บทที่ 205.3 ปราบปราม (3)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 205 ปราบปราม (3)
หลังจากที่กู้จิ่นอวี๋เข้ามาในห้องหนังสือ ก็ถวายคำนับอย่างเคารพนบนอบ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ไม่ได้บอกให้นางลุกขึ้น ทรงตรวจฎีกาในมือแล้วให้นางตากแดดอยู่เกือบครึ่งเค่อก่อน จนกระทั่งขานางชาหนึบไปหมดแล้วจึงตรัสขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ผลการตรวจสอบอุบัติเหตุออกมาแล้ว สาเหตุเกิดจากเครื่องสูบลม นี่เป็นสิ่งที่เจ้าปรับแก้ด้วยตัวเอง เรื่องนี้เจ้ามีอะไรจะพูดต่ออีกหรือไม่”

กู้จิ่นอวี๋นอนไม่หลับทั้งคืน นางคาดเดาความเป็นไปได้นี้เอาไว้แล้ว ซ้ำนางยังคิดคำตอบเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย

นางคุกเข่าลง โขกศีรษะ ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงใจ “หม่อมฉันมีโทษ หม่อมฉันคำนวณแรงลมและปริมาณลมที่เตารับไหวผิดไปตัวเลขหนึ่ง”

นี่เป็นคำด่าตอกหน้าที่กู้เจียวว่าให้นาง นางเรียนรู้และนำมาใช้ทันที

ขอบใจนะ พี่สาว

ฮ่องเต้ทรงหลงใหลการคำนวณและดาราศาสตร์มาก ได้ยินนางเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็เกือบบอกให้นางพูดต่อ โชคดีที่พระองค์นึกถึงจุดประสงค์ของตัวเองขึ้นมาได้ “แล้วเครื่องสูบลมเล่า เจ้าเป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลมขึ้นมาจริงๆ รึ หากไม่ใช่ เจ้าคงเจ้ารู้นะว่าจะมีโทษอะไร เจ้าบอกเรามาตามตรง เห็นแก่ท่านเหล่าโหว เราจะไม่เอาโทษเจ้าสักครั้ง มิฉะนั้นหากเราตรวจสอบหลักฐานอะไรเจอขึ้นมาจริงๆ กู้จิ่นอวี๋ เจ้าคงจะรู้ผลลัพธ์นะ”

โทษหลอกลวงเบื้องสูง สถานเบาตำหนิ สถานหนักโบยให้ตาย

กู้จิ่นอวี๋ตระหนกขึ้นมาในใจ

เมื่อวานฝ่าบาทยังเชื่อนางอยู่เลยมิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ จึงสงสัยนางขึ้นมาเล่า

ฝ่าบาทเรียกกู้เจียวมาเข้าเฝ้าแล้ว จากนั้นกู้เจียวก็เล่าอะไรเกี่ยวกับนางให้ฝ่าบาทฟังอย่างนั้นรึ

ช่างเป็นหญิงที่น่ารังเกียจนัก!

แม้ว่ากู้จิ่นอวี๋จะหวั่นไหวกับคำเตือนของฮ่องเต้ ทว่านางก็ยังคงประคองสติสุดท้ายเอาไว้

นี่เป็นกับดักของฝ่าบาท!

ฝ่าบาทไม่ได้ตรวจสอบเจอหลักฐานใดเลยสักนิด หากเจอจริงๆ ป่านนี้ได้ลงโทษนางไปแล้ว เหตุใดต้องมาบีบคั้นให้นางยอมรับเองด้วย

นางแค่ต้องกัดฟันไม่ยอมรับ คนที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นคือนาง

แม้ว่าความผิดของนางจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุร้ายแรงมากก็ตาม แต่เรื่องประดิษฐ์เครื่องสูบลม ในด้านกฎหมายของแคว้นจ้าวแล้วนางมีคุณูปการมากกว่าความผิด ก็แค่ปรับเงินก้อนหนึ่งเท่านั้น ตัวนางไม่ต้องรับโทษใดๆ ทั้งสิ้น!

นางโขกศีรษะเอ่ย “ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลความจริงทุกประการ เครื่องสูบลมหม่อมฉันเป็นคนประดิษฐ์เพคะ!”

ปลายนิ้วที่จับฎีกาของฮ่องเต้ขึ้นเป็นข้อขาว

เว่ยกงกงมองกู้จิ่นอวี๋ แล้วก็มองฮ่องเต้ ก่อนจะส่ายหน้าทอดถอนใจ

ในมือของกู้เจียวไม่มีแบบร่างที่เก็บเอาไว้ ตอนนั้นนางวาดไว้บนพื้น ก่อนจะถูกช่างไม้คัดลอกเอามา…

กู้จิ่นอวี๋กำลังเกิดความมั่นใจเช่นนี้จึงได้กล้ากัดฟันหนักแน่นว่านางเป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลม

ฮ่องเต้ไม่มีหลักฐานแน่ๆ พระองค์ฝืนกลั้นโทสะลงไปแล้วตรัส “ได้ เราเชื่อเจ้า ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” กู้จิ่นอวี๋ค่อยๆ ลุกขึ้นมา

ฮ่องเต้ตรัส “นี่เจ้าก็ใกล้จะถึงวัยออกเรือนแล้ว ฮองเฮากับจวงกุ้ยเฟยเลือกบุรุษเก่งกาจมากสามารถในราชสำนักไว้ให้เจ้าหลายคนทีเดียว เจ้ามาดูสิ”

กู้จิ่นอวี๋ชะงักไป จากนั้นก็ปรีดาขึ้นมาในใจ นางเดินไปหาพลางเอ่ยว่า “เพคะ!”

นางเดินมาตรงหน้าโต๊ะหนังสือของฮ่องเต้ แล้วยื่นมือไปหยิบรูปเหมือนที่ฮ่องเต้พยักเพยิดหน้าบอก

นางสาบานว่านางไม่ได้แตะต้องสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าจู่ๆ ตราราชลัญจกรหยกบนโต๊ะกลับร่วงลงมา

ที่แท้ตราราชลัญจกรหยกทับรูปเหมือนเอาไว้ บนตราราชลัญจกรหยกมีรูปเหมือนอีกใบวางคลุมอยู่ แล้วกู้จิ่นอวี๋ดึงรูปเหมือนที่ถูกตราราชลัญจกรหยกทับไว้ออกมา

ตราราชลัญจกรหยกจึงตกกระแทกพื้นแตกมุมหนึ่ง!

กู้จิ่นอวี๋สีหน้าซีดเผือดทันที!

ฮ่องเต้กลับสงบนิ่งอย่างยิ่ง พระองค์มองตราราชลัญจกรหยกที่แตกบนพื้น แล้วตรัสเสียงเรียบ “ท่านหญิง นี่เป็นตราราชลัญจกรหยกของแคว้นฉวน เจ้าทำตกแตกเสียแล้ว”

“ฝ่าบาท…ไม่ใช่นะเพคะ…หม่อมฉันเปล่า…หม่อมฉันไม่ได้ทำตก!” กู้จิ่นอวี๋ตระหนกขึ้นมา

ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นเอ่ย “ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นเราอย่างนั้นรึ เมื่อครู่แม้แต่มือเรายังไม่ได้ยกขึ้นมาด้วยซ้ำ คนทั้งห้องก็เห็นกันหมด”

กู้จิ่นอวี๋มองฮ่องเต้อย่างเหลือเชื่อ “ฝ่าบาท…”

ฮ่องเต้ดื่มชาคำหนึ่งอย่างสบายๆ “จงใจทำลายตราราชลัญจกรหยกมีโทษถึงตาย เจ้าจงใจหรือไม่ เราจะให้คนตรวจสอบให้กระจ่าง เจ้าไปคิดทบทวนตัวเองเสียก่อนไป ใครก็ได้! จับท่านหญิงเข้าคุกหลวงของกรมยุติธรรม!”

กู้จิ่นอวี๋หลุดเสียงร้องดังขึ้น “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ฝ่าบาท”

กู้จิ่นอวี๋ถูกองครักษ์ลากตัวออกไปอย่างอนาถ

เว่ยกงกงมองนางอย่างเห็นใจแวบหนึ่ง คิดจะสู้กับฝ่าบาทรึ ยังเร็วไปร้อยปี

ในที่สุดความหงุดหงิดในพระทัยฮ่องเต้ก็เบาบางลง พระองค์ให้คนเก็บตราราชลัญจกรหยกที่แตกของฉินฉู่อวี้ขึ้นมา แล้วตรัสกับเว่ยกงกง “อีกเดี๋ยวหากติ้งอันโหวมาร้องขอความเมตตาแทนลูกสาวเขาก็ให้เขาไปขอกับลูกสาวคนโตของเขานะ”

เว่ยกงกงมุมปากกระตุก “…พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้คาดเดาไว้ไม่มีผิด หลังจากที่ท่านโหวกู้รู้ข่าวก็เร่งรุดเข้าวังมาร้องขอควาเมตตากับฮ่องเต้

เว่ยกงกงขวางเขาไว้หน้าห้องหนังสือ แน่นอนว่าเขาไม่อาจบอกคำพูดของฝ่าบาทไปตรงๆ ได้ ทำเช่นนั้นจะสร้างความบาดหมางระหว่างฝ่าบาทกับหมอเทวดาน้อยได้ง่าย

ในฐานะที่เว่ยกงกงเป็นหัวหน้าใหญ่ของขันทีที่ต่อสู้เข่นฆ่าในหนทางสีเลือดของวังหลังคนหนึ่ง เขามีวิธีการพูดของตัวเอง

เขาเรียบเรียงเกลาคำพูดอยู่ในใจ แล้วเอ่ย “ฝ่าบาทนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะเรื่องกรมโยธา ยามนี้เพิ่งจะได้พักผ่อน ท่านหญิงทำผิดมหันต์ ทำร้ายนายช่างผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย ฝ่าบาทกำลังเดือดดาล ท่านโหวเข้าเฝ้าฝ่าบาทไปก็ไม่มีประโยชน์ ลูกสาวคนโตของท่านโหวช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บไว้จึงมีคุณูปการใหญ่หลวง หากท่านโหวอยากช่วยนางจริงๆ ก็ไปขอร้องกับลูกสาวคนโตของตัวเองดีกว่า ฝ่าบาทคงจะทรงพระกรุณานางไม่น้อย”

เด็กนั่นเป็นแค่เด็กหยิบยาคนหนึ่งจะไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอะไรได้

ก็แค่อาศัยชื่อเสียงจากเมี่ยวโส่วถังเท่านั้นแหละ!

บ่นอยู่ในใจรอบหนึ่ง ฝีเท้ากลับไม่ชะงัก

เขาเร่งรุดไปเมี่ยวโส่วถังทันที

ยามนี้ยังเช้าตรู่อยู่นัก กู้เจียวเพิ่งจะเปลี่ยนยาให้ผู้บาดเจ็บที่คาดผ้าแถบดำคนนั้น ก่อนจะให้น้ำเกลือแล้วไปตรวจอาการของผู้บาดเจ็บสาหัสอีกหกคนที่เหลือ

ปลอดภัยกันดี

นางจึงกลับมาที่เรือน

สำนักบัณฑิตสตรีเปิดเรียนแล้ว

นักเรียนหญิงที่ชื่อหลี่หว่านหว่านคนนั้นก็เริ่มมาฝึกดีดฉินในสวนข้างๆ อีกแล้ว

โชคดีที่ไม่ได้ทรมานแก้วหูกู้เจียวแล้ว

กู้เจียวหรี่ตาลงเอนหลังบนเก้าอี้หวายของเรือนพลางฟังหลี่หว่านหว่านดีดฉิน

ฟังไปได้ครึ่งเดียว ประตูก็ถูกคนเคาะอย่างแรง

“เปิดประตู!”

เป็นท่านโหวกู้

หลี่หว่านหว่านสะดุ้งเล็กน้อย เสียงฉินพลันเงียบไป

“เจ้าดีดต่อไป” กู้เจียวบอก

เจ้าของเสียงฉินไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร คล้ายว่าเชื่อใจกู้เจียวเป็นพิเศษ นางดีดฉินต่อไป

เสียงฉินของนางไพเราะยิ่ง ปลอบประโลมความพลุ่งพล่านในใจให้สงบลงได้

ท่านโหวกู้ที่อยู่นอกประตูกลับไม่มีกระจิตกระใจมาฟังเสียงฉิน เขามองลอดประตูไปเห็นว่าประตูลงกลอนไว้ เด็กนั่นอยู่ในเรือน แต่ตนตบประตูมานานแล้วเด็กนั่นก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใด

เด็กนั่นมันจงใจชัดๆ!

ท่านโหวกู้เดือดดาลยกใหญ่ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ข้างใน! เจ้ารีบออกมาเดี๋ยวนี้นะ! จิ่นอวี๋ถูกจับตัวไปแล้ว! เจ้ายังไม่รีบไปช่วยนางอีก!”

กู้เจียวหลุดหัวเราะ ยกมือหนึ่งขึ้นรองท้ายทอยแทนหมอน

กู้จิ่นอวี๋โดนจับไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนางกัน

ท่านโหวกู้กลับไม่ยอมแพ้ “จิ่นอวี๋ไม่ได้ตั้งใจทำผิดเสียหน่อย! นางไม่ได้ตั้งใจ! และนางคิดปรับแก้เครื่องสูบลมก็เพื่อราชสำนัก! นางไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่าจะเกิดอุบัติเหตุใหญ่โตเพียงนี้! เจ้าเป็นพี่สาวนาง! เจ้าปล่อยนางเข้าคุกไม่ได้นะ!”

โอ๊ะ เข้าคุกแล้วด้วย

กู้เจียวเลิกคิ้ว

ท่านโหวกู้ได้ยินกู้จิ่นอวี๋โดนจับก็ร้อนใจจนเสียสติ ลืมไปถามกู้จิ่นอวี๋ว่าโดนจับเพราะเหตุใด จึงคิดว่าฝ่าบาทจับนางด้วยโทษที่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุ

ท่านโหวกู้คำราม “นางเป็นน้องสาวเจ้านะ! เจ้ายังมีมโนธรรมหรือไม่! เจ้ารีบตามข้าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้! ขอร้องให้ฝ่าบาททรงพระกรุณาอภัยโทษน้องสาวเจ้าซะ!”

กู้เจียว เหอะเหอะ

ท่านโหวกู้โกรธเกรี้ยว “จะจะจะ…เจ้า…หากเจ้ายังไม่ออกมาอีกข้าจะปิดโรงหมอแห่งนี้ของเจ้า! ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะยังผยอง…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ ประตูเรือนก็ถูกเปิดออก

มือเรียวบางข้างหนึ่งยื่นออกมา ข้อมือขาวบอบบางเกลี้ยงเกลาเนียนละเอียดดุจหยก

ข้อมือยกขึ้นเล็กน้อย มือเรียวขาวจับเสื้อส่วนหน้าของท่านโหวกู้ไว้

ท่านโหวกู้ไม่ทันตั้งตัว จึงโดนดึงเข้าเรือนมา

“จะจะจะ…เจ้าเด็กหน้าเหม็น เจ้าจะทำอะไร” ท่านโหวกู้ก้นกระแทกพื้นอย่างไร้ปรานี

กู้เจียวลากตัวเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เหมือนกับลากกระสอบ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลากเข้ามาในห้องเก็บฟืน

นางปิดประตูห้องเก็บฟืน

เสียงฉินล่องลอยขึ้นจากอีกด้านของกำแพง

เสียงร้องโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นภายในห้องเก็บฟืน

“อ้ากกก”

“โอ๊ยยย”

“อ้ากกก”

ปัง ปัง ปัง

ตุบ ตุบ ตุบ

ตัก ตัก ตัก

“อย่าชกที่หน้านะ…”

“อ้ากกก”

เสียงฉินอันไพเราะเสนาะหูลอยละล่อง หลังจากดีดจบ คนบางคนในห้องเก็บฟืนก็โดนหมัดเล็กๆ หมัดสุดท้ายอัดเสร็จสิ้น

กู้เจียวลากประตูเปิด แล้วเดินออกมาจากห้องเก็บฟืนด้วยอารมณ์เบิกบาน

แสงตะวันสาดส่องลอดเข้าไป ตกกระทบบนใบหน้าบวมตุ่ยเขียวช้ำของท่านโหวกู้ เขาเหมือนหุ่นไม้ที่เชือกขาด นั่งอ่อนเปลี้ยพิงกำแพงอย่างไร้วิญญาณ

ท่านโหวกู้เอ่ยอย่างทวงความเป็นธรรม “ฮือ…ออกอ้าอ่าอ๊กอ้า (บอกว่าอย่าชกหน้า)”