ในขณะที่เจินซื่อเฉิงกำลังสืบถามเรื่องราวเป็นไปมาอย่างไรอยู่นั้น บ่าวรับใช้ของทั้งสามคนก็ได้เดินทางกลับไปยังจวนเพื่อรายงานต่อจวนของตนด้วย
ด้านของจวนซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและจวนไท่ผิงปั๋วได้ยินว่าบุตรชายของตนถูกผู้ใต้บังคับบัญชาของเจินซื่อเฉิงทำร้าย พวกเขาจะทนได้อย่างไร จากนั้นจึงรีบเดินทางมาที่ศาลาว่าการพระนครเพื่อสืบถามเรื่องราวว่าเป็นไปมาอย่างไร
ด้านของจวนตงผิงปั๋ว เฝิงเหล่าฮูหยินและคนอื่นก็ได้รับเรื่องราวจากคนขับรถม้าเช่นกัน
เฝิงเหล่าฮูหยินได้ยินว่าเจียงจั้นไปมีเรื่องให้ชุยอี้และอีกสองคนขุ่นเคืองใจ อีกทั้งยังลากเจียงซื่อเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย สีหน้าของนางก็ไม่น่ามองนัก ก่อนจะหันไปกล่าวกับเจียงอันเฉิงว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากล่าวตักเตือนเจียงจั้น แต่เจ้าก็เข้ามาปกป้องเขา บัดนี้เป็นเยี่ยงไรเล่า แม้แต่ซื่อเอ๋อร์ก็…”
“ท่านแม่ขอรับ ข้าจะไปหาลูกๆ บัดเดี๋ยวนี้!” เฝิงเหล่าฮูหยินยังไม่ทันกล่าวจบ เจียงอันเฉิงก็ได้กล่าวขึ้นขัดประโยคและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เฝิงเหล่าฮูหยินหายใจไม่ออกแทบจะเป็นลม นางเอามือขึ้นกุมหน้าอกแล้วหายใจเหนื่อยหอบ
คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง เหล่าต้านี่ก็เหลือเกิน เลี้ยงดูบุตรชายหญิงออกมามีแต่จะหาเรื่อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในไม่ช้าสักวันจวนปั๋วก็คงจะขายหน้าสิ้น
เจียงจั้นอย่างเดียวก็ไม่เท่าไร รอให้เจียงซื่อกลับมาแล้วจะต้องเรียกมาสั่งสอนสักหน่อย ต่อให้ลูกชายจะเข้ามาปกป้องไว้ก็ไม่เป็นผล เจียงซื่อสิ้นมารดาไปตั้งแต่เล็ก ในฐานะย่าของนาง จำเป็นจะต้องให้การอบรมสั่งสอนหลานสาว
เรื่องราวนี้ถูกรายงานไปทั้งสิ้นหลายจวน หนึ่งในนั้นจวนที่ดูสงบเงียบที่สุดคือท่านแม่ทัพชุย เขาเพียงออกคำสั่งให้ผู้ดูแลจวนเดินทางไปรับคนกลับมา
เมื่อชุยหมิงเย่ว์บุตรสาวของแม่ทัพชุยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ นางกล่าวขึ้นด้วยความโมโหว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านฟังชัดเจนดีแล้วหรือไม่ ท่านพี่ถูกม้ากระทืบจนขาหัก แต่ท่านยังกลับปล่อยให้ท่านพี่ถูกรังแกเช่นนี้?”
แม่ทัพชุยหันไปมองดูบุตรสาวแล้วกล่าวว่า “พี่ชายของเจ้ารังแกผู้อื่นไว้มากมายกว่านี้นัก”
“แต่คนอื่นจะมาเทียบกับท่านพี่ได้อย่างไร” ชุยหมิงเย่ว์ไม่พึงพอใจต่อท่าทีของบิดา “หากว่าท่านแม่ยังอยู่ละก็ จะต้องคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านพี่แน่!”
เมื่อได้ยินบุตรสาวกล่าวถึงองค์หญิงใหญ่หรงหยาง แม่ทัพชุยก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า “พี่ชายเจ้าก่อเรื่องเช่นนี้ ก็เป็นเพราะท่านแม่ของเจ้า”
เมื่อเห็นว่าบิดากล่าวถึงมารดาอย่างเคร่งขรึมเช่นนั้น ชุยหมิงเย่ว์ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
แม่ทัพชุยและองค์หญิงใหญ่หรงหยางดูเหมือนห่างไกลกันแต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดี นับแต่ที่ชุยหมิงเย่ว์จำความได้ ทั้งสองก็มีความรู้สึกห่างเหินกันเช่นนี้แล้ว ทั้งสองไม่ค่อยได้พบหน้ากันด้วยซ้ำ
ท่านพ่ออาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพ ส่วนท่านแม่อาศัยอยู่ในจวนองค์หญิง
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ชุยหมิงเย่ว์ก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก นางกล่าวขึ้นด้วยความโมโหว่า “ท่านพ่อไม่สนใจท่านพี่ เช่นนั้นข้าจะไปจัดการเอง!”
คุณหนูชุยสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป แน่นอนว่านางไม่ได้เดินทางไปยังศาลาว่าการพระนคร แต่กลับเดินทางไปฟ้องไทเฮา
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเป็นน้องสาวของจิ่งหมิงฮ่องเต้ มิได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน หลังจากที่เสด็จแม่สิ้นพระชนม์แล้วก็ได้เดินทางไปขอรับการเลี้ยงดูจากฮองเฮาในตอนนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ท่ามกลางองค์หญิงมากมาย องค์หญิงใหญ่หรงหยางจึงนับว่ามีหน้ามีตามากที่สุด
ไทเฮารักและทะนุถนอมองค์หญิงใหญ่หรงหยางมาก ดังนั้นจึงได้เอ็นดูชุยหมิงเย่ว์มากเช่นกัน
ชุยหมิงเย่ว์เดินทางเข้าไปในวังอย่างคุ้นทาง ไม่นานต่อมาก็ได้เข้าพบกับไทเฮา
เนื่องจากได้รับความเมตตาจากผู้มีอำนาจสูงส่ง ดังนั้นจึงมักได้รับอภิสิทธิ์กว่าผู้อื่นเสมอ
ไทเฮาเป็นหญิงชราที่ให้ความอบอุ่นยิ่งนัก ยามที่นางมองไปทางชุยหมิงเย่ว์ก็ได้เอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า “เย่ว์เอ๋อร์เดินทางมาเยี่ยมข้างั้นหรือ”
“เย่ว์เอ๋อร์คิดถึงและประสงค์เดินทางมาเยี่ยมเยียนเสด็จยายยิ่งนักเพคะ” ชุยหมิงเย่ว์เอ่ยวาจาหวานเอาใจหญิงชรา แต่ผ่านไปไม่นาน ดวงตาของนางก็มีน้ำตาเอ่อล้น
ไทเฮาจึงรีบเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความรีบร้อนว่า “เป็นอันใดไปหรือ”
“ไทเฮาทรงไม่ทราบหรอกเพคะ ท่านพี่ของข้านี้เกือบจมน้ำตายเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา” ชุยหมิงเย่ว์กล่าวในสิ่งที่นางรู้ออกมา ท้ายที่สุดแล้วก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวอันน่าสมเพสของพี่ชายออกมาว่า “เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ ธรรมดาแต่กลับกล้าทำเยี่ยงนี้กับพี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าท่านผู้ตรวจการศาลาพระนครให้การปกป้องเขาด้วย เห็นได้ชัดว่าการที่ท่านแม่ไม่อยู่ในเมืองหลวงจึงหาทางรังแก ไทเฮาเพคะ โปรดทรงคืนความยุติธรรมแก่พี่ชายหม่อมฉันด้วยเพคะ”
เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม “ขาของอี้เอ๋อร์หักเช่นนั้น แต่บิดาของเจ้ากลับไม่ได้เดินทางไปยังโรงหมอและรับเขากลับมาเองหรือ”
คู่ขององค์หญิงใหญ่หรงหยางและแม่ทัพใหญ่ชุยนางรู้จักดี
ในตอนนั้นชุยซวี่และซูซื่อแห่งจวนอี๋หนิงโหวรู้จักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่องค์หญิงใหญ่หรงหยางถูกชะตากับชุยซวี่ ท้ายที่สุดแล้วก็ได้ใช้อำนาจในการทำให้ทั้งสองต้องแยกจากกัน
แต่เป็นไปตามโบราณว่า แตงที่แข็งกระด้างจะไม่หวาน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงใหญ่หรงหยางและชุยซวี่จึงเย็นชา เมื่อซูซื่อตายจากไป ความรู้สึกที่ชุยซวี่มีต่อองค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ยิ่งเยือกเย็นยิ่งขึ้น
แม้ว่าไทเฮาจะรู้ดีถึงเรื่องราวในตอนนั้น แต่เรื่องความรู้สึกนางก็ยังคงเข้าข้างลูกเลี้ยงเสมอ เมื่อกล่าวถึงแม่ทัพชุยขึ้น นางก็มักจะตำหนิติเตียน
ชุยหมิงเย่ว์เช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านพ่อก็ไม่ใส่ใจท่านพี่กับหลานเท่าไรนัก แต่จะให้หลานมองเห็นท่านพี่ถูกรังแกต่อหน้าต่อตาคงไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเดินทางมาขอความช่วยเหลือจากเสด็จยาย”
“เย่ว์เอ๋อร์มิต้องกังวลไป ข้าจะไต่ถามให้”
“ขอบพระทัยเพคะไทเฮา” ชุยหมิงเย่ว์ยิ้มทั้งน้ำตา
ไทเฮาเป็นผู้มีความกระตือรือร้นและเด็ดเดี่ยว ในไม่ช้าก็ได้ออกคำสั่งไปยังจิ่งหมิงฮ่องเต้
ในวันนี้เสนาบดีกรมพิธีการไม่ได้เดินทางมาที่วัง จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินมาว่าหลานชายของเสนาบดีกรมพิธีการเกิดเรื่องขึ้น จากนั้นก็ได้ยินมาจากไทเฮาว่าเกิดเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มอีกสามคน เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจยิ่งนัก
มองดูแล้วบุตรชายของคนอื่นก็คงสร้างเรื่องให้ไม่น้อย อืม เขาวางใจได้สักที
“ฝ่าบาท เรื่องในวังนั้นข้าไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว แต่ชุยอี้เป็นบุตรชายคนเดียวของหรงหยาง และหยางเซิ่งไฉยังเป็นน้องชายแท้ๆ ของพระชายาองค์รัชทายาท ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครผู้นั้นควรจะไปตักเตือนบ้างสักหน่อย จะให้ผู้เดือดร้อนรู้สึกคับแค้นใจเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”
แม้ว่าไทเฮาจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ แต่ก็มีบุญคุณและเลี้ยงดูจิ่งหมิงฮ่องเต้มาจนเติบใหญ่ ประกอบกับการที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากไทเฮา จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเคารพนับถือไทเฮาเสมอมา
ในเมื่อไทเฮาทรงตรัสออกมาเช่นนั้น เขาก็ควรจะรักษาหน้านางเอาไว้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ในเมื่อไม่มีเรื่องใดต้องทำ เช่นนั้นเรียกเจินซื่อเฉิงเข้ามาในวังเพื่อไต่ถามถึงสถานการณ์ทั่วไปก็คงดี เป็นการแสดงความห่วงใยที่มีต่อข้าราชบริพารด้วย
บัดนี้ ณ ศาลาว่าการพระนครครึกครื้นมีชีวิตชีวายิ่งนัก เจินซื่อเฉิงรับฟังข้อกล่าวหาที่โยนกันไปมาของทุกคน เขาได้แต่อดทนและเอามือขึ้นลูบเครายาว สายตาเหลือบไปมองดูอวี้จิ่นที่ทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น คิดไม่ถึงเสียจริงว่าเยี่ยนอ๋องจะเป็นคนเช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงอ๋องแต่กลับไปรุมทำร้ายคนอื่นเช่นนั้น
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะปิดบังตัวตนของอวี้จิ่นอย่างไร หรือจะปล่อยเอาไว้เช่นนั้นโดยไม่สนใจ ก็มีคนจากในวังเดินทางมา
เจินซื่อเฉิงรู้สึกโล่งใจในทันที เรื่องปวดหัวทุกอย่างนี้โยนไปให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเองเถิด
ความรู้สึกของเจินซื่อเฉิงในบัดนี้คือ ใครจะตายก็ตายไป หากแต่ตนและพรรคพวกจะต้องรอด นอกจากสองพี่น้องตระกูลเจียงที่อยู่ในโรงหมอและชุยอี้ที่ถูกหักขาแล้ว บรรดาคนที่เหลือก็ถูกพาตัวส่งเข้าไปในวังจนสิ้น
โชคดีที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นคนที่มีนิสัยดี อารมณ์ไม่ร้อนและอดทนตั้งใจฟัง ทั้งสองตระกูลกล่าวถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของเจินซื่อเฉิงที่ทำท่าทางดุดันโหดร้ายจองหองจนจบ ท้ายที่สุดแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าเจิน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจิตใจกล้าหาญถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วเจ้าตั้งใจจะจัดการเช่นไร”
เจินซื่อเฉิงโค้งคารวะแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าไม่ควรฟังความแต่ข้างเดียว ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กระหม่อมเองก็ได้พาเดินทางมาที่นี่ด้วย”
“เอ้า งั้นหรือ ให้เขาเข้ามาได้”
เดิมทีอวี้จิ่นถูกผู้คนเบียดเสียดไปจนอยู่ด้านหลัง เมื่อได้ยินประโยคนั้นเขาก็ได้ผลักคนที่อยู่ด้านหน้าออกแล้วแทรกตัวเดินขึ้นไป ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดว่า “คารวะเสด็จพ่อ”
เสด็จพ่อ?
ซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง พวกเขาคิดว่าตนหูฝาดไป
ชายหนุ่มผู้นี้เรียกฮ่องเต้ว่าอย่างไรนะ เสด็จพ่อ?
ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนี่ทำให้ทั้งสามตระกูลขุ่นเคืองใจเสียจนเสียสติไปแล้ว บัดนี้ช่างเพ้อพกกล้ากล่าววาจาไร้สาระต่อหน้าฝ่าบาท ไม่เกรงกลัวต่อบาปและความผิดใด การที่ถูกลงโทษให้ศีรษะจะหลุดจากบ่าคงเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องไปที่อวี้จิ่นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างใจเย็นว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าก่อเรื่องอีกแล้วหรือ”