บทที่ 205.2 ปราบปราม (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 205 ปราบปราม (2)
ฮ่องเต้ดันพวกเด็กๆ ทั้งสามให้เข้าไปกินขนมในห้อง

พอฮ่องเต้ฟังเว่ยกงกงรายงานจบสีหน้าก็หม่นหมองลงในทันใด ตอนที่จ้าวซ่างซูรายงานเรื่องอุบัติเหตุไม่ได้บอกว่ามีผู้บาดเจ็บมากมายเพียงนี้ “นี่มันไม่ใช่แค่สิบกว่าคน และส่วนใหญ่บาดเจ็บเล็กน้อยแล้วกระมัง บอกว่าบาดเจ็บสาหัสแค่สองคน และได้รับการรักษาอย่างดีแล้ว”

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงปลอมตัวมาแอบเยี่ยมเยือนราษฎร พวกขุนนางเหล่านั้นครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีกก่อนจะรายงานข่าวให้พระองค์ฟัง เพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้

กษัตริย์แห่งแคว้นถูกปิดหูปิดตาก็จะตัดสินผิดพลาดได้

เว่ยกงกงไม่กล้าโต้แย้ง

ตอนแรกที่จ้าวซ่างซูรายงานต่อฝ่าบาท เขาก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าบาดเจ็บล้มตายกันไม่น่าจะใช่แค่นี้ และฝ่าบาทก็น่าจะคาดเดาได้เช่นกัน หากแต่เขากับฝ่าบาทไม่ได้นึกว่าจ้าวซ่างซูจะปิดบังมากมายเช่นนี้

นี่มันชักจะเกินไปแล้ว

“เราจะไปดูเอง!” ฮ่องเต้ตรัสเสียงขรึม

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”! เว่ยกงกงรีบขวางไว้ แค่เขาที่เป็นขันทีไปดูผู้บาดเจ็บเหล่านั้นยังรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด ฝ่าบาทเป็นถึงกษัตริย์ผู้ปกครองแคว้น จะไปเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!!

ฮ่องเต้ไม่สนใจเว่ยกงกง สาวเท้ารวดเร็วเดินออกไปยังนอกเรือน เพิ่งจะก้าวออกจากธรณีประตูก็เจอกับร่างกำยำเข้าโดยไม่ได้คาดคิด

“กู้ตูเว่ยรึ” ฮ่องเต้ตกพระทัย

กู้ฉังชิงมาหาเสี่ยวจิ้งคงกับกู้เฉิงหลิน ห้องผู้ป่วยแน่นเกินไป กู้เฉิงหลินจึงถูกย้ายมาที่เรือนเล็กของกู้เจียว หากแต่เขาเอาแต่นอนอยู่ในห้องไม่ได้ออกมา ด้วยเหตุนี้แม้แต่พวกเสี่ยวจิ้งคงจึงไม่รู้ว่าเขาอยู่ในเรือนด้วย

กู้ฉังชิงก็ตกใจเช่นกัน เหตุใดจึงได้มาเจอฮ่องเต้ที่นี่ได้

กู้ฉังชิงประสานมือคำนับให้ “ฝ่าบาท”

ฮ่องเต้เบนสายตาตกลงบนมือขวาของเขาที่พันผ้าเอาไว้ แล้วตรัสถาม “เจ้าก็ไปที่เกิดเหตุมาเหมือนกันรึ”

กู้ฉังชิงตอบไปตามความจริง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินข่าวระหว่างทางจึงพาทหารมากองหนึ่ง”

ฮ่องเต้พยักหน้า คิดว่าเขามาอยู่ที่นี่เพื่อมาคอยคุ้มกันส่งผู้บาดเจ็บ ก่อนจะตรัส “มือเป็นอะไรมากหรือไม่”

กู้ฉังชิงเอ่ย “ไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น”

ฮ่องเต้มองเขานิ่งๆ “เจ้าไปที่เกิดเหตุมาแล้วรึ เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้สถานการณ์ตอนนั้น เข้าบอกเรามาตรงๆ ว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายเท่าใดกันแน่”

กู้ฉังชิงเป็นคนของค่ายทหาร ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องของกรมทั้งหก ตามหลักการแล้วเขาก็ควรจะเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้ ทว่านึกถึงผู้บาดเจ็บมากมายเพียงนั้น ซ้ำยังคิดถึงที่กู้เจียวเกือบจะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือพวกเขา สุดท้ายเขาจึงเอ่ยด้วยความจริงและหนักใจ “บาดเจ็บสาหัสอยู่ในขั้นอันตรายหกราย บาดเจ็บสาหัสสิบสามราย บาดเจ็บเล็กน้อยสิบเจ็ดราย แล้วก็มีอีกคนที่…ไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตได้หรือไม่ หากช่วยไม่ได้แล้ว ก็จะมีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้รู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดมิด!

แม้ว่าจะพอเดาได้ว่าสถานการณ์คงร้ายแรงกว่าที่จ้าวซ่างซูบอก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะร้ายแรงเช่นนี้!

ผู้บาดเจ็บที่กำลังได้รับความช่วยเหลือคนนี้คือชายที่ถูกกู้เจียวคาดผ้าสีดำให้ เขาถูกตัดสินให้กลายเป็นผู้บาดเจ็บขั้นวิกฤตหมดหนทางช่วยชีวิต ทว่าจวบจนทุกคนออกจากที่เกิดเหตุไปหมดแล้ว เขาก็ยังคงมีลมหายใจอยู่

โรงหมออื่นไม่กล้ารับเขาไป กู้เจียวจึงรับเขามา

ผู้บาดเจ็บสาหัสอยู่ในขั้นวิกฤตหกรายก็ล้วนพ้นขีดอันตรายกันหมดแล้ว กู้เจียวจึงเริ่มช่วยชีวิตเขา จนกระทั่งตอนนี้ก็ช่วยรักษามาสามชั่วยามเต็มๆ แล้ว

ความเป็นความตายของเขา เป็นตัวแปรให้ความร้ายแรงของเหตุการณ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ทุกคนต่างเฝ้ารอกันอย่างกระวนกระวายใจ รวมถึงฮ่องเต้และกู้ฉังชิงด้วย

ฮ่องเต้นั้นเป็นห่วงชีวิตของคนคนนั้น ส่วนกู้ฉังชิงทั้งห่วงชีวิตของคนคนนั้นและเป็นห่วงร่างกายของกู้เจียว

กู้ฉังชิงถือถุงน้ำเดินเข้ามา

ฮ่องเต้มองเขาอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ในที่สุดประตูห้องก็เปิดออก

กู้เจียวเดินออกมา

ทั่วร่างนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไม่มีตรงไหนที่แห้งเลย

กู้ฉังชิงสาวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็วปานศรธนู “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“จิตใจของเขาเข้มแข็งมาก รักษาชีวิตเอาไว้ได้ในตอนนี้ แต่ยังไม่ได้พ้นขีดอันตรายทั้งหมด…” เอ่ยมาถึงตรงนี้ กู้เจียวจึงนึกขึ้นได้ว่ากู้ฉังชิงถามนางว่าเป็นอย่างไรบ้าง นางพลันชะงักไป “ข้ายังไหว”

แค่หิวนิดหน่อย

กู้ฉังชิงเปิดฝาถุงน้ำในมือส่งให้นาง “เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว ไปกินอะไรหน่อยดีกว่า”

กู้เจียวส่งเสียงอืมออกมา แล้วรับถุงน้ำมาดื่ม

ฮ่องเต้ที่อยู่ด้านข้างเห็นกู้เจียวเข้าก็มึนงงไปทันที

พระองค์ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอนางที่นี่ นี่มัน…

“หืม” กู้เจียวสังเกตเห็นฮ่องเต้แล้ว แต่นางจำอีกฝ่ายไม่ได้ เห็นอีกฝ่ายท่าทางปากอ้าตาค้าง จึงเอ่ยถาม “เจ้าเป็นญาติผู้บาดเจ็บหรือ”

ฮ่องเต้นิ่งงันจนลืมตอบคำถาม

กู้ฉังชิงรู้ว่าฮ่องเต้ปลอมตัวมา ยามนี้จึงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี

กู้เจียวเอ่ยต่อ “ตอนนี้อาการเขายังไม่นิ่ง ต้องผ่านพ้นช่วงอันตรายในสักสามวันนี้ไปก่อน”

ในที่สุดฮ่องเต้ก็หาเสียงของตัวเองเจอ จริงด้วย ตอนนั้นตนสวมหมวกสานไว้ ดังนั้นเด็กสาวคนนี้จึงจำตนไม่ได้

ฮ่องเต้ตรัส “ข้าไม่ใช่ญาติคนไข้”

“อ๋อ” กู้เจียวครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ย “เจ้าเป็นคนจากทางการมาตรวจสอบอุบัติเหตุรึ”

กู้เจียวไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ยก็พยักหน้าหงึกหงัก “มีคำถามอะไรก็ถามข้าได้เลย ไปถามหมอซ่ง หมอเฉินและหมอหลี่ได้เช่นกัน พวกเราไปดูที่เกิดเหตุกันมาทุกคน”

นางไม่พูดคำพูดที่ทำให้หมดกำลังใจอย่างตรวจสอบไปก็ไร้ประโยชน์ ทางการไม่อาจทำเพื่อประชาชนได้ ซ้ำยังไม่ถามว่าหากตอบไปตามความจริงตัวเองจะเดือดร้อนหรือไม่

นางใช้สายตาเรียบนิ่งและจริงใจมองพระองค์

ฮ่องเต้พลันพูดไม่ออก

กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเบา “เรื่องตรวจสอบข้ารับมือเองก็ได้ เจ้ารีบไปกินข้าวเถิด”

กู้เจียวเห็นว่าปล่อยให้เขาจัดการก็แล้วกัน จึงหันหลังไปที่เรือน

นางเดินออกไปไกลแล้ว ฮ่องเต้จึงได้สติจากความตื่นตกใจกลับมา

พระองค์นึกถึงท่าทีที่กู้ฉังชิงมีต่อนาง ไม่เหมือนว่าเพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก จึงเอ่ยถาม “พวกเจ้ารู้จักกันรึ”

กู้ฉังชิงประสานมือ สูดหายใจลึกแล้วเอ่ย “ทูลฝ่าบาท นางเป็นน้องสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตกใจอีกครั้ง “น้องสาวเจ้าอย่างนั้นรึ น้องสาวเจ้าไม่ใช่…”

กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “นางเป็นน้องสาวแท้ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินฉู่อวี้ที่อยู่บนรถม้าที่ควบกลับวังหลับปุ๋ยไปแล้ว

เขานอนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ร่างอ้วนท้วมขดเป็นก้อนเหมือนลูกหมี

เว่ยกงกงใช้มือกันเขาไว้ ไม่ให้เขากลิ้งตกลงมาจากตั่ง

ฮ่องเต้กลับดำดิ่งสู่ความตกตะลึงที่ยากจะอธิบายได้

การปลอมตัวออกไปครั้งนี้ได้รับรู้มากเกินคาดนัก

ทั้งสถานการณ์ของผู้บาดเจ็บ การปิดบังของกรมโยธา ไหนจะหมอเทวดาที่รักษาอาการป่วยของพระองค์ที่อำเภอนั่นอีก

ทว่านึกไม่ถึงว่าหมอเทวดาจะเป็นลูกสาวแท้ๆ ของอันติ้งโหว…

หากว่าเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเครื่องสูบลมนางก็…

อันติ้งโหวหนออันติ้งโหว เจ้ามันหมูโง่!

พอฮ่องเต้กลับมาถึงวังเรื่องแรกที่ทำคือลากคอจ้าวซ่างซูมาที่ห้องหนังสือ แล้วถามเขาถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของอุบัติเหตุ

ตอนแรกจ้าวซ่างซูคิดจะดิ้นรนก่อนตาย คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะโยนบัญชีรายชื่อของผู้บาดเจ็บมาตรงหน้าเขาทันที

จ้าวซ่างซูที่เห็นบัญชีรายชื่อก็พลันชะงักงัน

เขาออกคำสั่งปิดปากแล้วมิใช่หรือ คะ..ใครมันไม่กลัวตายเอาความจริงมาเปิดโปงเช่นนี้

คนในกรมโยธาย่อมไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นฮ่องเต้ไม่ได้หวังพึ่งกรมโยธา เขาจึงเดาไปที่กู้ฉังชิง

ผู้ประสบภัยวันนี้มีกู้ฉังชิงเป็นคนคุ้มกันส่งตัวไม่น้อย อีกฝ่ายรู้ว่าพวกผู้ประสบภัยถูกส่งไปที่โรงหมอไหนบ้าง และได้รับรายชื่อของพวกผู้ประสบภัยมาอย่างง่ายดาย

หนึ่งในนั้นเป็นคนไข้ที่เมี่ยวโส่วถังรับไปมากที่สุด รวมถึงผู้ประสบภัยที่อาการร่อแร่ใกล้ตายคนนั้นที่โรงหมออื่นปฏิเสธนั่นด้วย และผู้บาดเจ็บสาหัสอยู่ในขั้นอันตรายอีกหกราย ไหนจะผู้บาดเจ็บสาหัสอีกเจ็ดรายและผู้บาดเจ็บเล็กน้อยอีกสิบราย

จ้าวซ่างซูเห็นรายชื่อสีหน้าก็พลันซีดเผือด

สาเหตุของอุบัติเหตุครานี้มาจากกู้จิ่นอวี๋ดัดแปลงเครื่องสูบลมมั่วซั่ว ทว่าในฐานะที่จ้าวซ่างซูเป็นเจ้ากรมโยธาจึงไม่ได้ไร้ความรับผิดชอบ ทางการกำหนดเวลาทำงานคือยามเฉิน แต่เวลาเกิดเหตุคือยามเหม่า

อีกนัยหนึ่งคือ พวกช่างเหล่านั้นเริ่มทำงานกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

ตอนที่จ้าวซ่างซูรายงานข่าวเลื่อนไปหนึ่งชั่วยาม เพื่อปกปิดความจริงในเรื่องที่เริ่มทำงานเร็ว

นี่ยังไม่เรียกว่าน่ากลัวที่สุด ที่น่ากลัวที่สุดก็คือในบรรดาผู้บาดเจ็บกลุ่มนั้นมีแรงงานผิดกฎหมายที่กรมโยธาจ้างมาไม่น้อย พวกเขาให้ค่าแรงถูกที่สุดมาทำงานที่อันตรายและเหนื่อยที่สุด ทว่าราชสำนักกลับให้งบประมาณของนายช่างที่ถูกกฎหมาย ถ้าอย่างนั้นส่วนต่างเหล่านั้นหายไปไหนกัน

โรงงานฝีมือน้อยใหญ่ของกรมโยธามีจำนวนนับไม่ถ้วน นี่เป็นเพียงยอดองภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น หากโรงงานที่เหลือก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้เหมือนกัน นั่นจะเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมากทีเดียว

ฮ่องเต้เดือดดาลเต็มอก “ดวงตาเรามันมืดบอด หูเรามันหนวก!”

ต่อหน้าโอรสแห่งสวรรค์ยังมีเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้เกิดขึ้นได้ นับประสาอะไรกับแผ่นดินของแคว้นจ้าวกัน

คลังแผ่นดินว่างเปล่า ล้วนเป็นเพราะเลี้ยงหนอนพวกนี้ไว้!

จ้าวซ่างซูโขกศีรษะสุดชีวิต “ฝ่าบาท! กระหม่อมไม่ทราบว่ามีเรื่องพรรค์นี้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่! ขอฝ่าบาทโปรดทรงให้โอกาสกระหม่อมไถ่โทษ ดึงตัวการหลังฉากออกมาด้วย!”

ฮ่องเต้เชื่อเขาสิแปลก พระองค์ให้องครักษ์ลากตัวออกไป

ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม

เว่ยกงกงถวายชาให้ถ้วยหนึ่ง “ฝ่าบาท ระงับโทสะก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะ “เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ แต่ละคนเห็นเราหูหนวกตาบอดกันหมด! จะให้เราใจเย็นได้อย่างไร”

เว่ยกงกงทอดถอนใจ

อันที่จริงคนอย่างจ้าวซ่างซูยังมีประโยชน์ใช้งานได้อยู่ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมโยธาติดกันมาสองสมัยแล้ว คุณูปการมากมาย หากไม่เกิดอุบัติเหตุเรื่องเตาและเครื่องสูบลมขึ้น ปีหน้าเขาก็น่าจะได้เลื่อนขั้น

แต่ดันมาเจอเข้ากับคุณหนูกู้คนนั้น…

สุดท้ายแล้วจ้าวซ่างซูโชคร้าย หรือว่าคนที่เกี่ยวข้องกับกู้จิ่นอวี๋พลอยซวยตามไปด้วยกันแน่

เว่ยกงกงส่ายหน้าอย่างจนใจ เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ทางท่านหญิงฮุ่ย…”

จริงด้วย ยังมีตัวปัญหานั่นอีก

ฮ่องเต้ปวดหัว นวดหว่างคิ้วไปมา “พรุ่งนี้เรียกตัวนางเข้าวัง”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เว่ยกงกงก็ไปที่จวนโหว เรียกตัวกู้จิ่นอวี๋เข้าวัง

กู้จิ่นอวี๋มีบทเรียนก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้จึงมีไหวพริบขึ้น ระหว่างทางไปห้องหนังสือ นางจึงแอบยัดกระเป๋าเงินใบเล็กหนักอึ้งใส่มือเว่ยกงกง

นางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ขอถามเว่ยกงกงหน่อยเจ้าค่ะ วันนี้ฝ่าบาทเรียกข้าด้วยธุระใดหรือ”

เว่ยกงกงแย้มยิ้มพลางยัดกระเป๋าใบนั้นใส่ในกระเป๋าเสื้อ

กู้จิ่นอวี๋เห็นเขารับไว้ก็ดีใจ ทว่ากลับได้ยินเขาเอ่ย “ท่านหญิงเข้าไปก็รู้เอง เจตนาของฝ่าบาทข้าไม่กล้าถามหรอก!”

กู้จิ่นอวี๋ “…”