บทที่ 283 คนเมืองหลวง

จี้จือฮวนหยิบพัดทรงกลมขึ้นมาพัด เมื่อครู่นางทำขนมไปไม่น้อย บนใบหน้าจึงยังมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เกาะอยู่ แต่เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเจ้าเด็กคนนี้ “ตำหนักบูรพา?”

“พี่สาวคงยังไม่รู้กระมังขอรับ?”

“เจ้าเป็นสหายของอาฉือ เรียกข้าว่าท่านน้าหรือท่านอาเถอะ เรียกพี่สาวดูจะไม่เหมาะกระมัง” จี้จือฮวนไม่เล่นด้วย

โหลวเฉิงเย่จึงเกาศีรษะเล็กน้อย “เรียกเช่นนั้นท่านก็ดูแก่สิขอรับ”

พี่สาวที่สวยเพียงนี้กลับเป็นแม่คนแล้ว ช่าง…

“ตำหนักบูรพามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”

อย่างไรซะก็ไม่มีอะไรทำ จี้จือฮวนจึงตั้งใจอยู่พูดคุยกับเขา

“ก็เรื่องเลือกองค์รัชทายาทน่ะสิขอรับ ด้านนอกคนต่างก็กำลังพูดกัน ท่านทำการค้าคงไม่มีเวลาสนใจเป็นแน่ พวกเขาล้วนพูดว่าองค์ชายรองหมดหวังแล้ว ดังนั้นองค์ชายสามจึงมีความเป็นไปได้มากกว่า”

“หากพูดถึงผลงานขององค์ชายรองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าองค์ชายสามนี่นา”

“แต่ว่าหานกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว มหาอัครมหาเสนาบดีหานกับองค์ชายรองไม่แน่ว่าจะยังอยู่เรือลำเดียวกันอีกหรือไม่ อีกอย่างเขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว”

“การคืนตำแหน่ง ขอแค่ฮ่องเต้ทรงเอ่ยปากเท่านั้นไม่ใช่หรือ แล้วองค์ชายสามช่วงนี้ทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?”

“องค์ชายสามช่วงนี้ไม่ได้มีรับสั่งให้ไปทำงานอะไรเป็นพิเศษ จึงศึกษาอักษรพู่กันอยู่ที่ตำหนัก บรรดาขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวงต่างยกย่ององค์ชายสามว่ามีความรู้ที่ลึกซึ้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขายังได้ถวายตำราที่ใช้เวลารวบรวมกว่าสองถึงสามปีให้ฮ่องเต้ด้วย เพื่อช่วยบรรเทาพระอาการปวดหัวของฮ่องเต้ เห็นบอกว่าทรงรับสั่งให้ร้านหนังสือแจกจ่ายให้กับบัณฑิตทั้งใต้หล้าด้วยนะขอรับ”

คิดไม่ถึงว่าเซี่ยเซวียนผู้นี้จะมีแผนการในใจที่แยบยลมากมายเช่นนี้ เหมือนที่บรรยายเอาไว้ในนิยายไม่มีผิด ตอนที่องค์ชายพระองค์อื่นสนใจงานในราชสำนัก เขาแสร้งทำเป็นไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่ลับหลังก็ยังใช้แผนเดิมที่ว่า ‘ข้าเป็นห่วงเพียงสุขภาพของเสด็จพ่อ เรื่องเหล่านี้ข้ารู้เพียงอักษรพู่กันจะไปเข้าใจได้อย่างไรกัน?’

โดยเฉพาะคนที่ขี้ระแวงอย่างเช่นเซี่ยเจิน ดังนั้นเซี่ยเซวียนผู้นี้สำหรับเซี่ยเจินแล้ว นับว่าเป็นลูกที่มีความกตัญญูเป็นอย่างมาก

“ดูท่าการกระทำเหล่านี้ขององค์ชายสาม คงได้ใจผู้คนไปไม่น้อยเลยกระมัง”

“ท่านรู้ได้อย่างไรกันขอรับ แม้แต่อาจารย์ในสำนักศึกษาของเราก็ยังชมว่าองค์ชายสามกตัญญูเลยขอรับ”

“อืม เช่นนั้นองค์ชายห้าเล่า?”

“องค์ชายห้า ได้ยินมาว่าเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่ว่าจะมาจากครอบครัวยากจนหรือครอบครัวชนชั้นสูง เขาล้วนปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และยังให้เงินช่วยเหลือบัณฑิตที่ไปสอบที่เมืองหลวงอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย ในหมู่บัณฑิตอย่างพวกเราถือว่าเขามีชื่อเสียงที่ดีมาก ถึงกับกล่าวกันว่าองค์ชายห้าคล้ายกับอดีตองค์รัชทายาทเซี่ยอวี้ในตอนนั้นเลยขอรับ”

มุมปากของจี้จือฮวนกระตุกทว่ายังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง “องค์ชายรองไม่มีความเคลื่อนไหวเลยอย่างนั้นหรือ?”

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลยหรอกขอรับ เนื่องจากหานกุ้ยเฟยเพิ่งสิ้นพระชนม์ ตอนนี้เขาจึงอยู่ที่ตำหนัก กินเจสวดมนต์ ฝึกจิตใจ และการปฏิบัติตัว เพื่อขอพรให้กับฮ่องเต้ แต่เหมือนฮ่องเต้จะไม่อยากพบเขาเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จู่ ๆ ก็ไม่เรียกใช้องค์ชายรอง เดิมข้ายังคิดว่าเขามีโอกาสเป็นองค์รัชทายาทมากที่สุดเสียอีก สายเลือดของตำหนักบูรพาก็ไม่มีแล้ว ภายหน้าไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรบ้าง”

จะเพราะอะไรได้ ก็พอคิดถึงลูกชายคนนี้ก็เหมือนมีหมวกสีเขียวใบใหญ่สวมอยู่ที่หัวน่ะสิ เซี่ยหยางกินเจสวดมนต์อย่างนั้นหรือ? เกรงว่าคงบีบลูกประคำจนแทบแตกแล้วกระมัง

แต่เจ้าเด็กนั่นคงจะอัดอั้นน่าดู เวลานี้องค์ชายสามกับองค์ชายห้ายังไม่มีเวลาสนใจมาเล่นงานเขา แต่คนที่ทำเรื่องชั่วช้าเอาไว้มาก ความผิดที่ซ่อนเอาไว้ก็ย่อมมากตามไปด้วย

การแย่งชิงตำหนักบูรพาเกิดขึ้นเร็วกว่าโครงเรื่องเดิมสามถึงสี่ปี หลายอย่างล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลง นางจึงยากที่จะคาดเดาเกี่ยวกับพัฒนาการของตัวละครและเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

โหลวเฉิงเย่เป็นคนชอบสอดรู้สอดเห็น จึงมักกระโดดขึ้นกระโดดลงทั้งในสำนักศึกษา โรงน้ำชา ภัตตาคาร และร้านหนังสือข้างนอก ยิ่งเป็นสถานที่ที่เขาชอบไป ดังนั้นจึงรู้ข่าวได้อย่างรวดเร็ว

จี้จือฮวนถามเขาว่าซวงผีหน่ายพอหรือไม่ จะเอาอีกชามหรือไม่

“กินอีกคงไม่เห็นตาแล้วขอรับ” เผยจี้ฉือเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา

โหลวเฉิงเย่จึงหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ช่วงนี้ข้าอ้วนขึ้นจริง ๆ เสื้อผ้าที่ท่านแม่ข้าส่งมาให้ก็เริ่มแน่นแล้ว”

“อากาศจะหนาวแล้ว หากว่าเสื้อผ้าไม่พอดีเจ้าก็เอามาให้ข้า ข้าช่วยแก้ให้เจ้าเอง”

คนที่พูดคือเผยจี้ฉือ ดังนั้นจึงทำให้โหลวเฉิงเย่ดวงตาเบิกโพลง “เหตุใดเจ้าถึงทำงานเย็บปักถักร้อยเป็นด้วยล่ะเนี่ย?”

“พูดเหลวไหลอะไรกัน เอามาให้ข้าฝึกฝีมือต่างหาก” เขาเองก็จะทำตุ๊กตาเช่นกัน ทำตุ๊กตาที่ของเซียวเซวียนจิ่นสู้ไม่ได้

จี้จือฮวนกำลังจะพูดบางอย่าง ก็เห็นฮวาเซียงเซียงเปิดม่านขึ้นและออกมาพักหายใจ

“เฮ้อ ตอนการค้าไม่ดี วัน ๆ เอาแต่นั่งตบแมลงวันอยู่ที่ห้องโถง แต่พอการค้าดีข้ากลับยุ่งยิ่งกว่าแมลงวันเสียอีก”

จี้จือฮวนกระดิกนิ้วเรียกนาง ฮวาเซียงเซียงก็หน้าแดงขึ้นมา และรีบเดินไปอีกด้านหนึ่งทันที

จี้จือฮวนเดินไปพลางเอ่ยขึ้น “เหตุใดวันนั้นถึงรีบจากมาเล่า? ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ”

ฮวาเซียงเซียงแค่คิดถึงตอนที่ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมา และถูกบรรดาท่านป้าพากลับมาที่ห้องก็อับอายเป็นอย่างมาก!

“โอ๊ย เจ้าเลิกพูดถึงเรื่องนั้นได้แล้ว ที่ข้าจากมาโดยไม่บอกไม่กล่าว เจ้ายังไม่รู้อีกอย่างนั้นหรือ”

ยากนักที่จะเห็นด้านนี้ของเถ้าแก่เนี้ยฮวาผู้ปากจัด จี้จือฮวนจึงแสร้งเอ่ยขึ้นมา “คืนนั้นเจ้ากับเซียวเย่เจ๋อคุยอะไรกัน เจ้าดื่มเหล้าหมดตั้งไปสองไห อย่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบล่ะ”

ฮวาเซียงเซียงกัดริมฝีปาก “ตอนแรกก็คุยเรื่องโจรสลัดกัน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด…ถึงดื่มจนหมดได้ เรื่องต่อจากนั้นข้าเองก็ลืมไปแล้ว ช่างเถอะ เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ อย่างไรซะข้ากับเขาก็ไม่ได้ไปไกลอย่างที่พวกเจ้าคิดก็แล้วกัน”

จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น “ข้าว่าพวกเจ้าคุยกันถูกคอทีเดียว”

“เจ้ากำลังทำตัวเป็นแม่สื่อให้ข้าอย่างนั้นหรือ? ข้ายังไม่อยากแต่งงาน แต่งงานมีประโยชน์อันใดกัน จะมีสักกี่คนที่ยอมให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วออกมาปรากฏตัวทำการค้าเหมือนแม่ทัพเผยกัน? หากการค้าที่ข้าสร้างมาอย่างยากลำบากจบลงเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว เช่นนั้นก็นับว่าขาดทุนแล้ว”

สิ่งที่ฮวาเซียงเซียงคิด จี้จือฮวนเข้าใจแล้ว

อย่างไรเสียเรื่องของความรู้สึก สุดท้ายจะพัฒนาไปเช่นไรก็เป็นเรื่องของคนสองคน นางไม่เหมาะที่จะเข้าไปแทรกแซง

อีกเดี๋ยวเผยยวนก็จะมารับนางและอาฉือกลับบ้านแล้ว นางจึงตบบ่าของฮวาเซียงเซียงเบา ๆ และเอ่ยขึ้นมา “วันมะรืนข้าจะให้คนส่งแบบร่างมาให้ เจ้าก็สั่งให้ช่างไม้ทำชั้นสินค้าตามนั้นก็แล้วกัน”

“ตกลง วางใจเถอะ อ้อ จริงสิ มีเรื่องหนึ่งข้าอยากปรึกษากับเจ้า รอพ่อข้ามาถึงแล้ว ข้าอยากไปเมืองหลวงเพื่อซื้อร้านเสียหน่อย เรื่องเงินข้าไม่กังวล ตอนนี้ในมือเรามีเงินอยู่แล้ว แต่ทางเค่ออวิ๋นไหลข้ากลัวว่าจะไม่สามารถดูแลได้อีก จึงคิดว่าจะหาคนนอกที่ไว้ใจได้สักสองสามคนมาช่วยดูแลร้าน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“เรื่องนี้ข้าไม่มีปัญหา เดิมก็ไม่ใช่ว่าทำทุกสิ่งทุกอย่างเองแล้วจะสามารถทำได้ดีไปเสียหมด”

“สายตาเจ้าเฉียบแหลมกว่าข้า หากข้าคัดเลือกคนได้แล้ว ถึงเวลาเจ้าช่วยมาเลือกอีกทีก็แล้วกันนะ”

“อืม ว่าแต่เจ้าเปิดเผยฐานะของตัวเองที่หมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว ไปทำการค้าที่เมืองหลวงข้าไม่ค่อยวางใจ” จี้จือฮวนคิดที่จะบอกว่าให้นางไปเป็นเพื่อนด้วยดีหรือไม่

แต่ใครจะไปคิดว่าฮวาเซียงเซียงกลับกลอกตามองบน “อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย หากพ่อข้าต้องการแค่อ้าปากก็เป็นท่านอ๋องได้แล้ว ราชสำนักปราบโจรสลัดต่างก็ต้องพึ่งพากองเรือของเรา ใครตาบอดกล้ามาทำอะไรข้า รอพ่อข้ามาแล้ว รับรองว่าต้องไปเมืองหลวงเพื่อถามเรื่องเป่ยป้าเทียนอย่างแน่นอน อาศัยแค่สัญญาที่ประทับตราทางการที่เขายึดมาเหล่านั้น เกรงว่าคงถอนรากถอนโคนคนไปได้ไม่น้อยแล้ว

เจ้าน่ะไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้ากลัวว่าฮ่องเต้สุนัขนั่นจะย้อนกลับมาเล่นงานพวกเจ้ามากกว่า”

เสี่ยวเอ้อเปิดม่านและตะโกนขึ้นมา “เถ้าแก่เนี้ย ด้านนอกมีคนบอกว่าต้องการจะเหมาร้านขอรับ”

ฮวาเซียงเซียงจึงเอ่ยอย่างหมดความอดทน “คงไม่ได้มาจากเมืองหลวงอีกแล้วกระมัง คนพวกนี้นิสัยเสียจริง ๆ ในกระเป๋าก็มีเงินเพียงเท่านั้น วัน ๆ ยังแสร้งทำตัวอวดรวย ไป ข้าจะไปจัดการเขาเอง!”

.

.