อวี้จิ่นพยายามสร้างผลประโยชน์ให้แก่นางในดวงใจอย่างหน้าไม่อาย ก่อนจะเดินทางจากไปด้วยความพึงพอใจ
ในที่สุดหูก็โล่งสงบสักที จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
พานไห่หัวหน้าขันทีนั่งนิ่งเงียบไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา
คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เขานั้นรู้ดีเป็นที่สุดว่าบัดนี้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดี
คนเหล่านั้นมองว่าเขาเป็นฮ่องเต้ พวกเขากล้าเข้ามาฟ้องร้องเยี่ยนอ๋อง ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็เป็นคนธรรมดาที่มีอารมณ์ความรู้สึก ผู้ใดเล่าไม่อยากเข้าข้างลูกชายของตนเอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงทำได้เพียงหลับตาลงอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวกับพานไห่ว่า “จงนำสิ่งของที่ก่อนเจินซื่อเฉิงจะจากไปยัดไว้ในมือเจ้าเอามาให้ข้าดูเถอะ”
พานไห่จึงได้นำสิ่งของนั้นออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้รับไปเปิดดูพบว่าเป็นคำสารภาพประกอบกับประทับตราด้วยลายมือ
หลังจากที่อ่านจนจบแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ทำสีหน้าดำคร่ำเครียด
พวกเด็กเหล่านี้พากันไปเตร็ดเตร่ที่แม่น้ำจินสุ่ยก็นับว่าควรจะต้องเรียกมาจัดการแล้ว ไปๆ มาๆ ก็ยังคงพัวพันอยู่ในเรื่องราวน่าปวดหัวเหล่านี้
เดิมทีเขารู้สึกเห็นอกเห็นใจเสนาบดีกรมพิธีการที่อายุมากแล้วแต่กลับต้องสูญเสียบุตรหลานไป มองดูแล้วเจ้าหมอนี่รนหาที่ตายเอง
มือของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กำกระดาษใบนั้นเอาไว้สั่นคลอนเล็กน้อย ดูเหมือนเขากำลังโมโหและกำลังอึดอัดใจ
เจินซื่อเฉิงเป็นพวกใจเหล็กไม่เข้าข้างผู้ใด การที่นำเรื่องราวเหล่านี้ไปมอบให้แก่พานไห่เป็นการส่วนตัวนั้นนับว่าเขาไว้หน้าฮ่องเต้คนนี้เหลือเกินแล้ว
ถึงอย่างไรเสีย หยางเซิ่งไฉก็เป็นน้องชายของพระชายาองค์รัชทายาท แต่กลับมีใจริษยาจะลงมือได้แม้กระทั่งจวนปั๋ว หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปจะถูกหัวเราะเยาะสักเพียงใด
ไอ้พวกคนเช่นนี้ ตายไปเสียดูจะเป็นเรื่องดีพอควร ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลายคนเหล่านั้นพากันก่อเรื่องขึ้นโหวกเหวกโวยวาย ท้ายที่สุดแล้วก็มาสร้างความวุ่นวายให้เขาถึงที่นี่ เห็นได้ชัดว่าบรรดาผู้ปกครองของทั้งหลายคนนั้นไม่คิดว่าบุตรชายของตนผิดแต่อย่างใด
แต่ในเรื่องนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่รู้สึกแปลกประหลาดพระทัย
เนื่องจากบรรดาตระกูลสูงส่งมักจะเอาอำนาจมาข่มขู่บุคคลทั่วไป เขาเองก็พอจะเข้าใจได้ แต่เห็นอยู่กับตาว่าตนเองนั้นผิด ยังกลับวิ่งมาทูลต่อหน้าฮ่องเต้ แล้วจะให้เขากล่าวเช่นไร!
หลังจากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดดูแล้ว ในตอนแรกที่ต้องการจะประทานรางวัลให้เจียงซื่อเป็นหยกสมปรารถนาหนึ่งแผ่น แต่บัดนี้เขากลับตั้งใจจะมอบสิ่งของใช้สำหรับการเขียนหนังสือทั้งสี่ให้เจียงจั้นอีกเป็นการตอบแทน ซึ่งต้องการให้ใครหลายคนได้รู้ถึงสถานการณ์ในความเป็นจริงแม้จะถูกเผยแพร่ออกไป ให้พวกเขาได้รู้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้ตัดสินอย่างหน้ามืดตามัว
ส่วนคนอื่นๆ นั้นจำเป็นจะต้องลงโทษสักหน่อย “พานไห่ ไปเรียกไท่จื่อมา!”
พานไห่จึงตรงไปที่ตงกงแล้วถ่ายทอดคำสั่งออกไป แต่ในใจเขานั้นแอบจุดธูปให้แก่องค์รัชทายาทไปแล้วหนึ่งดอก
ในฐานะขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ เขาเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเหตุใดองค์ชายรัชทายาทจึงได้โชคร้ายถึงเพียงนี้…
ด้านในตงกง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดและหดหู่
พระชายาองค์รัชทายาทรู้เรื่องที่น้องชายของนางจมน้ำตายก็ร้องไห้เสียจนดวงตาบวมเป่ง
องค์รัชทายาทรู้สึกรำคาญกับเสียงสะอึกสะอื้นอันแผ่วเบาของนางเหลือเกิน หากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้เขาคงจะชักเท้าเดินออกไปหาความสุขสมกับบรรดาสนมแล้ว แต่บัดนี้เขาพยายามอดทนไม่เดินจากไป
ช่วงนี้โชคร้ายเหลือเกิน ดูเหมือนไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จะทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัยเอาเลย ดังนั้นเขาควรที่จะอยู่เงียบๆ เสียบ้าง น้องชายของภรรยาเพิ่งจะเสียชีวิตไป เวลานี้ในฐานะพี่เขยเขาควรจะอยู่ปลอบใจพระชายาของตนต่างหาก
“คนเราเมื่อจากไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ เจ้าอย่ามัวแต่ร้องไห้เลย” องค์รัชทายาทรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก ที่พระชายาองค์รัชทายาทได้แต่ร้องไห้ร้องห่มออกมาดุจดั่งสายฝน
องค์รัชทายาทเป็นผู้ที่ชื่นชอบสิ่งแปลกใหม่ แม้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทเองจะงดงามดุจดั่งผกา แต่สามีภรรยาที่อยู่กันมานานมองไปมองมาก็เริ่มเบื่อ
สำหรับองค์รัชทายาทแล้วนั้น พระชายาที่แต่งงานอยู่ด้วยกันมาหลายปียังไม่น่าสนใจเท่ากับนางในที่เก็บกวาดพระราชวังเลย แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้เขาจะกล่าวออกมาไม่ได้เด็ดขาด แต่พระชายาองค์รัชทายาทไม่ใช่คนโง่ นางจะไม่รู้สึกถึงท่าทางอันเยือกเย็นไม่แยแสขององค์รัชทายาทได้อย่างไร
การที่คนเราตายไปแล้วไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีสิทธิ์จะร่ำไห้หรือ นี่คือการปลอบโยนหรืออย่างไร เป็นการทำให้นางต้องโมโหเจ็บปวดเสียมากกว่า!
“ข้ามีน้องชายเพียงคนเดียวเท่านั้นนะเพคะ!” พระชายาองค์รัชทายาทกล่าวทั้งน้ำตา
เมื่อองค์รัชทายาทเห็นว่าพระชายาของตนช่างน่ารำคาญเสียจริง จึงได้ทำสีหน้านิ่งสงบ หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาใบหนึ่ง ส่งสายตามองไปรอบด้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนางในคอยรับใช้พระชายาองค์รัชทายาท
เนื่องด้วยน้องชายของพระชายาองค์รัชทายาทสิ้นใจลง ดังนั้นบรรดาบ่าวรับใช้จึงไม่กล้าสวมเสื้อผ้าที่ดูฉูดฉาด ขอบตาของพวกนางแดงเรื่อ หนึ่งในนั้นดึงดูดองค์รัชทายาทให้จ้องมองได้เป็นอย่างดี
นางในคนนั้นรูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าเรียวเล็กมีคางแหลม หางตาแดงเรื่อนั้นทำให้มองไปช่างน่ารักและน่าเอ็นดู
องค์รัชทายาทวางถ้วยน้ำชาลงแล้วมือลูบคางของตน
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเลยว่ามีบ่าวรับใช้ที่น่าสนใจเช่นนี้ มองดูแล้วหน้าตาคล้ายกับพระสนมหยางที่เสด็จพ่อค่อนข้างจะโปรดปรานในช่วงนี้
เมื่อนึกถึงพระสนมหยาง นึกถึงรอยยิ้มของนางอันงดงาม องค์รัชทายาทได้แต่รู้สึกจักจี้อยู่ในใจและส่ายหน้าเนื่องด้วยไม่กล้าคิดอีก ต่อให้เขาจะมักมากในกามสักเพียงใด ก็ไม่กล้าจะลงมือกับสตรีของบิดา
ในไม่ช้า พานไห่ก็เดินทางมาถึงและส่งต่อพระราชโองการ
องค์รัชทายาทติดตามพานไห่ไปเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ ในครั้งนี้ ในที่สุดหัวใจของเขาก็ไม่เต้นรัวเหมือนกลองอีกต่อไป
น้องชายของพระชายาองค์รัชทายาทก็คือน้องภรรยาของเขา ถึงอย่างไรเสด็จพ่อก็ควรจะปลอบโยนเขามิใช่หรือ แต่เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจเสียจนเกินไป องค์รัชทายาทจึงไม่ได้เอ่ยถามถึงวัตถุประสงค์ที่ให้เข้าเฝ้าในครั้งนี้กับเหล่าขันที
แน่นอนว่าพานไห่มีความสุขยิ่งนัก และไม่อยากเล่ามันออกมา
“เสด็จพ่อ…” องค์รัชทายาทก้าวขาเข้าไปในห้องส่งพระอักษรแล้วเอ่ยเรียก
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้หันหลังกลับไป สีหน้าอันหนักแน่นลึกซึ้งก็มองไปทางองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทกะพริบตาปริบๆ
ดูเหมือนกับว่าจะแตกต่างไปจากที่เขาคิดไว้เล็กน้อย
“เจ้ามาจากที่ใด?” องค์รัชทายาทรู้สึกว่าเมื่อครู่เขาทำถูกต้องแล้วที่อยู่เป็นเพื่อนพระชายา จึงได้รีบกล่าวขึ้นว่า “ลูกอยู่ที่ตำหนักของพระชายาขอรับ เสด็จพ่ออาจจะไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้น้องชายของนางเกิดเรื่องขึ้น”
ท่าทางอันไม่น่ามองของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ทำให้องค์รัชทายาทตกใจจนนิ่งเงียบ
“จงกลับไปบอกพระชายาของเจ้าว่าให้นางกลับไปที่ตระกูลเดิม เมื่อใดที่เดินทางกลับไปตระกูลเดิมจงทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่บรรดาพี่น้อง จงสั่งสอนให้พวกเขาทะนุถนอมในความสงบสุข อย่าได้ทำให้ชื่อเสียงของเจ้าและพระชายาไท่จื่อจะต้องเสื่อมเสีย!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวมาเพียงประโยคหนึ่งอย่างเยือกเย็น พบว่าท่าทางขององค์รัชทายาท ตกตะลึงอยู่กับที่ จึงได้ทำท่าทางจากตำหนิเขาอย่างรุนแรง
จิ่งหมิงฮ่องเต้มีพระโอรสหลายพระองค์ก็จริง และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงค่อนข้างจะเข้มงวดกับองค์รัชทายาทแตกต่างไปจากผู้อื่น ในฐานะขององค์รัชทายาทจะต้องโดดเด่นกว่าผู้อื่นมากนัก ไม่เช่นนั้นจะโน้มน้าวใจประชาชนได้อย่างไร
และเนื่องจากความคาดหวังอันสูงส่ง แน่นอนว่าข้อกำหนดคงจะต้องสูงเป็นธรรมชาติ แต่ทว่าความสามารถและพรสวรรค์ขององค์รัชทายาทมีขีดจำกัด จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะถูกตำหนิ
เมื่อเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร องค์รัชทายาทแทบจะกระทืบเท้าปัง
เหตุใดน้องชายของภรรยาของเขาสิ้นใจลง เขาจึงไม่ได้รับแม้แต่คำปลอบโยนกลับถูกตำหนิเสียด้วยซ้ำ เสด็จพ่อไม่พึงพอใจเขาขนาดไหนเชียว? เมื่อโมโหกระฟัดกระเฟียดกลับไปถึงที่ตงกงแล้ว องค์รัชทายาทก็ได้ระบายอารมณ์โกรธต่อพระชายาของตนอย่างแรง จากนั้นกำชับให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเดินทางไปดูสถานการณ์
เมื่อเจ้าหน้าที่กลับมารายงาน องค์รัชทายาทก็โมโหยิ่งขึ้นไปอีก
ที่จริงแล้วเขารู้ตั้งแต่แรกว่าหากไปเกี่ยวข้องกับน้องเจ็ดก็จะต้องโชคร้าย พ่อตาของเขาคนนั้น ยังไม่ทันทำความเข้าใจกับตัวตนของเจ้าเจ็ดดีก็วิ่งไปฟ้องที่ศาลาว่าการพระนครแล้ว
เขารนหาที่ตายหรือไร
องค์รัชทายาทรู้สึกรำคาญและหงุดหงิดจากการที่ถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ตำหนิมา จึงไประบายที่พระชายา ซึ่งบัดนี้เขาไม่อยากจะเสแสร้งอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงไม่ปรากฏกายต่อหน้าพระชายาอยู่หลายวัน
ด้านนอกความวุ่นวายภายใต้กำแพงอันสูงเหยียดฟ้านี้ อีกด้านหนึ่งเจียงอันเฉิงกำลังเร่งรีบไปที่เหอชี่ถัง เมื่อพบว่าเจียงจั้นได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงวางใจไม่น้อยก่อนจะพาลูกทั้งสองเดินทางกลับจวนไป
“พวกเจ้าทั้งสองคงจะเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนที่เรือนของตนเถิด”
เจียงอันเฉิงเพิ่งจะกล่าวมาได้ประโยคหนึ่ง ยังไม่ทันขาดคำบ่าวรับใช้ของเรือนฉือซินก็เข้ามารายงานว่า “เหล่าฮูหยินเรียกนายท่าน คุณชายรองกับคุณหนูสี่ไปพบเจ้าค่ะ”
เจียงอันเฉิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ท่านพ่อเจ้าคะ พี่รองยังร่างกายอ่อนแอมากเหลือเกิน ให้อาจี๋พยุงเขากลับไปพักผ่อนที่เรือนเถิด ข้าจะไปหาท่านย่ากับท่านพ่อเอง”
เจียงอันเฉิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่เหล่าฮูหยินรีบร้อนใจเช่นนี้ แต่คำสั่งของมารดาไม่อาจขัดขืนได้ ดังนั้นจึงพาเจียงซื่อเดินทางไปตามคำสั่ง
เมื่อเจียงซื่อเดินตรงเข้ามาในประตูเรือน เฝิงเหล่าฮูหยินก็ได้กล่าวให้นางรู้สึกอึดอัดใจขึ้นว่า “อาซื่อ เจ้านี่ช่างทำเรื่องอับอายขายหน้าเก่งเหลือเกิน อับอายไปถึงศาลาว่าการพระนครเชียว เป็นสตรีแท้ๆ แต่ดูทำตัวเข้าสิ!”