การที่เฝิงเหล่าฮูหยินตำหนิขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใf เนื่องจากนางรู้ชัดเจนดีว่าในตระกูลนี้ท่านย่าเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีความสำคัญอะไร
“ประโยคเมื่อครู่ของท่านย่าทำให้หลานรู้สึกไม่เข้าใจเสียจริง ไม่ทราบว่าหลานไปทำให้ผู้ใดขายหน้ากัน” น้ำเสียงอันเรียบง่ายและเยือกเย็นของเจียงซื่อทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินโมโหขึ้นมา นางเอื้อมมือไปกระแทกถูกถ้วยน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า
เจียงอันเฉิงดึงเจียงซื่อให้ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว เขามองไปยังน้ำชาที่กระเด็นหกออกมาเลอะถ้วยนั้น ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยความรู้สึกไม่พึงพอใจว่า “ท่านแม่มีเรื่องใด เหตุใดจึงไม่กล่าวออกมาดีๆ ท่านทำเช่นนี้จะทำให้บุตรหลานต้องตกอกตกใจเสียเปล่า”
“ตกใจงั้นหรือ” เฝิงเหล่าฮูหยินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “แม่นางผู้นี้กล้าที่จะไปถึงหน้าประตูศาลาว่าการพระนคร คิดว่าบัดนี้นางจะกลัวข้าอย่างงั้นหรือ”
“ท่านแม่ ซื่อเอ๋อร์เดินทางไปรับจั้นเอ๋อร์กลับจวน นางไม่ได้ไปทำตัวไร้สาระอยู่ที่ประตูศาลาว่าการพระนครสักหน่อย”
เฝิงเหล่าฮูหยินโมโหเสียจนยกไม้ค้ำยันขึ้นมาเคาะไปบนศีรษะของบุตรชายคนโต “จนบัดนี้แล้วเจ้ายังปกป้องนางอยู่อีก ในจวนเรามีคนอยู่มากมาย ผู้ใดก็สามารถไปรับจั้นเอ๋อร์ได้ทั้งนั้น เหตุใดจึงจำเป็นต้องเป็นนางเล่า หากว่านางไม่ไป แล้วจะไปข้องเกี่ยวกับพวกบรรดาคุณชายเหล่านั้นได้หรือ บัดนี้เป็นเช่นไรเล่า ทุกคนรับรู้แล้วว่าบุตรชายขององค์หญิงหรงหยางเข้าไปรั้งรถม้าของนางเอาไว้จึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าลับหลังจะกล่าวว่าจวนปั๋วของเราอย่างไร…”
เมื่อมองไปทางปากเฝิงเหล่าฮูหยินที่ขยับไปมา เจียงซื่อก็ได้กำมือไว้แน่นแล้วเอ่ยถามอย่างเรียบง่ายว่า “เหตุใดท่านย่าจึงไม่ถามบ้างว่าพี่รองของข้าเป็นเช่นไรบ้าง เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะเดินทางกลับมาพร้อมกับพี่รองจากโรงหมอนะเจ้าคะ”
เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นท่านย่า ดังนั้นนางจึงไม่อาจจะเงยหน้าเข้าเผชิญได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงนำหลักการออกมาแย้ง
เฝิงเหล่าฮูหยินถูกถามเช่นนั้นก็แทบหายใจไม่ออก
ในความทรงจำของนาง หลานชายคนรองร่างกายค่อนข้างแข็งแรง อีกทั้งแต่ละวันมักจะหาเรื่องผู้อื่นไปทั่ว ดังนั้นต่อให้เจียงจั้นต้องเข้าโรงหมอ นางก็รู้สึกว่าคงไม่เป็นอะไร คาดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าเด็กหญิงผู้นี้กุมไว้ในกำมือได้
เฝิงเหล่าฮูหยินทั้งโมโหและอึดอัดใจ นางมองไปทางเจียงซื่อด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแล้วกล่าวว่า “พี่รองเจ้าเป็นอย่างไรนั้นในใจข้ารู้ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องมาตักเตือนข้า!”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นว่า “ท่านย่าเข้าใจผิดไปแล้วเจ้าค่ะ หลานไม่ได้ตักเตือน เพียงแค่สงสัยเท่านั้นเอง”
สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดหัวใจของคนเราจึงแข็งได้เพียงนี้ แม้ได้ยินว่าบุตรหลานของตนเองถูกคนเข้ามารุมล้อมทำร้ายร่างกายและส่งไปอย่างโรงหมอ แต่เมื่อครั้นกลับมาถึงก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรสักคำ กลับเอาแต่ทำหน้าตาบึ้งตึงและดุด่า
แววตาของเฝิงเหล่าฮูหยินสั่นคลอนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าประโยคนี้เจียงซื่อหมายความว่าอย่างไร แต่เจียงซื่อก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ส่วนนางก็ไม่กล้าลดตัวลงมาถาม ได้แต่อึดอัดคับข้องใจ
“อาซื่อ จำเป็นต้องกล่าวคำพูดคลุมเครือเช่นนี้ด้วยหรือ บัดนี้เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว แต่เรื่องกฎระเบียบต่างๆ กลับไม่เป็นเรื่องเป็นราว ต่อจากนี้อย่าได้ออกจากจวนไปโดยพลการ จัดการทบทวนสิ่งที่เจ้าทำให้ดี”
“ท่านแม่ ซื่อเอ๋อร์เป็นคนมีเหตุมีผล นางจะไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใดได้อย่างไรเล่า ท่านกล่าวว่าในจวนมีคนตั้งมากมาย ผู้ใดเดินทางไปรับจั้นเอ๋อร์ก็ย่อมได้ แต่ผู้ที่ต้องการจะเดินทางไปรับจั้นเอ๋อร์นั้นมีเพียงซื่อเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ ลูกไม่เข้าใจเสียจริงว่าการที่ซื่อเอ๋อร์นั่งรถม้าไปรับพี่ชายกลับบ้าน เหตุใดจึงกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปได้ อีกอย่างการที่พบปะกับบรรดาบุตรชายขององค์หญิงหรงหยาง คนก่อเหตุไม่ผิด แต่คนถูกกระทำกลับผิดหรือ เพียงเพราะนางคือสตรี?”
“ถูกต้องแล้ว เพราะนางคือสตรี!” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวออกมา “เจ้าอย่าได้กล่าวว่าบัดนี้ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ควรปฏิบัติต่อสตรีอย่างเคร่งครัดเช่นเมื่อก่อน ข้าจะบอกกับเจ้าให้ ไม่ว่าจะเรื่องราวใด ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบก็คือสตรี ผู้ที่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้าก็คือสตรี”
เจียงอันเฉิงได้ยินดังนั้นก็โมโหยิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจว่า “ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น บรรดาผู้ที่รักบุตรสาวสุดดวงใจ เมื่อพบเจอกับเรื่องเหล่านี้ก็คงจะต้องไปคิดบัญชีแน่นอน ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องทำให้บุตรสาวของตนเองต้องถูกเอารัดเอาเปรียบและปล่อยให้บุตรชายของผู้อื่นลอยนวลเชิดหน้าชูตาได้ในสังคม ในครั้งนี้ที่ท่านกล่าวโทษซื่อเอ๋อร์ก็เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าและเกรงว่าจะถูกรุกราน”
“เจ้า!” เฝิงเหล่าฮูหยินคาดไม่ถึงว่าจะถูกบุตรชายถกเถียงกลับเช่นนี้จึงทำให้โมโหเสียจนริมฝีปากสั่น
นายท่านรองที่นั่งอยู่ด้านข้างอดทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้กล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดจึงกล่าวกับท่านแม่เช่นนี้เล่า ท่านแม่เองก็เห็นแก่ชื่อเสียงของซื่อเอ๋อร์ จึงต้องการให้นางอยู่ในจวนน เพื่อไม่ออกไปทำเรื่องราวให้ปวดหัวได้อีก แต่พี่ก็ไม่ยอมรับ การที่หญิงสาวพบเจอกับปัญหาวุ่นวายเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องดีนักหรอกใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรก็จะเสียชื่อเสียงมากกว่าบุรุษ”
“ชื่อเสียงหรือ หากต้องคอยทำเพื่อชื่อเสียง แต่กลับต้องให้บุตรสาวเผชิญหน้ากับเรื่องอันไม่เป็นธรรมเหล่านี้ ข้าคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ท่านแม่และน้องรองไม่จำเป็นต้องมากังวลแทนซื่อเอ๋อร์หรอก การที่หญิงสาวต้องคอยรักษาชื่อเสียงเอาไว้ก็เพื่อแต่งงานกับใครสักคนใช่หรือไม่ ซื่อเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องออกเรือน ข้าจะเลี้ยงนางเอง!”
เมื่อเจียงอันเฉิงกล่าวประโยคนี้ออกไปแล้วก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นแตกตื่นและตกใจ
“บรรดาคุณชายเหลือขอทั้งสามตระกูลนั้นมาหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผล และยังทำให้ซื่อเอ๋อร์ต้องตกอกตกใจ เรื่องนี้ข้าจะต้องคิดบัญชีให้ได้” เจียงอันเฉิงไม่รู้เรื่องราวความจริงที่เจียงจั้นตกน้ำ แต่การที่สองพี่น้องถูกคนรุมล้อมเอาไว้เพื่อที่จะทำร้ายทำให้เขาโมโหเป็นที่สุด
อ้อ จริงสิ ดูเหมือนว่าคนที่เข้าไปช่วยทั้งสองเอาไว้จะเป็นเสียวอวี๋
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจียงอันเฉิงก็รู้สึกประทับใจเสี่ยวอวี๋มากขึ้นกว่าเดิม
นายท่านรองพอได้ยินว่าเจียงอันเฉิงตั้งใจจะไปคิดบัญชีกับทั้งสามตระกูลนั้น ดวงตาของเขาก็มืดมนลงทันที พี่ใหญ่คนนี้ หากไม่ถึงตาจนก็ไม่ยอมแพ้จริงๆ
การที่ทำให้ทั้งสามตระกูลต้องขุ่นเคืองใจ ประกอบกับเสนาบดีกรมพิธีการ อ้อ ดูเหมือนจะต้องรวมไปถึงองค์รัชทายาทด้วย พี่ใหญ่เป็นเพียงแค่ปั๋วธรรมดาคนหนึ่ง จากนี้เขาจะใช้ชีวิตขุนนางอยู่ในพระราชวังได้อย่างไร
เขารู้ดีว่าเจียงอันเฉิงเป็นพวกหัวรั้น แต่นายท่านเจียงรองก็ไม่กล้าจะเพิกเฉย ไม่เช่นนั้นหากทำให้เขาเกิดหุนหันพลันแล่นขึ้นมาคงไม่ดี จึงทำได้เพียงเริ่มลงมือจากเจียงซื่อ “พี่ใหญ่ ประโยคเหล่านั้นก่อนจะกล่าวออกมา ได้คำนึงแทนหลานสาวหรือยัง ซื่อเอ๋อร์ไม่ออกเรือนก็ย่อมได้ แล้วเชี่ยวเอ๋อร์ ลี่เอ๋อร์ เพ่ยเอ๋อร์เล่า”
เมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับบุตรสาว จึงทำให้เจียงอันเฉิงไม่อาจละเลยได้ เขายิ้มขึ้นเยาะเย้ยว่า “น้องรองอย่าได้โยนความผิดอันใหญ่หลวงเหล่านี้ไปที่ซื่อเอ๋อร์เพียงคนเดียว บุตรสาวของหนานถิงปั๋วคบชู้ ถูกหย่าร้างและไล่กลับตระกูลเดิมไป ก็ยังไม่ได้ส่งผลให้พี่น้องสตรีคนอื่นๆ ไม่อาจเดินบากหน้าออกจากเรือนได้ แต่ซื่อเอ๋อร์เพียงแค่ถูกพวกแมลงวันเหล่านั้นเข้ามารุมจะทำร้าย เหตุใดจึงทำให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของคนอื่นเล่า” จะใส่ร้ายป้ายสีบุตรสาวของเขาหรือ ฝันไปเถอะ!
เจียงซื่อก้มหน้าก้มตาฟัง ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดเฝิงเหล่าฮูหยินก็ได้โพล่งออกมาว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าคือมารดาของเจ้า!” เมื่อพบว่าหญิงชราโมโหจนถึงสุดขีด เจียงอันเฉิงจึงได้แต่ขยับริมฝีปากแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
ถึงอย่างไรเสียนางก็เป็นมารดา หากทำให้นางโมโหจนร่างกายทรุดโทรมลงคงไม่ดีและเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้
เมื่อพบว่าเจียงอันเฉิงไม่กล่าวสิ่งใดออกมาแล้ว เฝิงเหล่าฮูหยินจึงได้กล่าวขึ้นว่า “ข้าคือบรรพบุรุษอาวุโสของซื่อเอ๋อร์ ข้าจะดูแลสั่งสอนหลานสาวอย่างไรนั้นข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนเจ้าเป็นเพียงแค่บุรุษ อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้คนอื่นหัวเราะเยาะ”
เจียงอันเฉิงอับอายเสียจนหน้าแดง ในเวลานี้เขารู้สึกปวดใจกับภรรยาที่จากไปก่อนวัยอันควรนัก
แต่เจียงซื่อกลับทำสีหน้านิ่งเงียบ แน่นอนว่านางไม่อาจจะใช้ไม้แข็งกับท่านย่าได้ ในเมื่อท่านย่าไม่ให้นางเดินทางออกจากเรือน นางยังไม่เดินออกจากเรือนเป็นการชั่วคราวก็ย่อมได้ ถึงอย่างไรเสียนางเองก็มีวิธีมากมาย
หากยังมีหิ่งห้อยมายาอยู่ในมือ เจียงซื่อไม่กลัวหรอกว่าจะไม่มีโอกาสทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินกลับคำ
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก็ดังขึ้น ผอจื่อคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วเปิดผ้าม่านขึ้นกล่าวด้วยอาการเหนื่อยหอบว่า “ฮูหยินเจ้าคะ มี มีคนจากในวังเดินทางมาเจ้าค่ะ!”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง
เฝิงเหล่าฮูหยินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอีกครั้งว่า “บอกมาให้ชัดเจนว่ามาจากที่ใด”
“มีขันทีคนหนึ่งเดินทางมา กล่าวว่าให้คุณชายรองและคุณหนูสี่เดินทางออกไปต้อนรับเจ้าค่ะ”