ซูสือจิ่นนั่งลง แล้วพูดว่า : “พ่อบอกว่านานแล้วที่ไม่ได้เจอคุณลุงหยาน อีกสักครู่ก็คงจะมาค่ะ”
พ่อหยานยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก : “ก่อนหน้านี้ฉันนัดเขาหลายครั้งแล้วก็บอกว่างานยุ่ง ในที่สุดวันนี้ก็เชิญพระใหญ่องค์นี้มาได้สำเร็จ!”
ซูสือจิ่นหัวเราะแล้วกล่าวว่า : “คุณลุงหยาน อันที่จริงพ่อฉันก็อยากจะมามากเลยนะคะ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ถูกโครงการของทางตระกูลลั่วนั้นฉุดรั้งไว้ ฉะนั้นจึง……”
สองตระกูลซูลั่วกำลังจะเกี่ยวดองกัน เป็นธรรมดาที่พ่อแม่ของหยานชิงเจ๋อก็รับรู้ ได้ยินซูสือจิ่นพูดแบบนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่หยานในชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็นการทอดถอนหายใจ : “เสี่ยวจิ่น เรื่องของคุณกับพ่อหนุ่มตระกูลลั่วคนนั้น มันจริงไหม?”
ซูสือจิ่นหลุบตาลง : “ตอนนี้เราเพิ่งจะทำความรู้จักกันเท่านั้นค่ะ”
“เสี่ยวจิ่น อันที่จริงเราก็คาดหวังมาตลอด……” แม่หยานพูดถึงตรงนี้ ก็หันไปมองหยานชิงเจ๋อ แล้วก็ถอนหายใจเบาๆอีกครั้ง : “เฮ้อ เด็กสมัยนี้อย่างพวกคุณมีความคิดเป็นของตนเอง ฉันก็ไปควบคุมพวกคุณไม่ได้หรอก……”
เจียงซีที่อยู่นั่งอยู่บนโซฟา จะไม่เข้าใจความหมายของแม่หยานได้อย่างไรกัน?
เธอมองไปทางพ่อหยานอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาก็มองไปที่ซูสือจิ่นด้วยสายตากระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่าในสายของพวกเขา มีเพียงซูสือจิ่นเท่านั้นที่เหมาะสมจะมาเป็นลูกสะใภ้ในอนาคต!
ในใจเธอกลัดกลุ้มจนยากที่จะมองข้ามได้ กำลังอยากจะลุกขึ้นแล้วบอกว่าตนเองมีธุระต้องขอตัวก่อน เวลานี้หยานชิงเจ๋อพูดขึ้นว่า : “พ่อครับแม่ครับ ในเมื่อวันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว อย่างนั้นอีกสักครู่จะให้ซีหยู่ทำอาหารให้พวกคุณทานสักมื้อหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ต่างประเทศ ฉันเคยชิมฝีมือของเธอ อร่อยมากๆเลย!”
เจียงซีหยู่ได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา แล้วพูดอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า : “ใช่ค่ะ คุณลุงคุณป้า ชิงเจ๋อชอบรสชาติอาหารที่ฉันทำ พวกคุณก็ลองชิมดูหน่อยนะคะ แน่นอนว่ามันจะเทียบไม่ได้กับพ่อครัวที่บ้านพวกคุณ เพียงแต่ลองเปลี่ยนรสชาติดู ถือว่าเป็นการทานอาหารที่แปลกใหม่ก็ได้ค่ะ!”
พูดถึงตรงนี้ แม่หยานก็พยักหน้า : “อย่างนั้นก็ต้องรบกวนเสี่ยวเจียงแล้วล่ะ ฉันจะให้แม่บ้านไปเป็นลูกมือให้คุณนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันจะไปช่วยเอง” หยานชิงเจ๋อลุกขึ้นยืน
ซูสือจิ่นเห็นหยานชิงเจ๋อกับเจียงซีหยู่เดินไปที่ห้องครัวด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะใจลอยเล็กน้อย
นับได้ว่าเธอไม่เคยเข้าครัวด้วยกันกับหยานชิงเจ๋อเลย ดูเหมือนว่าชีวิตของสามีภรรยาที่แสนอบอุ่นอย่างนั้น เธอยังจินตนาการไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
“เสี่ยวจิ่น ก่อนหน้านี้สองสามวันได้ยินชิงเจ๋อบอกว่า คุณถูกเรื่องแย่ๆทำให้ตกใจกลัวใช่ไหม ช่วงนี้ตอนกลางคืนคุณยังกลัวอยู่ไหม?” แม่หยานถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่กลัวแล้วค่ะ โชคดีที่มีพี่ชิงเจ๋ออยู่เป็นเพื่อนฉัน” ซูสือจิ่นกล่าว : “ฉันดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ที่คอยังมีรอยอยู่นิดหน่อย”
แม่หยานมองๆดูแล้ว ก็พูดอย่างเจ็บปวดใจ : “ตั้งแต่เด็กๆเราก็ปฏิบัติต่อคุณเหมือนกับว่าเป็นลูกสาว ก่อนหน้านี้เห็นคุณกับชิงเจ๋อดีต่อกันขนาดนั้น ยังคิดว่าพวกคุณน่าจะไปด้วยกันได้……”
เธอถอนหายใจ แล้วพูดต่อว่า : “น่าเสียดายที่พวกคุณไม่ได้มีแนวโน้มไปทางด้านนั้น ฉันเคยถามชิงเจ๋อมาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็คัดค้านอย่างแน่วแน่ เฮ้อ เด็กคนนี้ ทำไมถึงได้ชอบคนอย่างนั้นนะ……”
พูดจบแม่หยานก็มองไปทางห้องครัว แล้วพูดว่า : “ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีหรอกนะ แค่รู้สึกว่าเธอดูไม่ค่อยจริงใจ ทำให้คนรู้สึกห่างเหิน เสี่ยวจิ่น ฉันยังคงชอบคุณนะ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นลูกสะใภ้ของฉันไม่ได้ ฉันก็จะให้คุณเป็นลูกสาวของฉัน!”
ซูสือจิ่นได้ฟัง ก็รู้สึกตื้นตันใจจนขอบตาร้อนผ่าว : “คุณลุงคุณป้า ขอบคุณนะคะ”
“เสี่ยวจิ่น ก่อนหน้านี้สองสามวันคุณป่วย ตอนนี้เหนื่อยแล้วหรือยัง มิฉะนั้นก็ขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบนสักพัก รอให้ทำอาหารเสร็จแล้วฉันจะไปเรียกคุณดีไหม?” แม่หยานกล่าว
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันยังเด็กอยู่ แค่เป็นไข้เท่านั้น แล้วก็หายดีแล้ว” ซูสือจิ่นซาบซึ้งใจแม่หยาน เธอดีต่อตนเองจริงๆเลย คิดแล้วมันก็เจ็บปวดไปจนถึงกระดูก
“อืม อย่างนั้นก็ดีแล้ว” แม่หยานนึกอะไรขึ้นได้จึงพูดว่า : “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ฉันไปเที่ยวที่ประเทศอินเดียมาเลยซื้อเครื่องประดับจากที่นั่นไว้เล็กน้อย คุณตามฉันขึ้นไปชั้นบนไปเลือกดูว่ามีอันที่ชอบไหม……”
เมื่อซูสือจิ่นเลือกของเสร็จลงมาแล้ว ซูเผิงฮวาก็มาถึงแล้ว กำลังพูดคุยเรื่องธุรกิจกับพ่อหยานอยู่
และในห้องครัว เจียงซีหยู่ก็กำลังทำอาหารอยู่ หยานชิงเจ๋อก็เป็นลูกมือให้เธอ ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก บางทีอาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มีการทะเลาะกันทางโทรศัพท์ มันจึงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนทั้งสองมาตลอด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา กับข้าวก็ทำเสร็จแล้ว แม่หยานดึงซูสือจิ่นมานั่งลงข้างๆเธอ เมื่อทุกๆคนอยู่ด้วยกันก็ค่อยๆเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับซูสือจิ่นกับหยานชิงเจ๋อตอนที่ยังเด็ก
เจียงซีหยู่ได้ฟังเรื่องราวของทั้งสองคนที่เติบโตมาด้วยกัน ความไม่สบายใจที่เก็บกดไว้ก็แทบจะควบคุมไว้ไม่อยู่ เธอกินกับข้าวที่ทำด้วยฝีมือของตนเองอย่างจืดชืดไร้รสชาติ ในเวลานั้น เธอรู้สึกว่าการมีอยู่ของตนเองเป็นเหมือนกับตัวตลกเท่านั้น
และในเวลานี้ลมก็พัดเข้ามาที่ห้องรับแขกอย่างแรง
คนรับใช้รีบไปปิดหน้าต่าง จากนั้นก็มองท้องฟ้าที่นอกหน้าต่าง : “ดูเหมือนฝนจะตกหนักนะคะ”
ซูเผิงฮวาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย : “ฉันกับสือจิ่นต้องขอตัวก่อนนะ”
“เผิงฮวา ออกไปในสภาพอากาศอย่างนี้ ถ้าไปถึงครึ่งทางแล้วเกิดฝนตกหนัก ขับรถมันจะไม่ปลอดภัยนะ แล้วรถก็ยังติดมากด้วย” พ่อหยานกล่าว : “อีกอย่างพวกคุณยังทานอาหารไม่เสร็จเลย รอให้ดึกสักหน่อยแล้วค่อยดูสถานการณ์จะดีกว่านะ”
เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง พายุวันนี้ไม่มีทีท่าจะหยุดลงเลย
เมฆครึ้มปกคลุมทั่วทั้งเมือง ก้อนเมฆเป็นชั้นๆเหมือนเก็บสะสมน้ำฝนไว้มากยิ่งขึ้น คลื่นพายุลมโหมกระหน่ำ มีฟ้าแลบฟ้าร้องเสียงดังสนั่น
หยานชิงเจ๋อดูพยากรณ์อากาศเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า: “คุณลุงซู เสี่ยวถาง แล้วก็ซีหยู่ เมื่อกี้กรมอุตุนิยมวิทยาออกคำเตือนระดับสีแดงสำหรับฝนตกหนัก คาดว่าจะตกต่อเนื่องตลอดทั้งคืน หนิงเฉิงมีการจัดการทางด้านการระบายน้ำไม่ค่อยดีนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมขังได้ง่าย ดังนั้นวันนี้พวกคุณอยู่ที่นี่เถอะ ไม่ต้องกลับไปหรอก!”
ซูเผิงฮวาดูสภาพอากาศอย่างลังเลใจเล็กน้อย แล้วทำได้เพียงพยักหน้า
ด้วยเหตุนี้ แม่หยานจึงรีบให้คนรับใช้จัดการเก็บกวาดห้องรับแขกทั้งสามห้องให้เรียบร้อย แล้วให้คนทั้งสามเข้าไปพัก
เพราะเจียงซีหยู่ไม่มีอะไรจะคุยกับหยานชิงเจ๋อ ดังนั้น ตอนสามทุ่มกว่าจึงบอกว่าตนเองเหนื่อย จึงอาบน้ำแล้วไปห้องของตัวเอง
หลังจากที่เธอกลับห้อง หยานชิงเจ๋อก็ถูกแม่หยานเรียกไปยังห้องนอนหลักของพวกเขา
“แม่——” อันที่จริงก็มองออกตั้งนานแล้วว่าแม่ของตนเองไม่พอใจเจียงซีหยู่ แต่ก่อนหน้านี้เขาก็จนปัญญาที่จะเอ่ยปาก ทำได้เพียงบอกเป็นการส่วนตัวในเวลานี้ว่า: “ซีหยู่เป็นคนดีนะ รูปร่างหน้าตาสวยนิสัยก็อ่อนโยน ทำไมพวกคุณถึงไม่ชอบเธอล่ะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่หยานหายไป: “ชิงเจ๋อ แต่ไหนแต่ไรฉันกับพ่อของคุณก็ไม่เคยชอบเด็กผู้หญิงที่ปากหวานก้นเปรี้ยวแบบนี้อยู่แล้ว คุณดูท่าทีที่เธอยิ้มสิ ดูเสแสร้งแกล้งทำ หรือว่าคุณมองไม่ออก?”
หยานชิงเจ๋อจนใจเล็กน้อย: “แม่ เธอมาเจอพวกคุณเป็นครั้งแรก ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องทำตัวให้สงบเสงี่ยมสักหน่อยสิ แน่นอนว่าต้องไม่เปิดเผยจนเกินไป ลูกชายของคุณไม่ได้โง่นะ เธออาจจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าไม่มีตัวตน แต่ฉันรับรองได้เลยว่าเธอไม่มีจุดประสงค์หรือเจตนาร้ายใดๆต่อฉัน”
“ในเมื่อคุณมองออก แล้วยังจะคบกับเธอต่อไปอีกเหรอ?!” แม่หยานยื่นนิ้วออกมาแล้วจิ้มไปที่หน้าผากของหยานชิงเจ๋อ: “แล้วยังจะมาบอกว่าตัวเองไม่โง่อีก!”
“แม่ แต่ละคนต่างก็มีบุคลิกของตัวเอง สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยของเธอตั้งแต่เด็กทำให้เธอต้องประพฤติตัวเหมือนๆคนอื่น เวลานานเข้า ก็ติดเป็นนิสัย แต่แบบนี้มันไม่ดีเหรอ?” หยานชิงเจ๋อกล่าว: “ยิ่งไปกว่านั้น ฉันได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวเองชอบ รูปร่างหน้าตาและนิสัยของเธอ ฉันก็ชื่นชอบทั้งหมด ฉันอยากจะแต่งงานกับเธอจริงๆ”
“แต่งงาน?!” แม่หยานกล่าวด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า: “ไม่ได้แน่นอน!”
“ทำไมล่ะ?” หยานชิงเจ๋อไม่สบายใจเล็กน้อย
“พวกเราชอบลูกสะใภ้แบบเสี่ยวจิ่น” แม่หยานกล่าว: “ถ้าคุณแต่งงานกับเสี่ยวจิ่น พวกเราจะเห็นด้วยอย่างมาก! พวกคุณเติบโตมาด้วยกัน เธอทั้งสวยทั้งรู้กาลเทศะ ทำไมคุณถึงละทิ้งไม่ต้องการผู้หญิงดีๆที่อยู่ข้างกายแบบนี้ แล้วไปเอาพวกศิลปะอะไรนั่น?!”
หยานชิงเจ๋อโมโหเล็กน้อย: “แม่ เสี่ยวจิ่นเป็นแค่น้องสาวของฉัน! คุณจะมาดึงเธอและฉันเข้าด้วยกันได้อย่างไร?!”
“น้องสาวของคุณที่ไหนกัน?” แม่หยานกล่าวว่า: “พวกคุณมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันสักนิดไหม? คุณแซ่หยานเธอแซ่ซู สำมะโนครัวก็เป็นสองตระกูล มีน้องสาวอะไรที่ไหนกัน?!”
“แม่!” หยานชิงเจ๋อไม่รู้ว่าเพราะอะไร แค่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับซูสือจิ่นที่คล้ายกับความรักและการแต่งงาน ก็รู้สึกว่าความไร้เดียงสานี้ถูกโลกใบนี้ทำให้แปดเปื้อน
เขารู้สึกว่าไฟในหัวใจของเขาลุกโชนขึ้นมา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวออกมาทีละคำทีละประโยคว่า: “คุณจะชื่นชอบเสี่ยวถางก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน! ฉันกับเธอ เป็น! ไป! ไม่ได้!”
ซูสือจิ่นอาบน้ำเสร็จออกมา เดิมทีต้องการจะไปพูดคุยกับแม่หยาน พอเธอเดินไปถึงหน้าประตู ก็ได้ยินประโยคนี้ของหยานชิงเจ๋อ มือที่เดิมยกขึ้นเตรียมจะเคาะประตูก็ค้างอยู่อย่างนั้น สีเลือดบนใบหน้ากลายเป็นซีดเผือดทันที
เขาบอกว่า ระหว่างพวกเรามันเป็นไปไม่ได้
อีกทั้ง เขายังใช้น้ำเสียงที่โมโหแบบนั้นพูดอีก
เขาไม่ชอบความสัมพันธ์นี้ระหว่างตนเองกับเขาอย่างมาก ถึงขั้นตะโกนใส่แม่ของเขาอย่างไร้เหตุผลแบบนี้เลยเหรอ?
ซูสือจิ่นกัดริมฝีปาก ตัวสั่นเล็กน้อย เขาพยายามบอกตัวเองว่าที่นี่เป็นบ้านของหยานชิงเจ๋อ ทำตัวเสียมารยาทไม่ได้ จากนั้น ก็รวบรวมกำลังที่มีทั้งหมด กลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าจนแทบจะไหลออกมา
และเวลานี้ หลังจากหยานชิงเจ๋อตะโกนประโยคนั้นแล้ว ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างสุดขีด เขาลุกขึ้นไปเปิดประตู ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก
เพียงแต่เขาเพิ่งก้าวออกแค่ไปก้าวเดียว ฝีเท้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
ซูสือจิ่นที่ยืนอยู่นอกประตู มองไปยังห้องนอนด้วยสายตาที่งุนงง
ไฟที่ลุกโชนขึ้นมาเมื่อกี้ของหยานชิงเจ๋อ ถูกน้ำสาดให้ดับลงในชั่วพริบตา เขามองไปยังซูสือจิ่นอย่างสับสนวุ่นวาย แล้วกล่าวกับเธอว่า: “เสี่ยวจิ่น คุณมาตั้งแต่เมื่อไร?”
ซูสือจิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กลัดกลุ้มเล็กน้อยว่า: “เมื่อกี้นี้ค่ะ——”
หยานชิงเจ๋อสีหน้าเปลี่ยนไป: “คุณได้ยินทั้งหมดเลยเหรอ?”
ซูสือจิ่นไม่พูดจา ทั้งที่เธอต้องการจะอธิบายด้วยรอยยิ้มเหมือนเมื่อก่อน แสร้งทำเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไร แต่สุดท้าย เธอยังคงประเมินฝีมือการแสดงของตนเองสูงเกินไป
เธอพูดไม่ออก ทำได้เพียงยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
“เสี่ยวจิ่น สิ่งที่คุณได้ยินเมื่อกี้นี้ ไม่ต้องเอามาใส่ใจนะ” หยานชิงเจ๋อเห็นการแสดงออกของซูสือจิ่น ก็รู้ว่าเธอได้ยิน
เขารีบกล่าวอธิบายว่า: “แม่ของฉันเธอล้อเล่นน่ะ พวกเราจะเป็นอะไรกันได้ยังไง? คำพูดของเธอทำให้คุณตกใจใช่ไหม? อย่าไปฟังเธอเลยนะ เดิมทีเธอก็ไม่รู้ว่าพวกเราเป็นเหมือนพี่ชายกับน้องสาวกัน ดังนั้นจึงได้พูดไร้สาระแบบนี้ คุณอย่าเป็นทุกข์ไปเลยนะ คิดซะว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
ดังนั้น ที่เขาปลอบใจเธอ เพราะเขาคิดว่าตนเองได้ฟังคำพูดของแม่เขา คิดว่าที่แม่ของเขาพูดเหมือนจะจับคู่ให้ จึงทำให้เธอไม่สบายใจ?
เวลานี้ ซูสือจิ่นรู้สึกว่ามันค่อนข้างเหลวไหลไร้สาระจนน่าหัวเราะ หลังจากหัวเราะแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้ง
แต่ไหนแต่ไร เขาก็รู้สึกเพียงว่า เธอเป็นแค่น้องสาวของเขา เท่านั้นเองจริงๆ