บทที่ 282 การแย่งชิงตำหนักบูรพา

หลังจากที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินจากไปชีวิตของคนในหมู่บ้านตระกูลเฉินก็เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรือง

แต่ระหว่างทางกลับของฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับไม่ราบรื่นนัก

เริ่มจากมีฝนตกหนัก ขบวนเสด็จจึงติดอยู่บนถนนลูกรังที่เต็มไปด้วยดินโคลน บวกกับที่เขานอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน แค่ฝันร้ายก็ดูดพลังงานของเขาไปมากแล้ว หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงได้ถวายโอสถที่ช่วยให้จิตใจสงบ แต่ดื่มยาขมกาแล้วกาเล่าอาการก็ไม่ได้ดีขึ้น

เพียงแค่หลับตาก็เห็นใบหน้าของเซี่ยอวี้ จนเขาแทบอยากจะสั่งให้รื้อตำหนักบูรพาทิ้งซะ

และข่าวที่เผยยวนกำจัดขุนศึกทั้งสี่ ก็ได้แพร่กระจายออกไปนานแล้ว

ทว่าต่างจากที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิด เพราะไม่มีใครตำหนิว่าเผยยวนเป็นกบฏ หรือขาดคุณธรรมขุนนางเลยสักคน แต่กลับกล่าวถึงความชั่วช้าของขุนศึกทั้งสี่และยกย่องเผยยวนที่ปกป้องประชาชนแทน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเดินทางไปก็ฟังเรื่องนี้ไปด้วย แล้วก็ได้ยินเรื่องไร้มโนธรรมที่สี่ขุนศึกทำลับหลังเขาทั้งหมด

สั่งประหารเก้าชั่วโคตรก็ยังไม่พอที่จะระงับความโกรธของคนเหล่านี้ได้

แต่สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลัวมากที่สุดก็คือ แม้กระทั่งเด็กข้างถนนก็ยังรู้ว่าขุนศึกทั้งสี่ตายแล้ว และไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอีก

คำพูดนี้ทำให้คนหวาดผวาจริง ๆ

“เจียงเต๋อ เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วใช่หรือไม่? พวกเขาไม่พอใจข้า เช่นนั้นพวกเขาพอใจผู้ใดกัน? เซี่ยอวี้งั้นหรือ?” ฮ่องเต้เซี่ยเจินเอ่ยถาม

เดิมทีฮ่องเต้เซี่ยเจินให้คนออกไปสืบสถานการณ์ แต่คนที่มารายงานไหนเลยจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

เขาจึงพาองครักษ์ไปสืบที่ตลาดด้วยตัวเอง

ตอนนี้กำลังจะเข้าเขตเมืองหลวงแล้ว แต่ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลยแม้แต่น้อย เขาตระหนักได้ว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มอยู่เหนือการควบคุมของเขาไปมากแล้ว

เรื่องเหล่านั้นที่ขุนศึกทั้งสี่ทำเอาไว้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ นอกจากเผยยวนแล้วใครกันจะทำได้

บอกว่าเขาไม่ได้คิดจะก่อกบฏ ใครจะเชื่อ?

ตอนนี้เขาจำต้องสะสางอำนาจที่เกี่ยวข้องกับสี่ขุนศึกเสียก่อน แต่การเปลี่ยนขั้วอำนาจในราชสำนักต้องเปลืองแรงเพียงใดกัน

“เรียกเหล่าองค์ชายมา”

ตำบลฉาซู่

“นี่ ได้ข่าวหรือยัง?”

“ได้ข่าวอะไร?”

“ฝ่าบาทจะแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว พวกเจ้าว่าผู้ใดจะได้เป็นองค์รัชทายาทคนต่อไปกัน”

“ผู้ใดก็สู้…ผู้ใดก็สู้ท่านผู้นั้นไม่ได้”

“เจ้าช่างกล้าจริง ๆ เรื่องเช่นนี้ก็กล้าพูดออกมา”

เผยจี้ฉือวางตำราในมือลง โหลวเฉิงเย่ที่อยู่ข้าง ๆ กลับทำตัวเหมือนแมลงวันไม่มีหัวอย่างไรอย่างนั้น ฟังทางนี้ครู่หนึ่ง ฟังทางนั้นอีกครู่หนึ่ง

“นี่ เจ้าเลือกตำราอะไรบ้าง ช่วยหยิบให้ข้าด้วยสิ”

เผยจี้ฉือเอ่ยเสียงเรียบ “หยิบให้แล้ว”

โหลวเฉิงเย่มองดูเล็กน้อย ในใจรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก “เจ้าไม่ได้มาสำนักศึกษาเกือบครึ่งเดือน พอกลับมาก็ได้รับคำชมจากท่านอาจารย์บอกว่าเจ้าเรียนรู้ได้ดี อายุน้อยที่สุดแต่ขยันหมั่นเพียรที่สุด หากข้าขยันเรียนได้สักครึ่งของเจ้าก็คงจะดี”

เผยจี้ฉือปรายตามองเขา “หากว่าเจ้าเอาความใส่ใจในการสืบข่าวชาวบ้านมาสนใจการเรียน ก็คงไม่แย่ถึงเพียงนี้หรอก”

โหลวเฉิงเย่เข้าใจนิสัยเย็นชาของเขามานานแล้ว จึงไม่ได้หงุดหงิดอะไร เพียงแค่เอ่ยอย่างมีความสุข “วันนี้เจ้าพาข้าไปกินข้าวที่ตำบลฉาซู่ได้หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าฝีมือของแม่เจ้าดีมากเลย”

วันนี้จี้จือฮวนเปิดร้านของหวานในตำบลฉาซู่อย่างเป็นทางการ อยู่ภายในร้านเครื่องดื่มเย็นก่อนหน้านี้ มีคนต่อแถวยาวเหยียดราวกับมังกรเลื้อย ใบปลิวส่วนลดต่าง ๆ ล้วนถูกแจกจ่ายแล้ว

เผยจี้ฉือครุ่นคิดสักพัก “อืม ได้”

โหลวเฉิงเย่โอบไหล่ของเขา จากนั้นก็พากันไปจ่ายค่าตำราก่อนจะข้ามธรณีประตูออกไป

“เหตุใดช่วงนี้เจ้าดูเหมือนนอนไม่เต็มอิ่มเลยเล่า?”

เผยจี้ฉือไม่สามารถพูดออกไปได้จริง ๆ เพราะตอนนี้ท่านสวีเองก็อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินด้วย ทุกวันเขาจะเดินหมากกับไท่ซ่างหวง พูดคุยกัน ตกเย็นก็รอเขากลับมา จึงถือเป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่งของเขา

ตอนกลางวันเขาต้องเข้าฟังการสอนและฝึกคัดลายมือ ตกกลางคืนกลับไปก็ยังต้องท่องจำเรื่องอื่น ๆ อีก ย่อมรับไม่ไหวเป็นธรรมดา แต่ว่าการเรียนของบรรดาองค์ชายในวังส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเช่นนี้ แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีอิสระมากกว่า

ตอนที่เดินผ่านโรงน้ำชา ก็ได้ยินคนด้านในพูดถึงเรื่องของตำหนักบูรพาขึ้นมา

“ข้าคิดว่าตอนนี้องค์ชายสามและองค์ชายห้ามีโอกาสมากที่สุด แม้จะยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง แต่ข้าคิดว่าก็คงจะใกล้แล้วล่ะ แค่รอดูว่าจะแต่งตั้งให้ไปอยู่ที่ใดก็เท่านั้น อำนาจทางทหารของขุนศึกทั้งสี่ตอนนี้ถูกควบคุมโดยกรมกลาโหมและเหล่าแม่ทัพอาวุโส ใช่แผนการระยะยาวที่ใดกัน ไม่แน่อาจถูกโยกไปให้เหล่าองค์ชายแล้วก็เป็นได้”

“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ครอบครัวของเต๋อเฟยกับซูเฟยมีอำนาจไม่น้อย โดยเฉพาะหานกุ้ยเฟยที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงสิ้นพระชนม์ลงได้ ดูท่าองค์ชายรองคงยากจะลุกขึ้นมาได้แล้ว”

เผยจี้ฉือหยุดชะงักพร้อมมีสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเดินต่อไป

โหลวเฉิงเย่กอดห่อหนังสือเอาไว้ ก่อนจะโวยวายเสียงดังขึ้นมา “บัณฑิตเหล่านี้ไม่กลัวตายกันเลยหรืออย่างไร เรื่องเช่นนี้ยังจะเที่ยวพูดไปทั่วอีก”

“ตำบลฉาซู่ไม่มีทหารของราชสำนัก ต่อให้พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

โหลวเฉิงเย่นึกสงสัยขึ้นมา “ไม่มีทหารหรือ? ข้าเห็นว่ามีทหารเดินตรวจตราทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งยังดูไม่เหมือนทหารทั่วไปด้วย ดูท่าทางสง่าผ่าเผยกว่าเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการเสียอีก”

นั่นเป็นทหารเกราะเหล็ก จะไม่สง่าผ่าเผยได้อย่างไรกัน

“เจ้าจะกินของหวานไม่ใช่หรือ ไปเถอะ”

โหลวเฉิงเย่เดินตามต้อย ๆ “จะว่าไปแล้วเจ้ารู้จักซูหงเจิ้นที่เคยอยู่สำนักศึกษาของเราก่อนหน้านี้หรือไม่? ลุงของข้ากับครอบครัวของเขามาจากเมืองเดียวกัน คราวก่อนส่งจดหมายมาบอกว่าไม่รู้ว่าพวกเขาไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตที่ใดเข้า ทำให้ทรัพย์สินของครอบครัวถูกยึดไปจนหมด และถูกขังในที่ว่าการจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ออกมา เกรงว่าออกมาแล้วก็คงไม่กล้าอวดดีอีก”

“ทำความชั่วเอาไว้มากย่อมพิฆาตตัวเอง ทำตัวเองทั้งนั้น”

“ก็จริง ปกติเขาก็อาศัยอำนาจรังแกคนอื่นไปทั่ว แต่เจ้าบอกความจริงข้ามาหน่อยสิ เจ้าคิดว่าผู้ใดจะได้เข้าไปอยู่ในตำหนักบูรพาหรือ?”

“พวกเขาน่ะหรือ? ไม่คู่ควร”

โหลวเฉิงเย่ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะรีบปิดปากเขาเอาไว้ทันที “สวรรค์ ประโยคนี้เจ้ากล้าพูดออกมาได้อย่างไร ไม่กลัวจะนำหายนะมาสู่ตัวเองเลยหรือ”

“ข้าก็แค่พูดความจริง” ต่อจากนี้น้ำโคลนเหล่านี้ คงจะขุ่นมัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

เพื่อชิงอำนาจมีอะไรที่คนเหล่านี้ทำไม่ได้บ้าง ต้องรอให้พวกเขาทะเลาะกันจนเกิดความโกลาหลอลหม่านขึ้นถึงจะดี

โหลวเฉิงเย่กลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่น่าตกใจอีก จึงรีบเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจเขาอีก โชคดีที่มาถึงร้านเครื่องดื่มของจี้จือฮวนพอดี

มีคนมาต่อแถวยาวเหยียดตั้งแต่เช้า

เมื่อลองสอบถามดูก็พบว่าทั้งหมดมาจากเมืองหลวง

ที่แท้ชื่อเสียงของเค่ออวิ๋นไหลแพร่กระจายออกไปนานแล้ว แต่พวกชนชั้นสูงเหล่านั้นขี้เกียจเกินกว่าจะเดินทางมา ดังนั้นจึงส่งคนรับใช้มาซื้อ เพื่อต้องการลองอะไรที่แปลกใหม่

เผยจี้ฉือเดินนำโหลวเฉิงเย่เข้าไปทางด้านหลังร้าน ฮวาเซียงเซียงเห็นเข้าก็เลยทำซวงผีหน่ายจากมันฮ่อและซิ่งเหริน*ให้พวกเขาคนละชาม

* ซิ่งเหริน (杏仁) หมายถึง อาลมอนด์

“เอาชานมหรือไม่ เพิ่งออกมาใหม่เลย”

เรื่องอะไรโหลวเฉิงเย่จะไม่เอา เขารีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหยิบช้อนขึ้นมาและพูดอย่างดีอกดีใจ “ฝีมือของแม่เจ้าข้าไม่มีอะไรจะพูดจริง ๆ เหตุใดไม่ไปเปิดร้านที่เมืองหลวงเล่า?”

เผยจี้ฉือได้ยินในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น “คนในเมืองหลวงอยากกินย่อมมาที่นี่เอง ของที่แม่ข้าทำข้างนอกหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ของที่หายากย่อมมีราคาแพง เหตุใดต้องไปเปิดที่เมืองหลวงด้วย”

เมื่อว่างจากงานในร้านจี้จือฮวนก็เปิดม่านขึ้น และนำพิซซาสองหน้ามาให้เผยจี้ฉือจานหนึ่ง “จะห่อกลับไปหรือไม่ เอากลับไปแบ่งสหายร่วมชั้นก็ได้นะ”

เผยจี้ฉือรีบลุกขึ้นให้นางนั่งลง “ข้าทำเองดีกว่า ท่านแม่ท่านไม่ต้องทำแล้วขอรับ”

เขาพูดจบก็ไปจัดการทุกอย่างเอง กลับเป็นโหลวเฉิงเย่ที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองจี้จือฮวนด้วยความดีใจ

“พี่สาว ท่านหน้าตาไม่เหมือนแม่อาฉือเลยขอรับ เหมือนพี่สาวของเขามากกว่า”

เดิมอายุของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่มีทางที่จะมีลูกโตขนาดนี้ได้อยู่แล้ว จี้จือฮวนจึงเอ่ยถามขึ้น “เรียนหนักหรือไม่?”

“นิดหน่อยขอรับ อย่างไรซะข้าก็ไม่ใช่พวกเด็กเรียนอยู่แล้ว พ่อข้าหวังแค่ว่าข้าจะสามารถสอบผ่านระดับมณฑลได้ เท่านี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดของตระกูลแล้วขอรับ ตรงข้ามกับอาฉือ เขาเป็นเมล็ดพันธ์ที่ดีในการศึกษาเล่าเรียน ภายหน้าข้าต้องฝากความหวังไว้ที่เขาแล้ว หากวันหน้าเขาได้เป็นอัครมหาเสนาบดีเล่าขอรับ? ข้าคิดไปถึงหากว่าที่องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาเล็งเห็นความสามารถของเขา จนเรียกเขาไปเป็นผู้ช่วยเลยนะขอรับ”

.

.

.