บทที่ 206 ตั้งครรภ์ (1)
ทว่าหลังจากหลี่หว่านหว่านดีดจบ ก็เป็นห่วงกู้เจียวขึ้นมา
อันที่จริงเมื่อครู่นี้นางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบางอย่าง แต่แม่นางที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงไม่ให้นางหยุดดีด นางจึงจำต้องฝืนดีดต่อไป
พอนางดีดจบ เสียงเคลื่อนไหวทางด้านนั้นก็หายไปแล้ว
นางลุกขึ้นมองไปยังกำแพงเย็นเยียบ ก่อนถามด้วยความห่วงใย “แม่นาง เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
“เจ้าดีดผิดไปสองตัวนะ”
เสียงที่ตอบนางกลับมาสงบนิ่งและเย็นยะเยือก
หลี่หว่านหว่านพลันชะงักไป
เมื่อครู่เกิดเสียงโครมครามดังเพียงนั้น เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ใช่การต่อสู้กันน่ะ แบบนี้แล้วยังฟังออกอีกว่าข้าดีดผิด เจ้ามีความสามารถพิเศษอะไรกันแน่น่ะ
“ชะ…เช่นนั้นข้าจะดีดอีกรอบ” หลี่หว่านหว่านเอ่ยเสียงเบา
“อืม” กู้เจียวปัดแขนเสื้อกว้างไปมา แล้วเอนกายกลับลงไปบนเก้าอี้หวายอีกครั้ง นอนอาบแดดอย่างเอ้อระเหย
ครานี้หลี่หว่านหว่านตั้งสมาธิแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดก็ไม่ดีดผิดอีก
…
ยามเที่ยงตรง ผู้บาดเจ็บที่คาดผ้าแถบดำคนนั้นก็ได้สติขึ้น
เขาเป็นแรงงานผิดกฎหมาย เมื่อวานนี้กู้ฉังชิงตรวจสอบความจริงเรื่องนี้แล้ว
ในอุบัติเหตุครั้งนี้ ผู้ได้รับบาดเจ็บกว่าครึ่งเป็นแรงงานผิดกฎหมายที่กรมโยธาจ้างมา พวกเขาต่างมีฐานะยากจน และแม้กระทั่งไม่มีครอบครัวมาก่อนจึงได้ร่อนเร่พเนจรมาถึงที่นี่
ทว่าแรงงานผิดกฎหมายที่เหลืออย่างน้อยๆ ก็มีญาติมิตรมาเยี่ยม แต่เขาผู้นี้กลับไม่มีใครมาเยี่ยมเลยในเวลาสองวันมานี้
เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเดียวดาย พลังชีวิตเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้
ไฟคลอกร่างเขาเป็นบริเวณกว้าง ทุกๆ วันต้องใช้น้ำเกลือล้างแผล นั่นเป็นความแสบสะท้านเหมือนเลาะกระดูกเถือหนังกันเลยทีเดียว
หมอซ่งเพิ่งจะล้างแผลให้เขา ไม่รู้เหมือนกันว่ามือเขาหนักไปหรือไม่ ทำให้คนไข้เจ็บจนตื่น เขาอับอายจนเหงื่อตกไปหมด
“ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้าไปดูคนเจ็บคนอื่นเถอะ” กู้เจียวหิ้วกล่องยาเข้ามาในห้อง
“ได้!” หมอซ่งปาดเหงื่อเย็นชืด ออกจากห้องไป
กู้เจียวคาดผ้าดำให้คนไม่น้อย การเลือกด้วยความจำใจแต่ก็ต้องเลือกเช่นนี้ อัตราการรอดตายของพวกเขาเกือบเป็นศูนย์ ช่วยชีวิตพวกเขาจะนำมาซึ่งการตายของผู้บาดเจ็บสาหัสที่สามารถช่วยชีวิตได้อีกมาก
ในบรรดาผู้บาดเจ็บสาหัสที่ถูกตัดสินว่ามีอาการร่อแร่ใกล้ตายทั้งหมด มีแค่คนเดียวที่สู้ทนมาได้
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ได้ยินข้าพูดหรือไม่” กู้เจียววางกล่องยาใบเล็กไว้บนตู้ตรงหัวเตียง แล้วหยิบไฟฉายขนาดเล็กออกมาส่องดวงตาของเขา
ม่านตาตอบสนองดีมาก
เขาอ้าปากคล้ายคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ลำคอแห้งผากเกินไปจึงเปล่งอะไรไม่ออก
กู้เจียวกระจ่างแจ้งทันใด นางหยิบไม้กดลิ้นมาดูลำคอเขา “มีเสลดเล็กน้อย แล้วก็เป็นหนองด้วยนิดหน่อย กินยาก็หาย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อีกไม่กี่วันก็พูดได้แล้ว เจ้าได้ยินข้าพูดชัดหรือไม่ หากได้ยินก็กะพริบตาทีหนึ่ง”
เขากะพริบตาหนึ่งที
ฉีดยาแก้อักเสบให้เขาเสร็จ มียาฉีดบำรุงเลือดอิเล็กโทรไลต์ถุงหนึ่ง กู้เจียวเปลี่ยนยาฉีดบำรุงเลือดใหม่ แล้วปรับระดับการหยดให้
“ขวดนี้หมดก็เสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะมาถอดเข็มออกให้” กู้เจียวบอกพลางเก็บข้าวของใส่กล่องยาแล้วหันหลังจะออกจากห้องไป
อารมณ์ของบุรุษคนนั้นค่อยๆ พลุ่งพล่านขึ้นมา
กู้เจียวจับข้อมือเขาไว้ อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก ชีพจรเต้นเร็วแบบนี้จะเกิดปัญหาได้ง่าย
กู้เจียวลูบเขาเบาๆ “เจ้าอย่าวิตกไปเลย อาการบาดเจ็บของเจ้ารักษาหายได้แน่นอน โรงหมอของพวกเราจะทุ่มสุดกำลังช่วยรักษาให้เจ้า…ส่วนค่ารักษาไม่ต้องห่วง ทางการจะออกให้”
ทว่าเขาก็ยังกังวลอยู่ดี
กู้เจียวครุ่นคิดแล้วถาม “เจ้าอยากถามอาการของคนอื่นรึ หากใช่ก็ให้กะพริบตาหนึ่งที หากไม่ใช่ก็หลับตา”
บุรุษคนนั้นกะพริบตาทีหนึ่ง
กู้เจียวเอ่ย “สหายของเจ้ารึ ช่างของทางการรึ”
บุรุษคนนั้นหลับตา
กู้เจียว “คนในครอบครัวรึ”
บุรุษคนนั้นลังเลครู่หนึ่ง แล้วกะพริบตาทีหนึ่ง
กู้เจียวเอ่ย “เจ้าอยากถามว่ามีคนในครอบครัวมาเยี่ยมเจ้าบ้างหรือไม่รึ”
บุรุษคนนั้นหลับตา
มีครอบครัวแต่ไม่ได้ถามว่าคนในครอบครัวมาเยี่ยมหรือไม่ เขาห่วงคนในครอบครัวเขามาก
“บ้านเจ้ามีคนอยู่รึ” กู้เจียวถาม
บุรุษคนนั้นกะพริบตาอย่างแรง
บุรุษคนนั้นยังพูดไม่ได้ กู้เจียวจึงจำต้องถือแผนที่เมืองหลวงมาให้ จนใจที่กู้เจียวไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง จึงไม่รู้ว่าที่เขาชี้บอกมันคือที่ไหนกันแน่
วันนี้กู้ฉังชิงมาหาพวกนายช่างที่ฟื้นแล้วที่โรงหมอเพื่อตรวจสอบอุบัติเหตุ ได้ยินสถานการณ์ทางกู้เจียวจึงมาหานาง แล้วเอ่ยกับนาง “ให้ข้าถามดีกว่า”
แผนที่ของเมืองหลวงมีรายละเอียดตามท้องถนนเท่านั้น ไม่แม่นยำทุกตรอกหรือบ้านเรือนทุกหลัง เป็นเพราะกู้ฉังชิงวิ่งลาดตระเวนในเมืองหลวงตลอดทั้งปี จึงได้คุ้นเคยทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวง มิฉะนั้นหากเป็นคนอื่นแล้วก็ยังคงถามไม่รู้ความว่าบุรุษคนนี้พักอยู่ที่ไหนกันแน่
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปแจ้งคนในบ้านเจ้าให้ทราบ” กู้ฉังชิงคืนแผนที่ให้กู้เจียว แล้วหันหลังออกจากโรงหมอไป
กู้ฉังชิงหาบ้านพักของบุรุษคนนั้นเจอในเขตที่สกปรกและยากจนที่สุดในเมืองหลวง นั่นเรียกไม่ได้ว่าบ้านแล้ว เป็นแค่เพิงที่พอจะบังแดดบังฝนได้เท่านั้น
ในเพิงรกรุงรังร้างผู้คน มีเสียงหายใจเร่งเร้าแผ่วเบาลอยมาจากในตู้หลังที่ถูกเก็บมาจากด้านนอก
กู้ฉังชิงกำกระบี่ข้างบั้นเอวของตัวเองตามสัญชาตญาณทันที เขาเดินไปทางตู้ใบนั้น ก่อนจะเปิดประตูตู้อย่างระมัดระวัง เห็นแม่นางน้อยผมเผ้าสยายยุ่งเหยิงคนหนึ่ง
แม่นางน้อยคนนั้นนั่งอยู่ในตู้ ใบหน้ามอมแมม เสื้อผืนเก่าขาดวิ่น สองมือนางถือมีดสั้นขึ้นสนิมเอาไว้ มองกู้ฉังชิงด้วยแววตาหวาดกลัว
กู้ฉังชิงมองนางนิ่งๆ แล้วยื่นมือไปหานาง “เจียงสือให้ข้ามารับเจ้า”
…
กู้ฉังชิงพาแม่นางน้อยกลับมาที่โรงหมอ
เจียงสือเป็นชื่อที่ใช้ลงทะเบียนกับทางการของชายผู้นั้น เขาเป็นคนงานผิดกฎหมาย มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นครอบครัวเถื่อนด้วย และชื่อนี้ก็อาจจะชื่อปลอมด้วยเช่นกัน
แม่นางน้อยเป็นน้องสาวของเจียงสือ
นางผอมและตัวเล็ก ดูแล้วอายุน่าจะแค่ห้าขวบเท่านั้น
ทว่าหลังจากที่กู้เจียวตรวจดูฟันของนางแล้ว กลับพบว่านางฟันหลุดแล้ว ฟันแท้ขึ้นมาสองซี่แล้ว ฟันกรามขึ้นมาหนึ่งซี่ แม้แต่ฟันกรามด้านข้างก็เริ่มขึ้นมานิดๆ แล้วด้วย
โดยปกติแล้วฟันกรามด้านข้างจะขึ้นตอนแปดเก้าขวบ ก็หมายความว่านางน่าจะแปดขวบเป็นอย่างต่ำ
กู้เจียวตรวจร่างกายให้นางพร้อมสรรพ นอกจากนางขาดสารอาหารแล้วก็ไม่มีโรคภัยอะไร
เพียงแค่หวาดกลัว ไม่พูดไม่จากับใครก็เท่านั้น
สาวใช้ที่เถ้าแก่รองเลือกไว้ในโรงหมอนิสัยดี รูปลักษณ์ดี ดูแล้วมีท่าทางเป็นมิตร จึงให้สาวใช้พานางลงไปอาบน้ำอาบท่าหาอะไรกิน แล้วควักเงินตัวเองซื้อเสื้อผ้าให้นางใหม่สองสามชุด
แถมเถ้าแก่รองยังจัดหาห้องเดี่ยวให้นางอีกด้วย แต่นางไม่อยู่ นางจะอยู่กับพี่ชาย
“เสี่ยวซานจื่อ ปูเตียงไม้ไผ่ที” เถ้าแก่รองสั่ง
“ขอรับ!” เสี่ยวซานจื่อยกเตียงไม้ไผ่เข้ามาวางไว้ข้างเตียงผู้ป่วยของเจียงสือ ก่อนจะปูผ้านวมผืนหนาทำเป็นฟูกนอนชั่วคราวให้แม่นางน้อย
แม่นางน้อยนั่งลงบนเตียง ลุกขึ้นมาดูพี่ชายเป็นระยะ
พี่ชายของนางก็มองนางเช่นกัน แววตานั้นอบอุ่นยิ่ง
กู้เจียวอดนึกถึงคำพูดในทีมที่ได้ยินตอนที่ทำงานในหน่วยงานลับเมื่อชาติก่อนขึ้นมาไม่ได้ อย่ารักใคร และอย่ามีพันธะใดๆ เพราะพอมนุษย์เรามีพันธะแล้วก็จะไม่กล้าตาย
แม่นางน้อยฟุบอยู่บนราวจับของเตียงผู้ป่วย พลางจับพี่ชายไว้
นางรู้ว่าพี่ชายบาดเจ็บ แต่นางไม่รู้ว่าพี่ชายผ่านความอันตรายใดมา และไม่รู้ว่าพี่ชายใช้จิตใจแน่วแน่แค่ไหนจึงได้รอดมาจากยมโลกได้
เพราะเป็นห่วงเจ้า จึงตายไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้ทราบเรื่องที่ท่านโหวกู้ไปขอร้องไม่สำเร็จแล้ว
แต่ฝ่าบาทไม่ทราบสถานการณ์ในเรือนของกู้เจียว พระองค์ยังไม่เสียสติถึงขั้นจับตาดูทุกฝีก้าวของหมอเทวดาตัวน้อย พระองค์แค่ส่งคนไปจับตาดูท่านโหวกู้ ท่านโหวกู้เดินเข้าโรงหมอไป แต่ขากลับคลานออกมา
หวงจงที่เป็นลูกน้องมาเจอเข้า หวงจงแบกคนขึ้นหลังพาขึ้นรถม้าไปอย่างรู้งาน
ตามรายงานของสายลับ เหตุใดจึงสรุปได้ว่าอนาถคำเดียวเลยเล่า
ฮ่องเต้ “นี่เขาไปฟัดกับใครมาน่ะ”
เว่ยกงกง ไม่ทราบ และไม่กล้าถามด้วย
แต่ดูจากสภาพอเนจอนาถของท่านโหวกู้แล้ว น่าจะขอร้องไม่สำเร็จ ฮ่องเต้พอจะคาดเดาท่าทีที่หมอเทวดาน้อยมีต่อกู้จิ่นอวี๋ได้บ้างแล้ว
ฮ่องเต้วางฎีกากองโตดั่งขุนเขาลง “เอาล่ะ ไปโรงหมอกันหน่อย”
พระองค์มีอะไรจะถามหมอเทวดาน้อยต่อหน้า
แล้วก็อาการป่วยของพระองค์ด้วย
หมอเทวดาน้อยเคยบอกว่าให้มาตรวจทุกๆ สามเดือน ทั้งหมดต้องตรวจสองปี
เว่ยกงกงถาม “ฝ่าบาทจะปลอมตัวเหมือนเดิมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ จะสวมหมวกสานด้วยหรือไม่”
ปลอมตัวไปนั้นมันแน่อยู่แล้ว ส่วนหมวกสาน…
ฮ่องเต้ครุ่นคิด สวมด้วยแล้วกัน
เมื่อวานเว่ยกงกงปรากฏตัวที่โรงหมอแล้ว ฮ่องเต้จึงไม่พาเขาไปด้วย แต่พาเหอกงกงที่ตอนนั้นร่วมเดินทางไปอำเภอกับเขาด้วย
เหอกงกงเป็นขันทีที่ไม่สะดุดตา ถึงขนาดที่ว่าไม่ทำงานอยู่ข้างกายฮ่องเต้ คนทั่วไปจึงเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเขากับฮ่องเต้ได้ยาก
เว่ยกงกงเกิดน้อยใจขึ้นมา ทุกครั้งที่มีงานสำคัญทีไร ฝ่าบาทก็จะพาเหล่าเหอไอ้ลูกหมานั่นไปด้วยตลอด เขาอุตส่าห์รับใช้ฝ่าบาทอย่างดีเยี่ยมเพียงนี้ ขนาดตอนนั้นลงไปเจียงหนานก็ไม่ให้เขาไป เรื่องหมอเทวดาน้อยเขาก็เพิ่งจะมาได้ยินตอนฝ่าบาทเอ่ยถึงทีหลังนี่เอง
เหอกงกงปรากฏตัวอยู่ในโรงหมอด้วยกันกับฝ่าบาทที่สวมหมวกสานมีผ้าบางบังหน้า
เถ้าแก่รองกับผู้ดูแลหวังต่างเคยเห็นเหอกงกงกับชายหมวกสานมาแล้ว
ทว่านั่นมันตอนอยู่ที่อำเภอเมืองเล็กๆ
ตอนนั้นพวกเขาถูกยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจ่อดาบพาดคอ ยังจำได้จนถึงวันนี้เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน
เถ้าแก่รองกับผู้ดูแลหวังได้พบทั้งคู่อีกครั้งต่างพากันตัวสั่นตามสัญชาตญาณ
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่
มีความแค้นเคืองเท่าใดต่อพวกเขากัน
นึกไม่ถึงว่าจะไล่ล่ากันมาถึงเมืองหลวงเช่นนี้