เมื่อคำว่าอีกแล้วออกมาจากปากจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาก็รู้สึกละอายอยู่ครู่หนึ่ง
การกล่าวเช่นนี้ดูเหมือนจะเปิดเผยบางสิ่งออกมา
ซื่อหลางกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกว่าเจ้าเจ็ดออกมาก็รู้สึกมึนงงในทันที
จะว่าไปแล้ว องค์ชายเจ็ดที่เพิ่งเสด็จกลับมาจากทางตอนใต้ได้รับการแต่งตั้งเป็นเยี่ยนอ๋อง สิ่งนี้ทำให้คนในวังพากันจับตามองอย่างไม่ต้องสงสัย และหลายคนคาดเดาเกี่ยวกับทัศนคติที่จิ่งหมิงฮ่องเต้มีต่อเยี่ยนอ๋อง น่าเสียดายก็คือเยี่ยนอ๋องมักไม่ปรากฏตัวที่ใด อีกทั้งยังไม่ได้ทำพิธีขึ้นสถาปนาอย่างเป็นทางการ ผู้ที่เคยพบเห็นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เจ้าหน้าที่คนนี้ก็คือเยี่ยนอ๋องอย่างงั้นหรือ
สายตาของซื่อหลางกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วหันไปมองทางเจินซื่อเฉิงด้วยความดุร้าย
เจ้าเจินซื่อเฉิงจงใจทำเช่นนี้กับพวกเขาหรือ!
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ลูกเพียงแค่ช่วยคน” อวี้จิ่นกล่าวออกมาอย่างใจเย็น
ในตอนนั้นสายตาของทุกคนมองเขาเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ธรรมดาผู้ต่ำต้อย ไม่ว่าเขาจะกล่าวอย่างใดก็ไม่มีใครสนใจ แต่บัดนี้ในฐานะเยี่ยนอ๋องที่ยืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ จึงทำให้เสนาบดีกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วประหม่าขึ้นมาในทันใด
อวี้จิ่นเล่าขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ “ลูกกำลังเดินทางผ่านไปที่ตรงนั้น แต่กลับพบว่าบุตรชายของท่านเเม่ทัพชุย บุตรชายของซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและบุตรชายของไท่ผิงปั๋วกำลังสั่งให้บ่าวรับใช้เข้าโจมตีรถม้าของจวนตงผิงปั๋ว ทำให้แม่นางที่นั่งอยู่บนรถม้าตกอกตกใจเสียจนหน้าซีดเสียว กลางวันแสกๆ ท่ามกลางใต้หล้าฟ้าเขียวซึ่งปกป้องดูแลโดยฮ่องเต้เช่นนี้ บริเวณที่ไม่ไกลออกไปจากศาลาว่าการพระนครกลับมีคนกล้าดีเข้ามารังแกหญิงสาวอย่างโจ่งแจ้ง เสด็จพ่อขอรับ จะให้ลูกเพิกเฉยต่อสถานการณ์เช่นนี้โดยไม่ทำอะไรเลยหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้ารับรู้ช้าๆ หากนี่คือเรื่องจริง แน่นอนว่าจะนิ่งดูดายไม่ได้
ซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วเห็นสีหน้าแววตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดังนั้นก็รู้ได้ว่าชีวิตกำลังจะหาไม่ แต่ในเวลานี้ต่อให้พวกเขาต้องการจะถอยหนีก็คงไม่ได้ หากว่ารับรู้ถึงตำแหน่งตัวตนของเยี่ยนอ๋องแล้วกลับทำท่าทางหวาดกลัวละก็ คงจะทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาชอบรังแกผู้คนที่อ่อนกว่า
ในยุคสมัยนั้นในวังขุนนางสามารถโต้เถียงกับฮ่องเต้ได้ หากว่าขุนนางรู้สึกว่าตนมีเหตุผลเพียงพอก็สามารถเอ่ยเหตุผลออกมากับฮ่องเต้ได้เช่นกัน
บัดนี้ซื่อหลางแห่งกรมพิธีการได้ส่งสัญญาณขยิบตาให้แก่ไท่ผิงปั๋ว ไท่ผิงปั๋วเองก็นับว่าเป็นดุจญาติ เนื่องจากภรรยาของเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกลับจิ่งหมิงฮ่องเต้ เรื่องราวในวันนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องในครอบครัว ดังนั้นหากว่าซื่อหลางกรมพิธีการเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาเองน่าจะสะดวกกว่า
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ในครานั้นบุตรชายของข้ามิได้เข้าไปรังแกจู่โจมแม่นางผู้นั้นเลย เพียงแต่พบว่าคุณชายชุยอี้ บุตรขององค์หญิงหรงหยางถูกม้าที่กำลังตื่นตระหนกโจมตีอยู่ จึงได้เรียกให้บ่าวรับใช้เข้าไปช่วยเหลือ ผู้ใดจะรู้ได้เล่าว่ากลับถูกเยี่ยนอ๋องทำร้ายทุบตีเช่นนี้ ขอทรงโปรดให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วย”
“ม้าที่ตื่นตระหนกอยู่งั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยคำนั้นย้ำออกมาอีกครั้ง
เจินซื่อเฉิงจึงได้รีบกล่าวขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท ม้าตัวนั้นกระหม่อมก็ได้นำมาด้วย บัดนี้ผูกเอาไว้กับต้นหลิวด้านนอกพระราชวัง หากว่าทรงต้องการจะให้ไปนำมา…”
“ไม่จำเป็น” จิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ม้าตัวนั้นตื่นตระหนกอยู่ไม่ใช่หรือ ใต้เท้าเจินพามันมาที่นี่ได้มันไม่ทำร้ายผู้ใดหรือ”
เจินซื่อเฉิงเอามือขึ้นไปสัมผัสเครายาวของตนอย่างไม่รู้ตัวแล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท มันเป็นเพียงม้าแก่ตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงได้เกิดบ้าคลั่งเช่นนั้น แต่ตอนที่กระหม่อมเห็นมัน เจ้าม้าแก่ตัวนั้นช่างอ่อนโยนมากเหลือเกิน ดูเหมือนว่ามันจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตกใจเสียด้วยซ้ำเนื่องจากมีผู้คนมากมาย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จินตนาการถึงภาพม้าแก่ที่มีน้ำตาไหลริน ก็ได้พยายามเกร็งริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้หัวเราะ
อวี้จิ่นกล่าวขึ้นขัดจังหวะว่า “เสด็จพ่อ การที่ม้าแก่ตัวนี้ได้รับความตกอกตกใจเสียจนทำร้ายผู้คนให้บาดเจ็บได้นั้น ก็คงหมายความว่าชุยอี้และคนอื่นๆ ก้าวร้าวยิ่ง ด้วยสถานการณ์เช่นนั้น การที่ลูกยื่นมือเข้าไปช่วยชีวิตแม่นางคนนั้นเอาไว้ เป็นเรื่องที่สมควรมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าในตอนนั้นเยี่ยนอ๋องอาจจะเข้าใจสถานการณ์ผิดไป แต่ก็ไม่ควรจะทำให้บุตรชายของเราทั้งหลายต้องบาดเจ็บถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ” ซื่อหลางแห่งกรมพิธีการชี้ไปยังบุตรชายของตนที่จมูกบวมช้ำ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างปวดร้าวว่า “ราชวงศ์ต้าโจวของเรานั้นให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทเป็นที่สุด ไม่ว่าเรื่องใด หากใช้กำลังในการตัดสินจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกหรือ ควรจะถามให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยลงมือจัดการจึงจะถูก”
ไท่ผิงปั๋วก็กล่าวขึ้นเช่นกันว่า “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ บุตรชายของพวกเรานั้นได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่บุตรชายของแม่ทัพชุยถึงกับขาหัก เขายังอายุน้อยนิด หากว่าในอนาคตพิการขึ้นมาละก็ อีกทั้งหากรอให้องค์หญิงหรงหยางเดินทางกลับมา…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาทันใด
บุตรชายของทุกคนเป็นเช่นสมบัติที่ต้องทะนุถนอม แล้วบุตรชายของเขาเกิดมาจากลมหรือไร!
ในตอนแรก ไทเฮาเป็นผู้นำเรื่องราววุ่นวายเหล่านี้มาแจ้ง จากนั้นซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วก็เดินทางมาพากันใส่ร้ายตำหนิบุตรชายเขา แม้กระทั่งบัดนี้ยังหยิบยกหรงหยางมาข่มขู่อีก เฮ้อ เป็นเพราะทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วบุตรชายของเขาไม่แพ้ จึงกลายเป็นความผิดของบุตรชายเขางั้นหรือ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะบุตรชายของคนพวกนั้นไร้ความสามารถต่างหาก
เมื่อคิดได้ดังนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
แต่การเป็นฮ่องเต้จะต้องมีความสามารถในการอดทน ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไรอยู่ แต่จะแสดงสีหน้าท่าทางออกมาว่าโกรธเกลียดเศร้าโศกหรือยินดีไม่ได้
ดังนั้นซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วจึงไม่อาจคาดเดาความคิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ ทั้งสองคนพากันอือออ ต้องการให้เยี่ยนอ๋องได้รับบทเรียน
เมื่ออวี้จิ่นได้ยินทั้งสองคนกล่าวออกมาอย่างกระฉับกระเฉงเช่นนั้น ก็ไม่ได้โต้เถียงสิ่งใด ทำได้เพียงก้มหน้านิ่งเงียบยืนอยู่ด้านข้าง
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหล่ตามองดูอวี้จิ่น ในใจของเขารู้สึกไม่พอใจซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วเป็นที่สุด พวกเขากำลังเล่นงานเจ้าเจ็ดเพราะคิดว่าบุตรชายของตนไม่มีใครคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังงั้นหรือ กำลังคอยดูว่าเขาเป็นถึงฮ่องเต้ ควรจะต้องใช้ความยุติธรรมในการตัดสินระหว่างเชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารหรือ แล้วผู้ใดจะคอยสนับสนุนบุตรชายเขาเล่า!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ ท่ามกลางความกดดันและเก็บกลั้นเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงได้กระแอมออกมา
ทำให้ชั่ววินาทีนั้นเงียบลงทันใด
“บ้านเมืองมีกฎมีเกณฑ์ เรื่องนี้ในเมื่อใต้เท้าเจินเป็นคนรับเรื่องมา ก็จงไปจัดการต่อเถิด ข้าเชื่อว่าใต้เท้าเจินจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเป็นกลาง”
ซื่อหลางแห่งกรมพิธีการและไท่ผิงปั๋วได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พึงพอใจ
ท่าทางและทัศนคติของเจินซื่อเฉิงเป็นอย่างไรช่างชัดเจนเหลือเกิน หากส่งให้เขาจัดการต่อ บุตรชายของตนคงจะถูกทำร้ายโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่!
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปทางไท่ผิงปั๋วอย่างไร้ความอดทน และเอ่ยเบาๆ ว่า “เรื่องนี้จัดการตามนั้น เป็นเพียงเรื่องของเด็กๆ จะต้องส่งให้แก่สำนักกฎหมายจัดการหรือ แม้ท่านปั๋วไม่กลัวจะอับอายขายหน้า แต่ข้ากลัวจะขายหน้ายิ่งนัก”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ไท่ผิงปั๋วและซื่อหลางแห่งกรมพิธีการก็ตกตะลึง
การที่ฮ่องเต้กล่าวว่าเยี่ยนอ๋องทำให้เขาอับอายขายหน้า หากมองจากอีกมุมหนึ่งแล้วนั้นก็คือฮ่องเต้เป็นห่วงเป็นใย ให้ความสำคัญกับองค์ชายคนนี้มาก
เมื่อทั้งสองคิดได้ดังนั้น เหงื่ออันเยือกเย็นก็ไหลลงมาเป็นทาง
พวกเขาประมาทกันเกินไป เดิมทีทั้งสองคิดว่าฮ่องเต้ไม่ได้ผูกพันหรือให้ความสำคัญกับเยี่ยนอ๋อง คาดไม่ถึงว่า อย่างไรพ่อลูกยังคงเป็นพ่อลูก เมื่อทั้งสองตระหนักได้ถึงส่วนนี้จึงได้นิ่งเงียบไปทันที
“เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปกันได้แล้ว”
เมื่อพบว่าอวี้จิ่นไม่ขยับเขยื้อน จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ยังไม่ไปหรือ!”
อวี้จิ่นจึงได้หันมาโค้งคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้ “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกว่าควรจะทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อในวันนี้ได้รับการปลอบโยนอย่างแท้จริง จึงจะสามารถแสดงความน่าเชื่อถือและน่าเกรงขามของท่านออกมาได้ ไม่เช่นนั้นสตรีผู้อยู่ใต้การปกครองดูแลใต้หล้านี้จะกล้าก้าวขาออกไปที่ถนนอีกหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “สตรีผู้นั้นอยู่ในจวนตงผิงปั๋วหรือ”
“ทูลเสด็จพ่อ ในวันนี้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็คือคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋ว เมื่อคืนนี้พี่ชายของนางตกลงไปในน้ำ วันนี้จึงได้ถูกทางศาลาว่าการพระนครเรียกตัวเข้าไปสอบถาม คุณหนูสี่แห่งตระกูลเจียงไม่ไว้ใจ จึงได้นั่งรถม้าไปรอรับพี่ชายที่หน้าประตูคาดไม่ถึงว่าจะพบเข้ากับเรื่องเช่นนี้…”
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินว่าเป็นคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วแววตาก็เป็นประกาย
อืม เขาจำแม่นางผู้โชคร้ายนี้ได้ดี เป็นแม่นางคนที่ถูกยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย เนื่องจากคุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงยืนกรานที่จะใช้ชีวิตร่วมกับหญิงสาวธรรมดานางนั้นมิใช่หรือ
เดิมทีเขาต้องการที่จะตกรางวัลให้แก่แม่นางผู้นี้สักหน่อย เพียงแต่ยังหาโอกาสที่ดีและเหมาะสมไม่ได้ จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท บัดนี้เมื่อเจ้าเจ็ดกล่าวขึ้น คาดว่าคงจะเป็นจังหวะดีทีเดียว
อืม เช่นนั้นก็ตกรางวัลแม่นางผู้โชคร้ายนี้ด้วยหยกสมปรารถนาสักชิ้น ไม่แน่ว่านับจากนี้นางอาจจะโชคดีขึ้น