บทที่ 260 ความสัมพันธ์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
บทที่ 260 ความสัมพันธ์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมอยากจะกลับไปหาผู้หญิงสกปรกอย่างคุณด้วย?”
ดวงตาของอวิ๋นเหมี่ยวเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาใส เธอทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับระบายความเศร้าและความกังวลในใจออกมา “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณจะมองฉันแบบนั้น”
“หลายปีมานี้ ฉันคิดมาตลอดว่าขอแค่มีสักวันที่ฉันสามารถกลับไปอยู่ข้าง ๆ คุณได้ อาเฉิน คุณอย่าพูดอะไรแบบนี้เพื่อมาทำร้ายจิตใจฉันได้ไหม?”
ลู่เฉินแค่นหัวเราะ แต่ก็หยุดลงเมื่อเขาเห็นบาดแผลบนร่างกายของอวิ๋นเหมี่ยว
“เขาทำร้ายคุณเหรอ?”
อวิ๋นเหมี่ยวก้มหน้าลงและพบว่าแขนเสื้อของตัวเองถลกมาที่ข้อมือ ทำให้เห็นรอยแผลช้ำ
เธอซ่อนบาดแผลด้วยความตื่นตระหนก “ไม่… ไม่ใช่”
หลังจากนั้นเธอก็เงียบไป
ซูโย่วอี๋กำผ้านวมแน่นโดยไม่ทันรู้ตัว เธอรู้สึกได้เลยว่าตอนที่ลู่เฉินอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเหมี่ยว เขาดูจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้เล็กน้อย
คำพูดร้าย ๆ พวกนั้นไม่ควรหลุดออกมาจากปากของลู่เฉินได้
ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะคาดเดาเอาเอง ลู่เฉินยังลืมอวิ๋นเหมี่ยวไม่ได้หรือเปล่า…
“ลุกขึ้น”
ลู่เฉินพูดขึ้นเบา ๆ
ครั้งนี้อวิ๋นเหมี่ยวไม่ได้ปฏิเสธ เธอรีบลุกขึ้นราวกับจะหนีให้ห่างจากลู่เฉิน
เธอเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ “อาเฉิน คำพูดเมื่อกี้นี้… ถือซะว่าฉันไม่เคยพูดไปแล้วกันนะ ฉันแค่คิดถึงคุณมากเกินไปก็เท่านั้น”
“วันนี้ที่ฉันมาบริษัทของคุณก็เพราะได้รับคำเชิญจากรายการดาราบันเทิง พอฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่เลยอยากมาหาคุณ ทั้งที่คุณมีแฟนอยู่แล้วแท้ ๆ แต่ฉันกลับยังไม่ยอมปล่อยมือเสียที”
มือทั้งสองข้างของอวิ๋นเหมี่ยวประสานกันไว้ที่หน้าอกและถูกันไปมาจนมันเป็นสีขาว “ต่อไปฉันจะไม่มารบกวนชีวิตของคุณอีก ขอให้คุณกับโย่วอี๋รักกันนาน ๆ นะคะ”
พูดจบเธอก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของลู่เฉินเลยและพุ่งตัวออกไปข้างนอกอย่างหมดหวังทันที
แต่ทว่าในใจกลับเฝ้าภาวนา ให้เขารั้งเธอไว้ เพียงแต่ว่าเธอก็ต้องผิดหวังอีกแล้ว
ด้านหลังของเธอไม่มีเสียงของการขยับตัวดังขึ้น จนกระทั่งประตูห้องทำงานปิดลง
ลู่เฉินเหม่อลอยมองไปยังประตูด้วยสีหน้าคาดเดายาก
ทันใดนั้นซูโย่วอี๋ก็เดินออกมาจากห้องพัก เธอเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ทั้งหมด และเธอก็เห็นสีหน้าของลู่เฉินที่ยังมีความอาลัยอาวรณ์ต่อผู้หญิงที่เพิ่งเดินออกไปจากห้อง
เธอรู้สึกเหมือนโดนแทงที่หัวใจ มันเจ็บปวดเหลือเกิน
ราวกับมีม่านหมอกมาบังสายตา เธอไม่แม้แต่จะมองผู้ชายที่ยืนอยู่กลางห้อง เธอแค่อยากรีบออกไปจากที่นี่
ลู่เฉินหันหน้าไปเห็นร่างของซูโย่วอี๋ก็ตกตะลึง ประธานลู่ผู้สุขุมและเยือกเย็นอยู่เสมอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
“โย่วอี๋”
น้ำเสียงของเขาดูตกตะลึง
ซูโย่วอี๋ทำเหมือนไม่ได้ยิน
แต่ทว่าลู่เฉินไม่สนใจ เขารีบก้าวเข้าไปดึงเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว “คุณโกรธเหรอ?”
ซูโย่วอี๋ถูกทำร้ายหัวใจ เธอทั้งโกรธและเจ็บปวด “การที่ประธานลู่นัดพบแฟนเก่าที่ห้องทำงาน ก็ควรจะให้เลขาเก็บเป็นความลับสิ จะมาแสดงความประทับใจของทั้งสองฝ่ายต่อหน้าฉันทำไมคะ?”
ดวงตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา คำว่าแฟนเก่านี้มันย้ำเตือนเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจ
พอเห็นน้ำตาของซูโย่วอี๋ ลู่เฉินก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ตอนที่เห็นอวิ๋นเหมี่ยวร้องไห้ เขากลับไม่รู้สึกอะไรสักนิด แต่พอซูโย่วอี๋ร้องไห้ เขากลับรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเองทำผิดร้ายแรงมากจริง ๆ
“อย่าพูดอะไรไร้สาระ ที่คุณได้ยิน ถ้าเป็นการนัดพบกันจริง ๆ ทำไมผมถึงต้องทำมันต่อหน้าคุณด้วยล่ะ? ในสายตาของคุณ ผมดูโง่มากเลยเหรอ?”
ซูโย่วอี๋ตอบกลับด้วยความโกรธ “แน่นอนว่าคุณไม่โง่ คนที่โง่คือฉันเอง”
เขาปิดบังเรื่องนี้กับเธอมาโดยตลอด มีครั้งหนึ่งเธอเคยโทรหาลู่เฉินยามดึกเพื่อบอกกับเขาว่าไม่ว่าจะเรื่องอะไรเธอก็หวังว่าเขาจะไม่ปิดบังเธอ
ตอนนั้นลู่เฉินเองก็รับปากแล้ว แต่ในความเป็นจริง เขากลับไม่เคยบอกอะไรกับเธอเลย
“โย่วอี๋ คุณอย่าโกรธผมได้ไหม?”
“คุณคิดจริง ๆ เหรอว่าฉันกำลังโกรธ?”
“ลู่เฉิน คุณยังมีความรู้สึกต่ออวิ๋นเหมี่ยวอยู่หรือเปล่า? คนเย่อหยิ่งอย่างคุณ ถ้าไม่อยากเจอใครจริง ๆ อวิ๋นเหมี่ยวจะมาร้องไห้อยู่ต่อหน้าคุณได้นานขนาดนี้เลยเหรอ?”
“คุณเห็นแผลบนร่างกายของเธอแล้วไม่ใจอ่อนบ้างเลยเหรอ?”
ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไร แต่ซูโย่วอี๋รู้สึกเหมือนว่าเวลาช่างยาวนานราวหมื่นปี
เธอยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง “ความสัมพันธ์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ ฉันไม่ต้องการ”
ตลกสิ้นดี
ซูโย่วอี๋วิ่งออกไป ส่วนลู่เฉินที่กำลังยื่นมือออกไปกลับหยุดชะงักกลางอากาศ
ที่เขาลังเลไม่ใช่เพราะเขายังรักอวิ๋นเหมี่ยว แต่เพราะเขาเองก็รู้แล้วว่าตอนที่ตัวเองอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเหมี่ยว ท่าทางของเขาผิดปกติไปจากเดิม
เขามักบอกกับตัวเองว่าลืมเรื่องราวทุกอย่างไปแล้ว แต่ตลอดเส้นทางชีวิตของเขา กลับไม่สามารถลบผู้หญิงอัปยศออกไปได้
ในความเป็นจริง ลู่เฉินไม่เคยปล่อยวางได้เลย
ดังนั้นเขาจึงดูออกถึงจุดประสงค์ของของอวิ๋นเหมี่ยวในทันที แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร เขาเยาะเย้ยเธอและยังดูแคลนความสุขของเธออีก
โดยไม่เคยคิดเลยว่าความไม่ชัดเจนแบบนี้มันจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อซูโย่วอี๋
เขาไม่เคยคิดทบทวนมาก่อนเลยว่าผู้หญิงที่เคยเจ็บปวดจากความรักมาก่อนนั้นจะอ่อนไหวมากแค่ไหน
ลู่เฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมและยกมือขึ้นตบตัวเอง
ทำไมถึงโง่อย่างนี้
เสียงตบดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องอันว่างเปล่า
หลังจากนั้นขาอันเรียวยาวก็ไล่ตามซูโย่วอี๋ออกไป
อีกด้านหนึ่ง เลขาล้างหน้าล้างตาเพื่อทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้น แต่ก็เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งพึ่งออกมาจากห้องทำงานของลู่เฉินพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ
ชายหนุ่มยืนตัวตรงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณผู้หญิง คุณเป็นใครครับ?”
ไม่เห็นเลยว่าเข้าไปตอนไหน!
หรือว่าตอนที่เขาไปเข้าห้องน้ำ ก็มีคนอื่นใช้โอกาสนี้บุกเข้าไป?
แล้วประธานลู่รู้หรือยัง?
เลขาอยากจะเข้าไปตรวจสอบดูในห้องทำงานว่ามีสิ่งของหายไปหรือไม่ แต่เมื่อกำลังจะเปิดประตูก็ได้ยินเสียงของลู่เฉินอยู่ด้านในจึงสบายใจขึ้นมา
คิดไปคิดมาไม่นานนัก ซูโย่วอี๋เองก็วิ่งออกมา
ดวงตาของเธอแดงอีกคนแล้ว
ต่อให้เลขาจะเป็นผู้ชาย ก็อดที่จะซุบซิบไม่ได้
เขาทำงานในเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์มาตั้งหลายปี พึ่งเคยเห็นเรื่องแบบนี้ของประธานลู่ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
เพียงแต่ว่าในวินาทีต่อมา เลขาก็ยิ้มไม่ออก เขาลุกขึ้นยืนด้วยอาการตัวสั่น “ประธานลู่ ใคร… ตบคุณ?”
บนใบหน้าของเขามีรอยประทับฝ่ามืออย่างเห็นได้ชัด ลายนิ้วมือทั้งห้านั้นแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
พระเจ้า
ใครกัน?
ผู้หญิงคนก่อนหน้านี้หรือคุณซู?
ที่กล้าตบลู่เฉิน
กล้าเกินไปแล้ว
แต่ทว่าลู่เฉินไม่ได้มองเขาเลยสักนิด สายตามองเห็นว่าลิฟต์ลงไปชั้นล่างเรื่อย ๆ เขาก็วิ่งไปยังทางหนีไฟทันที
ซูโย่วอี๋รู้ดีว่าเธอเป็นคนมีชื่อเสียง ภายใต้อารมณ์ที่แตกสลายนี้ เธอยังคงสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกไปที่ประตูบริษัทและหายเข้าไปในหมู่ผู้คน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ลู่เฉินโทรมา
เธอตัดสาย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นครั้ง
เธอกดตัดสายอีก
แต่เสียงส่งข้อความยังดังขึ้นมาไม่หยุด ซูโย่วอี๋ไม่แม้แต่จะดูเลยสักข้อความเดียว
เธอไม่ต้องการคำอธิบายของลู่เฉินเลยด้วยซ้ำ เธอมีตา มีหัวใจที่สามารถดูแลได้ด้วยตัวเอง
ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องทำงาน จึงมีคนเดินอยู่บนถนนไม่มากนัก
แต่ละคนเป็นเหมือนแค่ภาพพื้นหลัง ที่เดินผ่านร่างของซูโย่วอี๋ไป
แต่สิ่งที่ซูโย่วอี๋มองเห็นนั้น มีเพียงภาพของพื้นที่อยู่ตรงหน้าเพียงแค่หนึ่งเมตรเท่านั้น
เธอเดินมานานมาก เดินไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกเจ็บที่เท้า
ซูโย่วอี๋พบว่าตัวเองเดินมาจนถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ในนั้นมีคนไม่มาก เธอหาเก้าอี้และนั่งลง
เธอมองดูกิ่งไม้ด้วยความเหม่อลอย ในหัวล้วนมีแต่ใบหน้าของลู่เฉิน
เธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอมากขนาดนี้
เขามีอิทธิพลถึงขั้นที่เธอไม่สามารถยอมรับความลังเลแม้แต่น้อยนิดของเขาได้
ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง
ซูโย่วอี๋ยังคงนั่งอยู่ในสวนสาธารณะ เธอไม่รู้ว่าควรไปที่ไหน
จะกลับบ้าน เธอก็ไม่มีบ้านให้กลับ เพราะบ้านหลังนั้นเป็นของลู่เฉินที่ให้เธอมา แม้แต่ที่ ๆ หยินหยินอยู่ก็ใช่
น่าตลกสิ้นดี
ซูโย่วอี๋กลัวความมืด จึงเดินไปยังที่ ๆ มีคนอยู่เยอะ ๆ พอดีกับที่ใกล้ ๆ นั้นมีศูนย์การค้าสุดหรูตั้งอยู่
ที่นั่นดูดีมาก ซูโย่วอี๋นึกขึ้นมาได้ว่าคนที่ไม่มีบัตรประชาชนติดตัวมาแบบเธออยากจะพักอยู่ที่นี่สักคืน
ศูนย์การค้านี้ไม่สูงมาก มีสี่ชั้น แต่การตกแต่งของทุก ๆ ชั้นนั้นหรูหรามาก ถ้าเป็นซูโย่วอี๋เมื่อก่อนคงไม่มีทางได้เหยียบเข้ามาที่นี่แน่ ๆ
เพียงแต่ว่าครั้งนี้พอเธอก้าวเข้าไปก็ต้องหยุดฝีเท้าลง
สาเหตุก็เป็นเพราะว่ามีรูปภาพพรีเซ็นเตอร์ของดาราคนดังขนาดใหญ่แขวนอยู่ในห้องโถงของห้างสรรพสินค้า สูงถึงสามชั้นเต็ม ๆ
ไม่ว่าจะจากมุมไหนก็สามารถมองเห็นคนในรูปภาพได้อย่างชัดเจน แม้แต่เส้นผมก็ยังชัดเจนมาก ๆ
นั่นก็คือภาพโปรโมตของเฮอรัลที่มีซูโย่วอี๋เป็นพรีเซ็นเตอร์
ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายราวกับดวงดาว ผิวขาวกระจ่างใส ดูเยือกเย็นและสง่างาม
พอดีกับที่ห้างสรรพสินค้าเปิดเพลงมิตรภาพสูงสุดที่ซูโย่วอี๋เป็นคนร้อง เพลงที่ไพเราะและอบอุ่นยังคงก้องอยู่ในหู ซูโย่วอี๋เหม่อมองภาพนั้น
จนกระทั่งถูกคนด้านหลังพูดขึ้น “คุณจะเดินไหม? ถ้าไม่เดินก็อย่าขวางทางสิ”
ซูโย่วอี๋รีบขยับตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว คนที่เดินเข้ามามีแต่แบรนด์เนมทั่วทั้งตัว ถือกระเป๋า Hermès คล้องอยู่บนข้อมือ
เมื่อเดินผ่านซูโย่วอี๋ไปเขาก็มองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับว่ากำลังดูถูกราคาเสื้อผ้าของเธอที่ไม่น่าดู
“อี๋” เธอพูดขึ้นมาแล้วก็เดินจากไป
อะไรกัน อารมณ์ของซูโย่วอี๋ดีขึ้นมามาก เธอเดินดูของจากชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นสอง โดยไม่ได้เข้าไปในร้านไหน เอาแต่ยืนมองอยู่จากนอกร้าน
พนักงานขายในร้านค้าหรูหรามีสายตาที่แหลมคมมาโดยตลอด พวกเธอสามารถดูคนออกว่ามีเงินหรือไม่มีเงินได้ในแวบเดียว
แม้ว่าพนักงานขายจะคิดว่าเธอดูโดดเด่น แต่ก็เป็นเพราะหน้าตาที่ดีด้วย เธอเหมือนคนประเภทที่รักความหรูหราแต่ไม่มีเงินที่จะจ่ายได้
ทุกคนจึงไม่มีทางเชื้อเชิญให้ซูโย่วอี๋เข้ามาดูสินค้าภายในร้าน
ดีที่เดิมทีซูโย่วอี๋ก็ไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไรอยู่แล้ว เพียงแค่มาฆ่าเวลาเท่านั้น แต่ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นมาตรงหน้า
คนต่อแถวกันยาวมากจนออกมานอกร้าน
ซูโย่วอี๋รู้สึกสงสัย เดิมทีลูกค้าในห้างหรูก็มีไม่มาก แต่เสียงดังวุ่นวายมาจากร้านไหนกันนะ อย่างกับในตลาดสด
เธอค่อย ๆ เดินไปดู จึงเพิ่งรู้ว่าร้านที่คึกคักที่สุดคือร้านออฟไลน์ของแบรนด์เฮอรัลในปักกิ่ง
เธอรู้สึกสนใจขึ้นมา จึงนั่งลงบนที่นั่งด้านนอกประตู มองดูเหล่าหญิงสาวที่สดใสและมีเสน่ห์เลือกน้ำหอมที่ตัวเองชื่นชอบ
จนพนักงานแนะนำสินค้าดูยุ่งจนตัวเป็นระวิง
มีคนรูดบัตรซื้อของและจากไปเข้ามาไม่หยุด และก็ยังมีคนที่รออยู่ด้านนอกอีกมาก
“นี่ คุณเองก็มาซื้อน้ำหอมด้วยเหรอ”
เสียงแหลม ๆ ของหญิงสาวดังขึ้น ถ้าไม่ใช่คนที่พึ่งพบกันที่หน้าประตูเมื่อครู่นี้จะเป็นใครไปได้?
ทั้งสองสบตากัน เพื่อดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับตัวเองอยู่ ซูโย่วอี๋จึงตอบกลับไปแค่เพียงคำว่า “อืม”
“คนเราอ่ะนะ อย่าซื้อของที่เกินกำลังตัวเองเลย ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกคุณนะ แค่ดูการแต่งตัวก็รู้ถึงสภาพชีวิตของคุณแล้ว ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าแต่งตัวแล้วแหละ”
ซูโย่วอี๋ขี้เกียจโต้เถียงกับเธอ “ฉันแค่ชอบพรีเซ็นเตอร์”
ผู้หญิงคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฉันเองก็ชอบโย่วโย่วถึงได้มาซื้อน้ำหอมแบรนด์นี้”
เดิมที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ห่างจากซูโย่วอี๋ออกไปอีกไม่กี่คน ได้ยินเช่นนั้นเธอก็เดินเข้ามา “คุณชอบโย่วโย่ว งั้นพวกเราก็อยู่ทีมเดียวกันแล้ว”
“ถึงฉันจะดีใจที่คุณยินยอมซื้อของพวกนี้เพราะพรีเซ็นเตอร์อย่างโย่วโย่ว แต่ขอแนะนำว่าคุณอย่าซื้อเลยจะดีกว่านะ ไปหาเงินดีกว่า”
“คุณอายุยังน้อย”
ซูโย่วอี๋มองไปยังผู้หญิงคนนั้น “ฉันน่าจะโตกว่าคุณนะ”
ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นดูเห็นอกเห็นใจ “คุณอายุมากกว่าฉัน แต่คุณไม่มีเงิน แต่ก็ไม่เป็นไรนะ ฉันเชื่อว่าทีมของพวกเราจะกลายเป็นคนรวยได้”
เธอกำหมัดแน่นราวกับกำลังทำท่าปฏิญาณแสดงความมุ่งมั่น
มุมปากที่ซ้อนอยู่ใต้หน้ากากอนามัยของซูโย่วอี๋ยกขึ้น
“หวังว่าจะเป็นอย่างงั้นนะ”
หญิงสาวคุยกันโดยไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็มีผู้หญิงอีกสองคนพุ่งตัวเข้ามาแทรกแถว
แต่ผู้หญิงคนนั้นดึงซูโย่วอี๋ขึ้นมาจากเก้าอี้ “นี่ ฉันกับเพื่อน ๆ มาก่อนนะ พวกคุณไปยืนข้างหลังสิ”