นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 89 แม่ใจดี
เมื่อคิดอย่างนี้โจวกุ้ยหลานก็หุบปากปล่อยให้เหล่าไท่ไท่ด่าไป เพียงแต่รอบด้านมีหนามยื่นออกมาไม่น้อย นางจึงต้องดูที่เท้าอย่างระมัดระวัง
แต่ถึงตอนนี้นางมีความรู้สึกชื่นชมมาก มันเป็นถนนที่เดินยากมาก โจวชิวเซียงวิ่งทุกรอบได้ยังไง
เหล่าไท่ไท่ด่าอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธในใจก็เบาบางลง เพิ่งนึกถึงลูกสาวที่อยู่ข้างหลังตัวเอง
แล้วหันไปด่าโจวกุ้ยหลานอีกรอบ “เจ้าตายแล้วเหรอ มีคนเลวทำลายผักของเจ้าจนไม่มีชิ้นดี แต่เจ้าไม่กล้ามีปากมีเสียงอะไรเลยเหรอ”
“เรายังไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วจะให้ทำอะไร” โจวกุ้ยหลานตอบด้วยเหตุผล
แม้ว่านางจะตั้งเป้าหมายไว้ที่เฉินโหยวซวนแล้ว แต่นางต้องตรวจสอบก่อน ถึงตอนนั้นนางค่อยจัดการเขาขั้นเด็ดขาด!
ก่อนหน้านี้นางสงสัยหวังหยู่ชุน วันนั้นจงใจพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหวังหยู่ชุน หวังหยู่ชุนคิดแค่เรื่องกินไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นๆ นางจึงไม่เชื่อว่าหวังหยู่ชุนจะแสดงได้ดีขนาดไม่มีข้อบกพร่องสักนิด
เหล่าไท่ไท่โมโหลูกสาวตัวเองจนจะตายอยู่แล้ว “ยัยเด็กคนนี้ยังจะมีเหตุผลอีกเหรอ เจ้าไม่รู้ว่าเป็นใครเลยไม่ด่า งั้นคนที่ถูกด่าก็ไม่รู้ว่าคนโดนด่าเป็นเขาเหรอ เราด่าสิบแปดชั่วโคตรของเขาไป เขาก็จะไม่กล้าเอ่ยปากสักคำแม้แต่คำ แบบนี้ยังจะไม่ยอมโกรธเขาอีกเหรอ”
พูดแบบนี้ฟังดูก็เหมือนสมเหตุสมผล
โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับเหล่าไท่ไท่ “ท่านแม่มีความสามารถเหมือนเดิมเลย แต่คำด่าแบบแม่ข้าด่าไม่เป็นหรอก!”
“เจ้าอยู่กับข้ามาตั้งหลายปี ไม่ได้เรียนรู้ความสามารถของข้าเลยจริงๆ!”
เหล่าไท่ไท่กัดฟันกรอดอย่างโมโห
โจวกุ้ยหลานหัวเราะเจ้าเล่ห์ทันที “ท่านแม่ งั้นท่านแม่ช่วยด่าแทนข้าเลย ท่านแม่ช่วยข้าระบายความโกรธแล้ว ข้าจะดูว่ายังมีใครไม่พอใจข้า ถึงตอนนั้นข้าค่อยตบเขาแรงๆ สักที!”
“ได้เลยๆ เอาไว้ถึงเวลานั้นให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”
ได้ยินคำพูดของเหล่าไท่ไท่แล้ว โจวกุ้ยหลานก็สบายใจ
นางกำลังคิดว่าจะไปทดสอบเฉินโหยวซวนยังไง บางทีเหล่าไท่ไท่อาจจะเอะอะโวยวาย ถึงตอนนั้นเขาจะต้องเผยตัวเสียเอง
ในเวลาต่อมา ด้วยการจงใจเยินยอของโจวกุ้ยหลาน เหล่าไท่ไท่จึงสงบลงได้ไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานใช้โอกาสนี้คุยเรื่องหลี่ซิ่วยิงกับเหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่จึงเริ่มคุยไปกับนาง
เมื่อวานนัดไปแล้วว่าเหล่าไท่ไท่จะพาโจวชิวเซียงเข้าไปในตำบลแต่เช้า วันนี้ ดังนั้นตอนเช้าเหล่าไท่ไท่จึงไปที่บ้านของโจวต้าซาน จึงเห็นโจวชิวเซียงนอนร้องครางอยู่บนเตียง
เหล่าไท่ไท่จึงรีบถามเลยรู้ว่าเมื่อวานนางถูกงูกัด หลี่ซิ่วยิงแบกนางกลับมาจนเอวยอก เลยก็นอนร้องครางอยู่บนเตียงด้วย
“ยัยเด็กนั่นก็อยู่ไม่สุขเลย กลางค่ำกลางคืนวิ่งออกไปทำอะไร ยังให้งูมันกัด แบบนี้ต้องเสียเงินอีกไม่ใช่เหรอ แล้วยังจะถ่วงแม่ตัวเองไปด้วย!” เหล่าไท่ไท่สรุปในตอนท้าย
นางยังคงไม่ค่อยชอบหลานสาวตัวเองคนนี้ เป็นสาวบ้านนอกที่ไม่ทำอะไรเลย บอบบางเกินไป
ในความคิดของเหล่าไท่ไท่ คนบ้านนอกต้องขยัน นางไม่ชอบพวกคนเกียจคร้าน
“แล้วท่านไม่คิดบ้างเหรอว่านางอยู่ที่ไหนถึงได้ถูกงูกัด”
โจวกุ้ยหลานมุ่ยปากถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ
เหล่าไท่ไท่ชะงักไป เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้ถามตรงจุดนี้
“เจ้ารู้เหรอ”
โจวกุ้ยหลานลูบจมูกตัวเอง “เมื่อคืนนางมาบ้านข้าเพื่อมาอาลัยอาวรณ์บอกลาฉางหลิน พวกเราทะเลาะกัน และป้าใหญ่ข้า หาว่าถีบหัวส่งนาง”
เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืน โจวกุ้ยหลานรู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าจะชนะกลับมาในสุกแล้ว แต่เมื่อคืนผู้ชายของนางต้องกลับไปกลับมาเพื่อช่วยสองแม่ลูกนั่น ไม่ว่ายังไงเขาก็เสียเปรียบ
เหล่าไท่ไท่ประหลาดใจแล้วหยุดก้าวเดิน โจวกุ้ยหลานที่ตามมาข้างหลังเกือบชนเหล่าไท่ไท่ กระทั่งนางหยุดก็รีบตบอกตัวเอง ฮึ้ย ถ้าเหล่าไท่ไท่ล้มไปต้องแย่แน่!
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ นางไปหาฉางหลินตอนดึกด้วยเหรอ ยัยเด็กนี่ไม่ใช่ว่าจะเข้าตำบลไปหาคู่แต่งงานเหรอ ทำไมยังจะมาหาฉางหลินที่บ้านเจ้าอีก” เหล่าไท่ไท่หันหน้าไปอย่างไม่อยากเชื่อ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานไม่คิดปิดบังเหล่าไท่ไท่แม้แต่น้อย จึงบอกทันที “บอกฉางหลินว่าถึงนางจะแต่งงานก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของพวกเขา ต่อไปให้ใจสวีฉางหลินมีเพียงนาง ห้ามมีข้า”
เหล่าไท่ไท่โกรธจนตบต้นขาตัวเอง “ยัยเด็กนี่ไม่มีสมองเหรอ”
โจวกุ้ยหลานตบไหล่เหล่าไท่ไท่อย่างเข้าใจ “ท่านแม่อย่าโกรธเลย ยังไงข้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาง ถ้านางมาทำต่อหน้าข้าอีก ก็อย่าโทษที่ข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน ส่วนป้าใหญ่ข้ายังเห็นแก่หน้าอยู่ แต่ถ้ามากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”
คิดถึงท่าทีของหลี่ซิ่วยิงที่มีต่อนาง นางก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรดีที่จะเข้ากับคนเหล่านี้
ส่วนการไว้หน้านั่นก็เท่ากับไว้หน้าลุงใหญ่
ของในตะกร้าของนางไม่ได้มอบให้สองคนนั้น แต่เป็นความกตัญญูต่อลุงใหญ่
สีหน้าเหล่าไท่ไท่เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก นางหันหลังเดินต่อไป ระหว่างทางไม่ได้พูดอะไรมากอีก
โจวกุ้ยหลานตามนางลงเขา มุ่งหน้าไปบ้านโจวต้าซาน
เมื่อใกล้ถึงบ้านนาง เหล่าไท่ไท่ยืนนิ่งอีกครั้ง คว้าแขนเสื้อของโจวกุ้ยหลาน แล้วโน้มตัวไปกระซิบข้างหู “ลูกแม่ ข้าคิดได้แล้ว ต้องรีบเอายัยชิวเซียงไปส่งให้อยู่ที่บ้านพี่รองเจ้า ให้นางรีบหาคู่แต่งงานให้ ส่วนป้าใหญ่ของเจ้า ยังต้องเห็นแก่หน้าบ้าง”
พูดอย่างนั้นแล้วเหล่าไท่ไท่ก็เหลือบมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดต่อ “เจ้ายังต้องเคารพลุงใหญ่ของเจ้า ถ้าไม่ได้ลุงใหญ่ของเจ้า ครอบครัวเราคงอดตายไปนานแล้ว หลายปีมานี้ลุงใหญ่ของเจ้าใจดีกับเจ้าและพี่ชายเจ้ามาก ตอนเจ้าสร้างบ้าน ลุงใหญ่ของเจ้าและลูกพี่ลูกน้องหลายคนก็ออกแรงช่วย นี่คือบุญคุณที่ต้องจดจำ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้โจวกุ้ยหลานประหลาดใจ
เมื้อก่อนคิดว่าเหล่าไท่ไท่เป็นคนร้ายกาจ ไม่เคยคิดว่านางจะมีความคิดขนาดนี้ ตลอดทางที่ไม่ได้พูดเลยก็เพราะคิดแก้ปัญหากับเรื่องพวกนี้อยู่เหรอ
โอ้โห เหล่าไท่ไท่น่ารักเกินไปแล้ว!
หัวใจของโจวกุ้ยหลานรู้สึกอบอุ่น นางยื่นมือไปกอดเหล่าไท่ไท่อยู่ในอ้อมอกตนเอง
“ท่านแม่ใจดีจัง!”
เหล่าไท่ไท่ยกมือขึ้นตบแขนนาง “รีบปล่อยเลย แบบนี้เหมือนอะไรก็ไม่รู้”
“ทำไมล่ะ ข้ากอดท่านแม่ไม่ได้เหรอ”
แต่โจวกุ้ยหลานไม่สนใจเรื่องนี้ ตอนนี้นางแค่อยากกอดเหล่าไท่ไท่
เมื่อก่อนไม่รู้เลย ตอนนี้พอกอดถึงได้พบว่าเหล่าไท่ไท่ผอมลงมาก สัมผัสกระดูกได้ชัดเหมือนเป็นหนังหุ้มกระดูก ผ่ายผอมมากจริงๆ
นางแสบจมูกอยากร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล
เหล่าไท่ไท่ตัวคนเดียวเลี้ยงลูกๆ จนเติบใหญ่มันยากแค่ไหนกันนะ
เมื่อสองสามปีก่อนเกิดภัยแล้ง ที่บ้านไม่มีอาหาร เหล่าไท่ไท่ดื่มแต่น้ำ กินอาหารน้อยมาก พวกอาหารถูกโจวต้าไห่กับเจ้าของร่างเดิมกิน
ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าไท่ไท่เข้มแข็ง โจวต้าไห่ยืนกรานให้เหล่าไท่ไท่กินบ้าง เกรงว่าตอนนี้เหล่าไท่ไท่ไม่อยุ่แล้ว