บทที่ 206 ตั้งครรภ์ (2)
เถ้าแก่รองกับผู้ดูแลหวังเข้าใจผิดเต็มประตู ครานี้ฮ่องเต้ไม่ได้พายอดฝีมือมาด้วยสักคน มีเพียงพระองค์กับเหอกงกงเท่านั้น
ฮ่องเต้กระแอมในลำคอ เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำที่ใช้พูดคุยกับคนอื่นตอนอยู่ที่เมือง “แม่นางคนนั้นอยู่หรือไม่”
ผู้ดูแลหวังได้สติขึ้นมาว่าคนที่เขาถามถึงคือกู้เจียวที่เคยรักษาให้เขา จึงชี้ไปที่เรือนด้านหลังอย่างประหลาดใจแล้วเอ่ย “ยะ…อยู่ด้านหลัง…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ฮ่องเต้ก็พาเหอกงกงสะบัดแขนเสื้อเดินไปทันที
พระองค์ไปที่เรือนของกู้เจียวอย่างคุ้นเคย
ทว่าสิ่งที่พระองค์เห็นเป็นอย่างแรกกลับเป็นเด็กที่พระองค์เจอบนถนนเมื่อคืนนี้
เจ้าเด็กน้อยสวมชุดนักเรียนประถมของกั๋วจื่อเจียนยืนอยู่หน้าประตูเรือน ดวงหน้าใบน้อยบูดบึ้งเหมือนกำลังรำคาญบางอย่างอยู่
“จิ้งคง” ฮ่องเต้เดินไปหา
เสี่ยวจิ้งคงเก็บสีหน้าหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วเงยหน้าขึ้นมองพระองค์อย่างแปลกใจ “รู้จักข้ารึ”
ฮ่องเต้จึงนึกได้ว่าตัวเองสวมหมวกสานมีผ้าบางคลุมหน้าอยู่ พระองค์หัวเราะแล้วตรัส “คนในโรงหมอบอกมาน่ะ เจ้าคือจิ้งคงรึ”
“ข้าเอง” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า
ฮ่องเต้ชอบเด็กคนนี้มาก ไม่เพียงเพราะเขาน่ารักเท่านั้น ยังเป็นเพราะเขาช่วยเหลือพระองค์ได้มากทีเดียว หากไม่ถูกเขาพามาที่โรงหมอโดยบังเอิญ พระองค์อาจจะไม่รู้ความจริงเรื่องอุบัติเหตุและเครื่องสูบลมก็ได้
พระองค์รู้แล้วว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นน้องชายของหมอเทวดา แต่ไม่เคยได้ยินว่าท่านโหวกู้มีลูกชายคนเล็กอีกคนเลย พระองค์จึงไม่แน่ใจว่าน้องชายคนนี้มาได้อย่างไรกันแน่
พระองค์ถามด้วยสีหน้าละมุนละม่อม “พี่สาวเจ้าอยู่หรือไม่”
“เจ้ามาหาเจียวเจียวรึ” เสี่ยวจิ้งคงแบมือ “เช่นนั้นเจ้าอาจต้องรอก่อนนะ นางกำลังตรวจคนไข้อยู่”
ฮ่องเต้ถามต่อ “ตรวจคนไข้อะไรรึ”
เสี่ยวจิ้งคงตอบ “ไข้นก”
ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย
เสี่ยวจิ้งคงทอดถอนใจ “เฮ้อ ผู้ใหญ่พวกนี่นะ ชอบทำนั่นทำนี่มั่วซั่วกันข้างนอก ไปกันทุกที่ ทำให้นกแย่แล้ว จากนั้นค่อยมาหาเจียวเจียวให้ตรวจนกให้ เจียวเจียวยุ่งจะตาย ไหนเลยจะมีเวลามาดูนกให้บุรุษหน้าเหม็นอย่างพวกเจ้าทุกวัน”
คำว่าบุรุษหน้าเหม็นนั้นเจ้าเณรน้อยเรียนรู้มาจากท่านป้าจางที่อยู่บ้านข้างๆ
ยามนี้เขากำลังอยู่ในช่วงวัยฝึกพูด ทั้งดีทั้งหยาบเขาก็ไม่แยกแยะ ได้ยินอะไรก็พูดอันนั้น ซ้ำยังเลียนแบบน้ำเสียงประชดประชันได้เหมือนจริงมากด้วย
ฮ่องเต้ที่เดิมทีไม่ได้คิดไปทางนั้น แต่ทั้งท่าทางน้อยๆ และน้ำเสียงน้อยๆ นี้ทำเอาคิดอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ
พระองค์เหงื่อเย็นแตกพลั่กกำลังคิดว่ายามนี้โรคประเภทนี้มันกำลังแพร่หลายในเมืองหลวงหรือไร จากนั้นก็เห็นพวกบุรุษสองสามคนหิ้วกรงนกออกมา
“ขอบคุณแม่นางกู้ยิ่งนัก! พวกเราจะดูแลให้ดี! จะไม่ป้อนอาหารมันมั่วซั่วอีกแล้ว!”
พวกเขาขอบคุณกู้เจียว แล้วพานกสุดที่รักอย่างนกขุนทอง นกแก้ว นกเขียนคิ้วและนกอื่นๆ ที่ในที่สุดก็ช่วยชีวิตไว้ได้ แล้วจากไปด้วยความโล่งอก
ฮ่องเต้มุมปากกระตุก ดังนั้นนกที่เจ้าว่ามาก็คือนกที่เป็นความหมายตรงตัวอย่างนั้นรึ
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึกตักไปหากู้เจียว แล้วชี้ฮ่องเต้ที่อยู่นอกประตู “เจียวเจียว! มีคนมาหา!”
กู้เจียวมองฮ่องเต้ไปตามมือที่ชี้อยู่
ฮ่องเต้สวมหมวกสาน ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่านางจะจำได้ ทว่าสิ่งที่แผนการตามเปลี่ยนแปลงตามไม่ทันก็คือ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่หิ้วกรงนกอยู่ไม่ทันระวังเกิดเท้าพลิกขึ้นมา แล้วเขายื่นมือออกไปคว้าหมวกสานของพระองค์ร่วงลง!
ใบหน้าของพระองค์เผยออกสู่ด้านนอกทันที!
ฮ่องเต้ผลักเหอกงกงเข้าพุ่มไม้ได้หวุดหวิดทันเวลา!
เหอกงกงที่โดนลูกหลงโดยไม่มีเค้ามาก่อนมีสีหน้ามึนงง “…”
เสี่ยวจิ้งคงร้องเอ๋ขึ้น “ลุงฉู่! ท่านนี่เอง!” เขาเอ่ยกับกู้เจียว “เจียวเจียว! เขาคือท่านลุงสุดหล่อเมื่อวานนี้! เป็นพ่อของเพื่อนร่วมชั้นข้า!”
กู้เจียวไม่เห็นเหอกงกง มีเพียงหมวกสานที่ร่วงลงพื้น ยามนี้นางไม่ได้คิดไปถึงคนไข้พิเศษที่นางเคยรักษาให้ที่เมืองนั่นเลย
กู้เจียว อ๋อ ที่แท้นายท่านขุนนางคนเมื่อวานก็เป็นพ่อของเจ้าอ้วนน้อยนี่เอง
ฮ่องเต้ยิ้มแหย
ใกล้จะร้องไห้ออกมารอมร่อแล้ว…
กู้เจียวถามว่า “เจ้ามาให้ข้าตรวจรึ”
“…ใช่กระมัง” ฮ่องเต้กัดฟันขานรับ
กู้เจียวเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง “เจ้าเล่นอยู่ในเรือนสักเดี๋ยวนะ”
“ทราบแล้วเจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กดีที่รู้ความ รู้ว่าเจียวเจียวต้องทำงาน จึงกระโดดโหยงเหยงเล่นอยู่คนเดียว
กู้เจียวพาฮ่องเต้เข้ามาในห้อง แล้วรินชาให้พระองค์หนึ่งถ้วย
ฮ่องเต้มองถ้วยลายครามตรงหน้า ระดับจิตใจของหมอเทวดาน้อยงดงามไม่ธรรมดา
“เจ้าอยากจะรู้ในด้านไหนอีกหรือ” กู้เจียวถาม
แม้ว่าเมื่อวานกู้ฉังชิงจะบอกว่าเขารับมือการตรวจสอบเอง แต่ก็ยากที่ทางการจะรวบรวมหลักฐานจากหลายทางได้
ฮ่องเต้มีคำถามจะถามนางจริง ในเมื่อนางเอ่ยขึ้นแล้ว พระองค์จึงเข้าประเด็น “ข้ามาเพื่อถามเรื่องเครื่องสูบลม ข้าได้ยินมาว่า ความจริงแล้วเจ้าเป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลม น้องสาวเจ้าแอบอ้างคุณูปการของเจ้าไป”
“ไม่ใช่” กู้เจียวเอ่ย
ฮ่องเต้ชะงัก
กู้เจียวเอ่ย “นางไม่ใช่น้องสาวข้า”
นางไม่ยอมรับ
ฮ่องเต้ยิ้มแหย ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องนี้ พระองค์ตกใจหมดเลย นึกว่านางไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลมเสียอีก
กู้เจียวเอ่ยต่อ “แล้วก็เรื่องเครื่องสูบลมนั้นข้าไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์จริงๆ”
“…” ฮ่องเต้เพิ่งจะดื่มชาไปคำหนึ่ง ได้ยินประโยคนี้เข้าก็สำลัก “หรือจะเป็นกู้จิ่นอวี๋จริงๆ”
“ไม่ใช่นางเช่นกัน” กู้เจียวบอก “ข้าเรียนรู้จากคนอื่นมาอีกที”
ฮ่องเต้ใจกระตุก “คนอื่นรึ คนแคว้นเหลียงรึ”
ในบรรดาทั้งหกแคว้นนี้ มีเพียงฝีมือการประดิษฐ์ของแคว้นเหลียงที่พัฒนาที่สุด
“ไม่ใช่ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้” กู้เจียวบอก
คำว่าไม่ได้อยู่บนโลกนี้ของกู้เจียว ฮ่องเต้เข้าใจไปเองว่านางพูดตกไปคำหนึ่ง ประโยคที่สมบูรณ์น่าจะเป็นไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ความคิดของฮ่องเต้มีมากกว่าอันติ้งโหวชั้นหนึ่ง พระองค์เคยเห็นฝีมือการแพทย์ของกู้เจียวมาแล้ว กู้เจียวไม่ใช่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆ แน่นอน และแน่นอนว่าฮ่องเต้ก็ไม่มีทางเดาได้ว่ากู้เจียวเป็นดวงวิญญาณที่มาจากโลกอื่นด้วย
พระองค์คิดว่ากู้เจียวคงเจอกับปรมาจารย์ลึกลับคนไหนเข้า แล้วถูกปรมาจารย์รับไว้เป็นศิษย์
เพียงแต่ยามนี้ปรมาจารย์ท่านนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว
หากฮ่องเต้คิดเช่นนี้ก็ไม่เลว กู้เจียวจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงอธิบาย
ฮ่องเต้พลันหัวเราะขึ้น “เจ้านี่นะ ไม่ละโมบเอาคุณูปการเลยสักนิด”
กู้เจียวไม่สนใจคุณูปการอะไรพวกนี้เลย ความตั้งใจเดิมของนางก็แค่อยากให้เครื่องมือเหล็กทางการเกษตรของนางสร้างเสร็จเร็วๆ ก็เท่านั้น
“ยังมีอย่างอื่นที่อยากตรวจสอบหรือไม่” นางถาม
ฮ่องเต้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนสูดหายใจลึก แล้วยิ้มตอบว่า “ไม่มีแล้ว”
พระองค์ลุกขึ้นจะออกไป
กู้เจียวเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ไม่ตรวจอาการแล้วหรือ”
ฮ่องเต้หันกลับมา “หา”
กู้เจียวชี้ไปที่กล่องยาใบน้อยของตัวเอง “เอาแต่จ้องกล่องยาข้า หรือว่าไม่ได้จะมาตรวจโรคหรือ”
อันที่จริงฮ่องเต้เพียงมองสองหนเท่านั้น ตอนเดินเข้ามาหนหนึ่ง ตอนจะไปอีกหน หากเป็นเด็กสาวคนอื่นคงไม่ทันสังเกต แล้วจะไม่ให้บอกว่านางเก่งได้อย่างไร
ฮ่องเต้กระแอม “อะแฮ่ม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่เมื่อคืนเตะผ้าห่ม เจอลมหนาวเข้า ปวดหัวตัวระ…”
กู้เจียว “ถอดกางเกง”
ฮ่องเต้ “หา!”
ช้าก่อน เหมือนว่าจะมีตรงไหนผิดแปลกไปนะ
เมื่อครู่นี้กู้เจียวเปิดกล่องยาใบน้อยของนางแล้วพบว่าด้านในมีกระดาษทดสอบกล่องหนึ่งเพิ่มมา ผู้บาดเจ็บในโรงหมอไม่ต้องใช้สิ่งนี้
ภายนอกร่างกายมองไม่เห็นอาการใด เหมือนคนปกติทุกอย่าง
ทว่าสังเกตมาระยะหนึ่งแล้ว นางค่อยๆ เดากฎของกล่องยาใบน้อยได้แล้ว ในกล่องยาไม่มีทางปรากฏสิ่งของที่นางไม่ต้องใช้ นอกจากจะเป็นพวกอุปกรณ์วางแผนครอบครัวอะไรพวกนั้น
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เดียว นั่นคือคนผู้นี้เป็นผู้ป่วยที่หายดีแล้ว
เพื่อยืนยันการวิเคราะห์ของตัวเองไปอีกขั้น กู้เจียวจึงเก็บเลือดเขามา แล้วหยดลงกระดาษทดสอบ
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
พอฮ่องเต้เห็นว่ามีละครสนุก พระองค์ฟื้นตัวได้ไม่เลว ก็เลิกคิ้วขึ้น รัดเข็มขัดพลางตรัสอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นโรคนี้…”
กู้เจียวดึงถุงมือทิ้ง “อีกสามเดือนมาตรวจอีกที”
ฮ่องเต้ “รับทราบ!”
ฮ่องเต้กลับวังไปด้วยอารมณ์เบิกบาน
พระองค์ก็อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าเพราะเหตุใด คล้ายว่าทุกครั้งที่ไปเรือนเล็กๆ อันเงียบสงบของโรงหมอหลังนั้น จะสบายอกสบายใจทุกที เหมือนว่าต่อให้ความยุ่งยากใจมากมายกว่านี้ ขอแค่ออกมาจากเรือนหลังเล็กนั่นก็จะหายวับไปไม่เห็นเงาทั้งหมดเลย
ระหว่างทางกลับวัง พระองค์คิดมากมาย อีกเดี๋ยวเรื่องหมอเทวดาน้อย อีกเดี๋ยวเรื่องฉินฉู่อวี้
ตอนแรกที่ส่งฉินฉู่อวี้ไปที่กั๋วจื่อเจียนเป็นเพราะพบว่าเขาใกล้จะถูกฮองเฮากับคนในวังตามใจจนเสียคนแล้ว พระองค์มีโอรสหกคน แล้วก็แต่งตั้งรัชทายาทแล้วด้วย ฉินฉู่อวี้จะเก่งโดดเด่นหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเรื่องเรียนก็ปล่อยไปตามชะตากรรม ที่สำคัญคืออยากจะแก้นิสัยเขา
ทว่านึกไม่ถึงว่าฉินฉู่อวี้จะอยู่ห้องเดียวกันกับน้องชายหมอเทวดาน้อย
พอมานึกดูดีๆ แล้ว อันที่จริงพักหลังๆ มานี้ฉินฉู่อวี้เปลี่ยนไปจริงๆ
เขาร้องไห้น้อยลง เรื่องอันธพาลเบ่งอำนาจก็ไม่มากแล้วเช่นกัน
เมื่อวานพระองค์เปิดการบ้านเขาดูผ่านๆ ตอนนั้นทรงมีเรื่องในใจมากมายจึงไม่ได้สนใจมากนัก ยามนี้มานึกย้อนดูดีๆ ดูเหมือนว่าลายมือเขาก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน
พระองค์เริ่มปล่อยความคิดไปไกล