บทที่ 281 สับสนอลหม่าน

ฮวาเซียงเซียงรินเหล้าให้เขาจนเต็ม ก่อนจะชนแก้วแล้วจึงดื่มรวดเดียวจนหมด “อืม! เหล้านี้รสชาติดี ถ้าเอาไปขายที่เจียงหนานรับรองต้องขายดีเป็นแน่”

“จี้จือฮวนหมักเอาไว้ไม่มาก เจ้าดื่มน้อย ๆ หน่อย อย่าดื่มหมดเดี๋ยวนางจะมาโวยวายเอา”

ฮวาเซียงเซียงเหลือบมองเขา “เจ้ากลัวฮวนฮวนเพียงนี้เชียวหรือ?”

นางยังจำท่าทางของลูกผู้ดีมีเงินของเจ้าเด็กนี่ตอนพบกันครั้งแรกได้อยู่เลย ท่าทีที่ไม่เห็นเค่ออวิ๋นไหลอยู่ในสายตาเช่นนั้น

“ข้าไม่ได้กลัว ข้าเคารพนางต่างหากเล่า!” เซียวเย่เจ๋อยังคงเฉไฉ แต่ก็กลัวว่านางจะคาดคั้นเขาต่อ จึงรีบคีบตีนไก่ให้นาง “พูดเรื่องโจรสลัดดีกว่า”

“เหตุใดเจ้าถึงสนใจเรื่องนี้นัก?” ฮวาเซียงเซียงแทะตีนไก่ไปหนึ่งคำ ทว่าอร่อยจนนางต้องฉีกยิ้มออกมา

“ชายชาตรีคนใดบ้างจะไม่อยากสร้างผลงานใหญ่ ต่อไปราชสำนักจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ได้ยินมาว่าองค์ชายรองสั่งให้กรมโยธาดูแลการสร้างเรือรบ ก็เพราะมุ่งเป้าไปที่การปราบโจรสลัดในทะเลตะวันออก ถ้าเขาสร้างเรือรบของกองทัพเรือได้จริง เช่นนั้นตำแหน่งองค์รัชทายาทของตำหนักบูรพาก็คงถูกกำหนดตามนี้แล้ว”

ฮวาเซียงเซียงรู้สึกว่าน่าขัน “เรือรบ? กรมโยธาของราชสำนักมาที่อู่เรือเจียงหนานของเราเพื่อสร้างเรือรบทุกปี สุดท้ายใครบ้างที่เชื่อถือได้ ทุกครั้งเมื่อล้มเหลวก็จะเอาเจ้าหน้าที่ของเจียงหนานมารับผิดแทน ส่วนตัวเองก็รอดตัวไปอย่างใสสะอาด องค์ชายรองไม่เข้าใจแม้กระทั่งภูมิประเทศแถบชายฝั่งของเจียงหนาน เขาจะสร้างเรือประเภทใด สู้กับโจรสลัดอะไรกัน”

ฮวาเซียงเซียงเรียงถั่วลิสงเป็นแถว “พอจะปราบโจรสลัดก็ต้องพึ่งกลุ่มกองเรือของเราให้เป็นผู้นำทางอยู่ดี

ที่ใดในทะเลตะวันออกมีฉลาม ที่ใดมีแนวปะการังอยู่ก้นทะเล บริเวณใดมีกระแสน้ำวน พี่น้องกลุ่มกองเรือของเรารู้ดีกว่าใคร

อย่ามองว่าโจรสลัดบุกมากันทุกปี แต่พวกเขาก็มีกฎเหมือนกัน เกาะที่พวกเขาจะเลือกทำที่มั่นสองด้านจะต้องไม่มีน้ำ จัดวางกำลังป้องกันแน่นหนา และจะใช้การป้องกันแบบเชิงรุก”

เซียวเย่เจ๋อฟังอย่างเพลิดเพลิน ฮวาเซียงเซียงวิเคราะห์ให้เขาฟัง และพูดถึงเรื่องการใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่มีหมอก ใช้เรือปลอมเพื่อทำให้ศัตรูสับสน การขึ้นฝั่งเป็นสองชุด การดึงดูดฉลาม ตอนโยนโจรสลัดลงไปในน้ำที่ราวกับโยนเกี๊ยวลงหม้อก็มิปาน ทั้งสองคนตบเข่าสนุกสนานและหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จนเกือบจะปลุกคนในบ้านให้ตื่นขึ้นมาอยู่แล้ว

ต่างคนต่างปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้ ทว่าดวงตายังคงแฝงรอยยิ้มไม่คลาย

“เจ้าเบา ๆ หน่อยสิ”

“เจ้าก็เหมือนกัน!”

ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดลงบนฝ่ามือของกันและกัน แต่เซียวเย่เจ๋อกลับเป็นฝ่ายชักมือกลับมาก่อน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างประดักประเดิด “หากมีโอกาส ข้าก็อยากจะไปดูกองเรือของพวกเจ้า”

“ได้เลย ถึงเวลาข้าจะพาเจ้าเที่ยวเจียงหนานเอง ข้าเป็นเจ้าแม่ของที่นั่นเลยนะจะบอกให้”

นอกหน้าต่างแม้ฝนจะเม็ดใหญ่ราวกับเมล็ดถั่ว ทว่ากลับไม่สามารถปัดเป่าความอบอุ่นภายในบ้านได้

วันรุ่งขึ้น

จี้จือฮวนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเผยยวน มองดูท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความไม่สบายตัวบรรเทาลงไปไม่น้อย

นางลุกจากเตียงอย่างเกียจคร้าน ตั้งแต่ที่นางขยับตัวเผยยวนก็ตื่นแล้ว ก่อนจะกอดนางเอาไว้แน่น “ไม่นอนต่ออีกสักหน่อยหรือ?”

“สายแล้ว”

อีกอย่างพวกเขาทั้งสองไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน เกรงว่าเมื่อกลับไปต้องถูกเด็กทั้งสามคนซักไซ้เป็นแน่

เผยยวนรีบลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าที่เอาผิงไฟไว้ทั้งคืนมาส่งให้ ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงได้จูงมือกันลงจากภูเขา

“รออากาศเย็นอีกสักหน่อย ค่อยพาพวกอาฉือกับอาอินมาด้วย”

“อืม”

จี้จือฮวนแหวกพงหญ้าและเดินออกไป แต่เท้ากลับเหยียบลงบนเปลือกแข็ง ๆ

เมื่อคืนมีฝนตกหนักทำให้เมล็ดชาร่วงลงมาจำนวนมาก จี้จือฮวนจึงขอให้เผยยวนช่วยเก็บจนได้หนึ่งถุงใหญ่ จึงได้พากันกลับเข้าหมู่บ้าน

“เมล็ดชานี้ยังสามารถบีบเอาน้ำมันจากเมล็ดออกมาได้ ซึ่งล้วนแต่เป็นของดี สีสวย กลิ่นหอม และอุดมไปด้วยสารอาหาร เหมาะสำหรับไท่ซ่างหวงและท่านป้าอย่างยิ่ง”

เผยยวนไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แต่นางบอกว่าดี เช่นนั้นก็ต้องดีอย่างแน่นอน

“ข้าเห็นว่าบนภูเขาด้านหลังยังมีอีก พรุ่งนี้ตอนออกลาดตระเวนจะให้กองทัพทหารเกราะเหล็กนำกลับมามากหน่อย ทิ้งไว้บนภูเขาก็เสียเปล่า ทำอะไรที่พวกเราสามารถเก็บไว้กินเวลาเดินทัพให้มากหน่อย ถ้ามีน้ำมัน อาหารก็คงจะอร่อยขึ้น”

พูดถึงเรื่องนี้ เผยยวนมีเรื่องจะปรึกษานางจริง ๆ

“ในเมื่อราชสำนักได้มอบอำนาจคุมทั้งทางน้ำและทางบกให้เราแล้ว ข้าวางแผนที่จะส่งคนไปประจำการที่ตำบลฉาซู่ เช่นนั้นเวลาอาฉือไปเรียนก็จะได้วางใจด้วย”

“คิดเหมือนข้าไม่มีผิด เซี่ยเจินยังไม่กล้าทำอะไรพวกเราตอนนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ใช้โอกาสนี้ยื่นมือออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ กว่าเขาจะรู้ตัวก็คงไม่ง่ายที่จะดึงกลับมาแล้ว”

จี้จือฮวนคิดว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านก็จะทำการสกัดน้ำมันจากเมล็ดชา ดังนั้นเผยยวนจึงเรียกนายกองที่มีความสามารถสองสามคนมาหารือเกี่ยวกับการลาดตระเวน เปลี่ยนเวรยาม และตั้งจุดตรวจ

นางจึงเดินกลับมาที่ลานบ้านเพียงลำพัง เด็กทั้งสามคนเอามือเท้าคางและนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ในลานบ้าน เมื่อพวกเขาเห็นจี้จือฮวนก็วิ่งเข้าไปหานางโดยพร้อมเพรียง

“ท่านแม่!”

จี้จือฮวนรับพวกเขาเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง “มีอะไรหรือ?”

เผยจี้ฉือรับเมล็ดชาในมือของนางมาช่วยถือ “นี่เป็นผลที่อยู่บนภูเขาไม่ใช่หรือขอรับ?”

“อืม เมื่อคืนข้าขึ้นไปบนเขากับพ่อของพวกเจ้า แต่ฝนตกเลยกลับลงมาไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจ้านี่กลับมาด้วย หิวกันหรือยัง?”

“พวกเราทำกับข้าวเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ แค่รอท่านกลับมากินเท่านั้น!” อาอินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จี้จือฮวนจึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เก่งเพียงนี้เชียว”

“ใช่แล้วขอรับ พวกเราเก่งมากเลย” อาชิงเกาะขาของจี้จือฮวน “พี่หญิงทำเสี่ยวหลงเปาทอด ส่วนข้าช่วยรีดนมวัวด้วยนะขอรับ”

“และตอนนี้ท่านป้ายังทำไข่ตุ๋นเป็นด้วยนะขอรับ!”

“ท่านทวดยังชมว่าพวกเราทำได้ดีด้วยขอรับ”

จี้จือฮวนถูกพวกเขาลากไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นเหล้า เหมือนจะเป็นเหล้าที่นางหมักเอาไว้อีกด้วย

“กลิ่นอะไร?”

เด็กสามคนมองนางเป็นตาเดียว ก่อนจะแย่งกันพูด “หลานโง่ของหย่งหนิงกับท่านน้าเซียงเซียงดื่มเหล้ากันทั้งคืนเลยขอรับ”

“เช้ามาก็นอนสลบไสลไปเลย”

“ยังนอนอยู่ในห้องลุกไม่ขึ้นด้วยเจ้าค่ะ”

จี้จือฮวน “…”

ดูท่าสองคนนี้จะพัฒนาความสัมพันธ์ได้ไม่เลวเลย

นางเพิ่งชิมไข่ตุ๋นไปหนึ่งคำ จู่ ๆ อาอินก็เอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค “พวกท่านป้าบอกว่ากำลังจะมีเรื่องดี เกรงว่าที่บ้านจะมีงานมงคลเร็ว ๆ นี้”

จี้จือฮวนเกือบจะสำลักไข่ตุ๋นในทันใด

“พวกท่านป้าก็เห็นแล้วหรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ เพราะเมื่อคืนบ้านของท่านอาไป๋จิ่นพังลงมา ทำให้คนตกใจกันทั้งหมู่บ้าน แต่สุดท้ายทุกคนกลับพบว่าหลานของหย่งหนิงกับท่านน้าเซียงเซียงหายไป จึงมาตามหาพวกเขาที่บ้านก็เลยเห็นเข้าพอดีเจ้าค่ะ”

จี้จือฮวนถูจมูกเบา ๆ คิดว่าจะกินข้าวให้เสร็จก่อน ค่อยไปถามเจ้าซื่อบื้อทั้งสองคนนั่น ว่าสรุปเมื่อคืนพวกเขาทำอะไรไปกันแน่

แต่หลังจากกินข้าวเสร็จเมื่อไปดูในห้อง ก็พบว่าคนหนึ่งนอนฉีกแข้งฉีกขา อีกคนนอนกอดหมอนปากก็ยังตะโกนว่าชนอยู่เลย

เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางมีอะไรกันได้ เพียงแต่หนุ่มโสดสาวโสดในสมัยโบราณ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะปฏิเสธได้ง่าย ๆ

จี้จือฮวนจึงทำน้ำแกงแก้เมาค้างไปวางไว้ข้างเตียงพวกเขา ก่อนจะเข้าไปที่หมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ

บ้านของไป๋จิ่นพังลงมาจริง ๆ ทำให้สัตว์มีพิษไม่มีที่อยู่ไปด้วย จึงถูกขังอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่

ร่างกายของเยว่พั่วหลัวกับเขาล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล หากไม่ใช่เพราะมีคนในหมู่บ้านห้ามเอาไว้ คงได้สู้กันอีกยกเป็นแน่

“ทะเลาะอะไรกัน! เงินที่สร้างบ้าน ข้าจะหักจากค่าอาหารของพวกเจ้า”

ตอนนี้ทั้งสองคนถูกมองว่าเป็นอาจารย์ที่ตระกูลเผยจ้างมา แต่อยู่ดี ๆ ก็ทำบ้านในหมู่บ้านพังเสียแล้ว สอนได้ไม่กี่วันครอบครัวคงจะล่มจมหมดเป็นแน่!

ไป๋จิ่นที่เมื่อครู่ยังมีสภาพเหมือนไก่ชนอยู่เลย เมื่อได้ยินว่าจะถูกหักค่าอาหารก็โมโหขึ้นมา

“ไม่ได้ เป็นนางที่ต้องการจะสู้กับข้าให้ได้ หักของนางสิ!”

“จากนี้ไปหากพวกเจ้าสองคนทะเลาะกันหนึ่งครั้ง ก็จะถูกหักค่าอาหารหนึ่งมื้อ เลิกสู้กันได้เมื่อใดค่อยดูผลงานของพวกเจ้าอีกที” จี้จือฮวนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็เรียกพวกท่านป้าไปสกัดน้ำมันด้วยกัน

.

.

.