวมๆ เสียงห้ามปรามแผ่วเบาดังมาจากด้านใน คล้ายกำลังกล่อมให้อีกฝ่ายเลิกกินได้แล้ว
เฉียวเวยเคาะประตู
“เข้ามา!”
เสียงหยิ่งทะนงนัก แต่ก็ฟังดูคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย
เฉียวเวยผลักประตูเข้าไปก็เห็นใครบางคนกำลังคว้ากุ้งยัดเข้าปากอยู่ คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีสันสดใส แม้พบหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่กลิ่นอายความสูงศักดิ์อันเด่นชัดทั่วร่างนั่นทำให้คนไม่อยากจำก็ยังยาก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนผู้นี้จะมาทานอาหารที่หรงจี้ แต่ท่านนักกินผู้นี้กินแค่กุ้งแปดชั่งเสียที่ไหนเล่า ยังมียำไข่เยี่ยวม้าจานหนึ่ง ยำถั่วแระจานหนึ่ง เนื้อวัวพะโล้อีกจานหนึ่ง กีบเท้าหมูตุ๋นถั่วเหลืองอีกจานหนึ่ง น้ำบ๊วยใส่น้ำแข็งอีกหนึ่ง ไม่สิสองถ้วย
ท้องยังไม่แตกหรือนั่น
“เจ้าเองหรือ” อีกฝ่ายจำเฉียวเวยได้อย่างชัดเจน นางมองไปด้านหลังเฉียวเวยแต่ไม่เห็นเสี่ยวเอ้อร์ที่มาส่งกุ้งจึงขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างหงุดหงิด แล้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เจ้าก็มากินกุ้งด้วยหรือ”
เฉียวเวยมองนางแล้วยิ้มละไม “ข้าได้ยินว่ามีแขกสูงศักดิ์ท่านหนึ่งกินกุ้งไปแปดชั่งแล้วยังไม่พอ จึงตั้งใจมาดูสักหน่อย”
ตัวหลัวหมิงจูไม่ทราบว่านางเป็นเถ้าแก่ของหรงจี้ คิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกค้าเช่นเดียวกับตน ตัวหลัวหมิงจูโบกมือ เอ่ยกับหญิงรับใช้ว่า “ไป…” เพิ่งเอ่ยปาก ก็ค้นพบว่าตนมิทราบชื่อของเฉียวเวย จึงรีบถามว่า “เจ้าชื่ออันใด”
“ผู้น้อยแซ่เฉียว” เฉียวเวยเอ่ยตอบ
“แม่นางเฉียว คุณหนูเฉียว หรือเฉียวฮูหยินเล่า” ตัวหลวหมิงจูจำได้ว่าสตรีผู้นี้มีลูกแล้ว แต่เหมือนจะไม่มีสามมี มิเช่นนั้นคงไม่ตามบุรุษผู้นั้นไป สุดท้ายนางก็ทราบว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร เขาคืออัครมหาเสนาบดีตัวร้ายที่ครองอำนาจในราชสำนัก! เพราะเขาแท้ๆ นางจึงถูกบิดาตีอย่างหนัก จนถึงตอนนี้ก้นยังระบมอยู่เลย
เฉียวเวยยิ้มละไม “ก็แค่คำเรียกขานเท่านั้น คุณหนูตัวหลัวชอบอย่างใดก็ได้ทั้งสิ้น”
ตอนอยู่ในคุก ตัวหลัวหมิงจูมาหาเรื่องกัน นางย่อมไม่เกรงใจ แต่อยู่ที่นี่ ตัวหลัวหมิงจูเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ นางต้องต้อนรับให้ดี
ตัวหลัวหมิงจูเป็นคนตรง ไม่เข้าใจคำพูดอ้อมค้อมเหล่านั้น เมื่อเห็นเฉียวเวยจู่ๆ ทำตัวอ่อนหวานเช่นี้กับนาง ก็คิดว่าความแค้นระหว่างพวกนางสองคนคลี่คลายหมดสิ้นแล้ว ผู้อื่นยังวางความแค้นลงแล้ว นางเป็นคุณหนูตระกูลแม่ทัพย่อมไม่มีทางใจแคบเช่นนั้น
นางยิ้มตอบบ้าง “ข้าเลี้ยงกุ้งเจ้าแล้วกัน ถือว่าขออภัยเรื่องเมื่อครั้งก่อน” แล้วนางก็มองหญิงรับใช้ด้านข้าง “หลิงเอ๋อร์ รินชาให้แม่นางเฉียว”
“เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นรินชาให้เฉียวเวย “แม่นางเฉียวเชิญดื่ม”
เฉียวเวยนั่งลงฝั่งตรงข้ามของตัวหลัวหมิงจูแล้วรับน้ำชามาจิบคำหนึ่ง มิเสียทีเป็นชาของหอชิงอวี้ ดีกว่าของในห้องทำงานของนางเสียอีก
ตัวหลัวหมิงจูเอ่ยกับหลิงเอ๋อร์ “เจ้าไปเร่งหน่อย กุ้งของข้าเหตุใดยังไม่เสร็จอีก แล้วสั่งเพิ่มมาอีกสองชั่ง ให้แม่นางเฉียวกิน!”
“ของข้าไม่ต้องหรอก” เฉียวเวยเอ่ยปาก “คุณหนูตัวหลัว หากท่านชอบทานกุ้ง วันพรุ่งนี้จะมาอีกก็ได้ ทานครั้งเดียวมากเกินไปจะไม่ดีต่อร่างกาย หากท่านทานจนท้องเสียขึ้นมา คงกินไม่ได้ไปอีกหลายวัน”
ตัวหลัวหมิงจูไม่ได้กินกุ้งที่อร่อยเช่นนี้มานานแล้ว ทั้งหอมทั้งมัน เนื้อแน่นชุ่มฉ่ำ ในรสเค็มมีรสหวานกลมกล่อมของตัวเนื้อกุ้ง นางแทบจะกลืนลิ้นของตนเองเข้าไปด้วยแล้ว หากกินไม่ได้อีกหลายวัน นางคงทรมานตายเป็นแน่แท้! นางรีบโยนกุ้งในมือลงในชาม “ถ้าเช่นนั้นข้าไม่กินแล้ว!”
หลิงเอ๋อร์รีบเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะไปยกเลิกกุ้งที่สั่งเมื่อครู่”
“ยกเลิกอันใด สั่งไปอีกแปดชั่ง!” ตัวหลัวหมิงจูเรียกนางไว้
หลิงเอ๋อร์ตกตะลึง “คุณหนู ท่านไม่ใช่จะไม่กินแล้วหรือ”
ตัวหลัวหมิงจูแค่นเสียงดังเหอะ “ผู้ใดบอกว่าข้าจะกินเอง ข้าจะนำกลับไปให้พ่อแม่ข้ากับพี่ใหญ่ พี่รองของข้า! รีบไป ให้พวกเขาทำมาสิบชั่ง ข้าจะห่อกลับบ้าน!”
เฉียวเวยแนะนำว่า “กุ้งสิบชั่งทำเป็นรสต่างกันเถิด” สาวใช้ผู้นี้สั่งแต่รสกระเทียม นางชอบกินกระเทียม มิได้หมายความว่าผู้อื่นจะชอบด้วยนี่ นี่เป็นโอกาสโฆษณาอันยอดเยี่ยม มิอาจให้เสียเปล่า
ตัวหลัวหมิงจูพึมพำ “แต่ข้ารู้สึกว่ารสกระเทียมอร่อยมากนี่!”
เฉียวเวยยิ้มละไม “เชื่อข้า แต่ละรสของร้านนี้ข้าทานมาหมดแล้ว รสกระเทียมเป็นรสที่ธรรมดามาก ท่านต้องได้ลองชิมรสอื่น แล้วจะติดใจจนวางมือไม่ลง”
รสกระเทียมนางกินไปแล้ว จึงไม่สะดวกใจแย่งชิงกับพี่ๆ อีก แต่รสอื่นอีกหลายรสนางยังไม่ได้ลอง หาก ‘ลอง’ อีกสักสองสามอย่าง ผู้อื่นน่าจะไม่ว่าอันใดกระมัง ตัวหลัวหมิงจูผู้กำลังใช้สมองน้อยๆ ขบคิดกลืนน้ำลายคำโต “ได้ เอาตามเจ้าว่า!”
ตัวตะกละแซ่ตัวหลัวในที่สุดก็ถูกส่งกลับแล้ว คนทั้งเหลาสุราต่างโล่งอก ลูกค้าสั่งน้อย เจ้ารังเกียจรังงอน แต่กินมากเข้าก็กลัวว่าหากกินจนเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จะค้าขายลำบาก!
ม่านราตรีโรยตัวลงมา ผู้คนที่แผงขายอาหารทยอยเพิ่มมากขึ้น ลูกจ้างของหรงจี้เท้าแทบไม่ติดพื้น เฉียวเวยก็ลงมาช่วยงานด้วย
พักนี้เฉินต้าเตาไม่มีงานการจึงมาเตร็ดเตร่อยู่แถวหรงจี้ ทุกวันต้องสั่งกุ้งหนึ่งชั่งไม่มีขาด นับตั้งแต่ทำงานลาดตระเวนคุ้มกัน เงินที่ร้านค้ามอบให้ก็มากมายนัก ในมือเขาจึงมีเงินเหลือเฟือขึ้นมาบ้างจึงมาอุดหนุนกิจการของฮูหยิน
“ฮูหยิน! ข้ามาอีกแล้ว!” เขายิ้มตาหยีทักทาย
เฉียวเวยยิ้มตอบ “วันนี้กินอะไรดีเล่า”
เฉินต้าเตาหาที่นั่งว่างที่หนึ่ง “กุ้งพริกหมาล่า!”
เฉียวเวยมองไปทางพ่อครัวเหอ “พ่อครัวเหอ กุ้งพริกหมาล่าหนึ่งชั่ง”
“ได้เลย!” พ่อครัวเหอขานรับ ลูกศิษย์ที่เป็นลูกมืออยู่ด้านข้างรีบหยิบตะกร้าใบน้อยไปจับกุ้ง จับเสร็จก็ชั่งน้ำหนักครู่หนึ่ง เป็นการรับประกันว่าไม่ขาดสักเหลี่ยง
…
หลี่อวี้ลงจากรถม้าตรงหัวถนนก็มองดูภาพตรงหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงอย่างแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง “โฮ่! ครึกครื้นปานนี้เชียว! ข้าไม่ได้มาเพิ่งจะนานเท่าไร พี่สี่ท่านจำครั้งก่อนที่พวกเรามาหาเซียนพนันสาวผู้นั้นได้หรือไม่ เงียบเหงาทีเดียวไม่ใช่หรือไร เหตุไฉนพริบตาเดียวคนมากมายล้นหลาม”
หลี่อวี้เขย่งปลายเท้า ชะเง้อมองฝูงชนที่เดินเบียดเสียด แต่มิอาจมองเห็นจุดสิ้นสุด
“กุ้ง! กุ้งสดใหม่อร่อยๆ จ้า! คุณชาย กินกุ้งไหมขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งยิ้มร่าเข้ามาต้อนรับ
หลี่อวี้ยิ้มตอบ “ข้ามาตามหาสถานที่หนึ่ง”
“คุณชายโปรดถาม” เสี่ยวเอ้อร์เกรงใจอย่างยิ่งยวด ทั้งสองคนหน้าตาโดดเด่น ท่าทางมิธรรมดา มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นคนสูงศักดิ์ในหมู่คนสูงศักดิ์
หลี่อวี้เอ่ยถาม “หรงจี้อยู่ที่ใด ข้าได้ยินว่ากุ้งของร้านพวกเขาอร่อยที่สุด”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ชะงักค้าง แล้วกลอกตาเดินหนีไป
หลี่อวี้ขมวดคิ้ว “เฮ้ย! อย่าเพิ่งไปสิ! ข้าถามเจ้าอยู่นะ! เชื่อหรือไม่ว่าคุณชายอวี้ต่อยเจ้าได้!”
จีหมิงซิวเดินหายเข้าไปกลางฝูงชนด้วยสีหน้าสุขุม บรรยากาศรอบตัวเขาโดดเด่นจากผู้คนเกินไป จนแม้แต่หลี่อวี้ผู้เจิดจ้าก็ยังแย่งรัศมีเขาไม่ได้แม้แต่น้อย มีคนมองมาทางเขาไม่หยุด แต่เขาสวมหน้ากากหยกเอาไว้จึงยิ่งดูลึกลับขึ้นอีก
ตลอดทาง หลี่อวี้ถามไม่หยุด ถามจนปากคอแห้ง แต่จีหมิงซิวกลับไม่แม้แต่เงยหน้ามองสักครั้ง เขาก้าวเอื่อยเฉื่อยไปข้างหน้า ผ่านไปราวเกือบครึ่งเค่อก็หยุดฝีเท้า “ถึงแล้ว”
หลี่อวี้ตะลึง มองโคมไฟประดับคำว่าหรงซึ่งห้อยอยู่เหนือศีรษะ ในใจคิดว่าถึงแล้วจริงด้วย!
“ไม่สิ พี่สี่ ท่านรู้จักทางหรือ”
“อืม”
หลี่อวี้เบ้ปาก “ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านไม่บอกเล่า ปล่อยให้ข้าถามเสียนานปานนั้นราวกับคนโง่!”
จีหมิงซิวกวาดสายตามอง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ มีคนอยู่ผู้หนึ่ง แม้กลืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาก็ยังมองเห็นตั้งแต่แวบแรก เขาเลือกนั่งตรงมุมที่ห่างไกลที่สุด
หลี่อวี้แค่นเสียงเหอะแล้วเดิมตามไปนั่งด้วย เห็นแก่ที่มีกุ้งให้กิน เขาจะไม่เคืองพี่สี่ “เสี่ยวเอ้อร์! สั่งอาหาร!”
“มาแล้วขอรับ!” เสี่ยวลิ่วหิ้วกาน้ำชาเดินเข้ามา เมื่อเห็นแขกสูงศักดิ์ผู้หล่อเหลารูปงามทั้งสองคน ดวงตาของเขาก็ฉายแววตะลึง “คุณชายทั้งสอง ต้องการสั่งอะไรบ้างขอรับ”
หลี่อวี้ดื่มชาของผู้อื่นคำหนึ่งแล้วเบ้หน้าอย่างรังเกียจ สำหรับคุณชายใหญ่จากจวนองค์หญิง น้ำชาเช่นนี้ก็เหมือนน้ำโคลน! หวังว่ากุ้งจะทำให้เขาพอใจได้นะ
“ข้าได้ยินมาว่ากุ้งร้านพวกเจ้าไม่เลว มีรสอะไรบ้าง”
“กุ้งตุ๋นน้ำมัน กุ้งพริกหมาล่า กุ้งกระเทียม กุ้งสิบสามสุคนธ์ กุ้งสองสหาย…” เสี่ยวลิ่วร่ายชื่ออาหารเจ็ดแปดอย่างออกมาในรวดเดียว
“รสใดอร่อยที่สุด” หลี่อวี้ถาม
“ล้วนอร่อยทั้งสิ้น ต้องดูความชอบของคุณชาย ชอบทอด นึ่ง ตุ๋นหรือต้ม เมื่อครู่มีลูกค้าท่านหนึ่งของร้านเรากินกุ้งกระเทียมรวดเดียวแปดชั่ง! แล้วยังกินไม่พอ จะกินอีก! แต่เถ้าแก่ของพวกเราห้ามไว้ ภายหลังจึงห่อกลับไปสิบชั่ง!” เสี่ยวลิ่วเล่าอย่างภาคภูมิใจ
หลี่อวี้ไม่ชอบกระเทียม กลิ่นปากหนักเกินไป กลับไปเกรงว่าคงถูกมารดาผู้เป็นองค์หญิงของเขารังเกียจ “เอาพริกหมาล่ามาสองสามชั่งก็แล้วกัน”
“ถ้าเช่นนั้นเป็นกุ้งพริกหมาล่านะขอรับ” เสี่ยวลิ่วถามทวน
“ใช่” หลี่อวี้พยักหน้า
“คุณชายรับกี่ชั่งขอรับ” เสี่ยวลั่วถามอีก
หลี่อวี้ยืดคอ มองกุ้งกระทะโตของโต๊ะด้านข้าง “อันนั้นกี่ชั่ง”
“สองชั่งขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าเอาสองชั่งด้วย!”
เสี่ยวลิ่วจดเสร็จก็เอ่ยว่า “คุณชายยังต้องการสั่งอย่างอื่นอีกไหมขอรับ น้ำบ๊วยแถมให้ไม่เสียเงิน”
หลี่อวี้ไม่สนใจอย่างอื่น เขามาเพื่อกุ้งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่คิดว่าแผงอาหารข้างทางเช่นนี้จะขายอาหารอร่อยอันใดได้ เขาเพียงหวังจะมาลองลิ้มของแปลกใหม่เท่านั้น “ไม่ต้องแล้ว เจ้ารีบไปยกอาหารมา”
ตั้งแต่เริ่มจนจบ จีหมิงซิวไม่เอ่ยสักคำ แต่ตัวตนที่เด่นสะดุดตาเช่นนั้น แม้แต่ความมืดของราตรีก็มิอาจกลืนกลบได้
เฉียวเวยช่วยหั่นผักไปพลางก็หันกลับมามองเขาไปพลาง นางอยู่ในที่สว่าง จีหมิงซิวอยู่ในที่มืด นางมองหน้าของจีหมิงซิวไม่ชัด แต่นางรู้สึกได้เลือนรางว่าสายตาของจีหมิงซิวจับจ้องอยู่ที่ตัวนาง
เสี่ยวลิ่วเดินเข้ามาแล้วหัวเราะเสียงเบา “พี่เฉียว ฝั่งนั้นมีลูกค้าสูงศักดิ์มาสองคน คุณชายหล่อเหลาชั้นยอดของชั้นยอด!”
“อืม” เฉียวเวยหั่นเนื้อวัวพะโล้อย่างตั้งใจ “พวกเขาสั่งอะไร”
“กุ้งสองชั่ง”
เฉียวเวยมองกุ้งหลายตะกร้าที่เรียงแถวรอลงกระทะอยู่บนโต๊ะ แล้วบอกว่า “ด้านนอกทำไม่ทัน ไปห้องครัวด้านในแล้วกัน”
“ขอรับ!”
เฉียวเวยชะงักครู่หนึ่งแล้วเรียกเขาไว้ “ไม่เป็นไร ข้าไปเอง ลูกค้าตรงนี้มากเกินไปแล้ว เจ้าดูแลให้ดี”
“รับทราบขอรับ!”
เฉียวเวยเข้าไปในห้องครัว
จีหมิงซิวจิบน้ำชาในมือ จิบทีละน้อย ทีละนิด ดวงตามองไปยังทิศทางหนึ่ง แววตาดำมืด
หลี่อวี้จิ๊ปาก “พี่สี่ ชาเช่นนี้ท่านก็ดื่มลงไปได้!”
“พี่สี่ของเจ้ามิได้ดื่มชา” จีหมิงซิวเอ่ยตอบ
“ถ้าเช่นนั้นอะไรเล่า” หลี่อวี้ถามอย่างไม่เข้าใจ แต่จีหมิงซิวไม่ตอบคำเขา สองตามองไปด้านหน้า คล้ายกำลังมองผู้ใด หลี่อวี้มองตามสายตาของเขาไปก็เห็นฝูงคนดั่งมหาสมุทร “ท่านกำลังมองสิ่งใด พี่สี่”
จีหมิงซิวมองเงาแผ่นหลังที่แม้ยามก้าวเดินก็ยังงดงามทุกอิริยาบถของใครบางคน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
เถ้าแก่หรงเดินออกมาจากห้องบัญชี เห็นเสี่ยวเฉียวอยู่ชั้นล่างยกถาดใบโตเดินออกไปข้างนอก เฉียวเวยก็เห็นเขาเช่นกัน แต่กลับไม่เอ่ยทักทาย เท้าก้าวเดินไปทางประตูใหญ่ราวกับสายลมพัด
“เสี่ยวเฉียว!” เถ้าแก่หรงเรียกนางไว้
เฉียวเวยหยุดก้าวเท้าแล้วหันกลับมายิ้มหวาน “พี่หรง~”
เถ้าแก่หรงมองปริมาณอาหารที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดบนถาดในมือนาง “ไข่เยี่ยวม้า พิราบทอด หมูแดงน้ำผึ้ง ลูกชิ้นทอดเนื้อวัว…” แล้วมองดูหมายเลขโต๊ะบนถาดที่นางถือก็เข้าใจว่านางเอาไปให้ลูกค้าโต๊ะไหน เขาขนพองในทันใด “ผู้อื่นสั่งกุ้งราคาร้อยอีแปะ! เจ้ากลับแถมอาหารราคาพันอีแปะให้! เสี่ยวเฉียว! เจ้าแถมจนข้าจะล้มละลายแล้ว!”
เฉียวเวยซ่อนแขนที่แนบอยู่ข้างลำตัวไว้จนมิด ไม่ให้เถ้าแก่หรงพบว่าตนเองอุ้มสุราลายบุปผาที่เขาเก็บไว้ยี่สิบปีมาด้วย…
…
สุราอาหารยกมาแล้ว
หลี่อวี้มองดูอาหารโอชาละลานตาเต็มโต๊ะ แล้วอ้าปากค้าง “ข้า…เหมือนจะสั่งแค่กุ้งสองชั่งนะ เจ้ายกมาผิดหรือไม่”
เสี่ยวลิ่วยิ้มตอบ “ไม่ได้ยกมาผิดขอรับ พวกนี้เป็นของแถม”
แถม แถมมากมายปานนี้ โต๊ะจะวางไม่หมดอยู่แล้วเห็นหรือไม่
เสี่ยวลิ่วกลัวอีกฝ่ายไม่เข้าใจจึงเอ่ยเสียงเบาหนึ่งประโยค “เถ้าแก่รองของพวกเราแถมให้ขอรับ”
หลี่อวี้ถามอย่างระแวง “เถ้าแก่รองของพวกเจ้าเป็นผู้ใด” ไม่มีอะไรวิ่งมาประจบ มิใช่ขุนนางชั่วก็เป็นโจร
เสี่ยวลิ่วชี้เฉียวเวยที่หั่นผักอยู่ด้านหน้า
หลี่อวี้แววตาวูบไหว ผู้หญิงหรือ
หลี่อวี้กอดแขนตัวเองแน่นแล้วอุทานสีหน้าตะลึง “แย่แล้วพี่สี่! นางตกหลุมรักข้าเสียแล้ว”