เมื่อได้ยินมาว่ามีคำสั่งให้เจียงจั้นและเจียงซื่อออกไปพบ เฝิงเหล่าฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ จากนั้นพาพวกเขาทั้งหลายเดินตรงออกไปด้านนอก
ผู้ที่เดินทางมานั้นก็คือพานไห่
เมื่อนายท่านรองเจียงพบเข้า จึงได้รีบเดินทางเข้าไปทักทาย
“ท่านเจียงเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายรองและคุณหนูสี่อยู่หรือไม่”
นายท่านรองเจียง หันหลังกลับไปมองดูท่ามกลางฝูงชน
เจียงซื่อและเจียงจั้นจึงได้ก้าวออกมาทำความเคารพพานไห่
พานไห่รีบชำเลืองตามองสองพี่น้องอย่างรวดเร็ว แล้วแอบเอ่ยชมอยู่ในใจก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาทรับสั่ง ท่ามกลางการปกครองของฮ่องเต้ ยังเกิดเรื่องราวเช่นนั้นได้ ช่างไม่สมควรเอาเสียเลย ในการที่คุณชายรองเจียงและคุณหนูสี่เผชิญกับเรื่องเลวร้ายในวันนี้ฝ่าบาททรงทราบดี จึงได้รับสั่งให้บ่าวนำหยกสมปรารถนามามอบให้แก่คุณหนูสี่ และอุปกรณ์เครื่องเขียนมอบให้แก่คุณชายเจียง ทั้งสองท่านโปรดรับไว้เถิด”
เจียงซื่อและเจียงจั้นจึงได้คุกเข่าลงเพื่อรับของไป หลังจากเอ่ยขอบคุณเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ได้ลุกขึ้นท่ามกลางสายตาอิจฉาของทุกคน
พานไห่กลอกตาไปมองแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นี้คือท่านปั๋วใช่หรือไม่”
เนื่องจากเจียงอันเฉิงจะเดินทางเข้าไปในวังเฉพาะมีการเฉลิมฉลองเท่านั้น ในเวลานั้นมีผู้คนเดินทางไปมากมายจึงไม่มีโอกาสที่จะให้เขาได้แสดงตนออกมา แต่พานไห่มีความจำคนได้แม่นยำนัก เมื่อหลายปีก่อนเขาได้พบเจียงอันเฉิงครั้งหนึ่ง แต่บัดนี้ก็ยังจำได้อยู่
เฝิงเหล่าฮูหยินที่ยืนอยู่ด้านข้างมองมาแล้วรู้สึกโศกเศร้า
เมื่อตอนที่ นายท่านปั๋วยังอยู่ก็มักจะถูกองค์ฮ่องเต้เรียกเข้าไปสนทนาในวังด้วยเสมอ คาดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงรุ่นลูกแล้ว แม้แต่ขันทีที่อยู่ข้างกายองค์ฮ่องเต้ก็ยังจำเขาไม่ได้
“ข้าคือตงผิงปั๋ว” เจียงอันเฉิงเผชิญหน้ากับพานไห่อย่างใจเย็น
เขาไม่เหมือนกับน้องรองที่ใช้การศึกษาตำราเข้าสู่ตำแหน่งอาชีพ ไม่ได้เป็นเช่นแม่ทัพอันมีชื่อเสียงและพรสวรรค์ที่คอยปกป้องคุ้มกันดินแดน ในความคิดของเขาแล้วนั้นการที่ครอบครัวมีความสุขก็เพียงพอแล้ว ในโลกนี้มีเพียงกี่คนกันที่สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้ การยอมรับในสิ่งที่ตนมีและขาดไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร เจียงอันเฉิงไม่ได้มีความปรารถนาใดเป็นพิเศษ เขาไม่จำเป็นต้องได้รับการยกยอจากผู้ที่อยู่ข้างกายองค์ฮ่องเต้
พานไห่ยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ท่านปั๋ววางใจเถิด บรรดากลุ่มคนที่ทำให้คุณหนูสี่และคุณชายรองต้องถูกรังแกเหล่านั้น ฮ่องเต้จะลงโทษพวกเขาเอง เพียงแต่ฝ่าบาทตรัสแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เด็กๆ กระทบกระทั่งกัน ไม่จำเป็นต้องทำให้ใหญ่โต”
ประโยคเมื่อครู่ของพานไห่ชัดเจนเป็นที่สุด นั่นก็คือองค์ฮ่องเต้ไม่ประสงค์ให้เจียงอันเฉิงไปคิดบัญชีกับทั้งสามตระกูลนั้น
ประกอบกับเจียงอันเฉิงไม่รู้ว่าเจียงจั้นตกลงไปในน้ำได้อย่างไร เมื่อคิดไตร่ตรองดูพบว่าบุตรสาวไม่ได้เสียหายอันใด ดังนั้นเขาจึงได้พยักหน้ายอมรับ
“เช่นนั้นข้าขอตัวเดินทางกลับก่อน” พานไห่หันสายตามามองดูเจียงซื่อ แล้วมีความรู้สึกบางอย่างขึ้น
คุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วคือบุตรสาวของซูซื่อแห่งจวนอี๋หนิงโหวสินะ สองแม่ลูกหน้าตาช่างเหมือนกันเหลือเกิน น่าเสียดายที่ซูซื่ออายุสั้น ไม่รู้ว่าบุตรสาวของนางจะเป็นเช่นไร
เมื่อพบว่าพานไห่กำลังจะเดินทางจากไป นายท่านรองเจียงจึงได้รีบตามขึ้นไปแล้วยัดถุงเงินใส่ลงไปในแขนเสื้อของเขา กล่าวว่า “ใต้เท้าพานไห่ เดินทางมาด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางอากาศร้อนเช่นนี้ เข้าไปดื่มชาสักถ้วยก่อนดีหรือไม่”
“ท่านเจียงเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว” พานไห่ยิ้ม จากนั้นก็พาคนอื่นๆ เดินทางจากไป
ที่แห่งนั้นสงบนิ่งลงอีกครั้ง สายตาของทุกคนมองไปยังมือของเจียงซื่อและเจียงจั้นซึ่งถือของอยู่
นายท่านรองเจียงอิจฉาตาร้อน
เขาเป็นขุนนางมาตั้งนานหลายปี ได้รับของรางวัลจากองค์ฮ่องเต้ในช่วงเทศกาลปีใหม่เท่านั้น ไม่เคยได้รับรางวัลพิเศษเพียงอย่างใด
ส่วนเซียวซื่อก็ยิ่งอิจฉาตาร้อนเข้าไปใหญ่
จั้นเอ๋อร์ได้รับของพระราชทานเป็นอุปกรณ์เครื่องเขียนเชียว บัดนี้ใกล้จะถึงเทศกาลชิวเหวยแล้ว หากว่าชังเอ๋อร์ได้รับของอันเป็นมงคลเช่นนี้มา ก็คงจะส่งต่อไปสู่ลูกสู่หลานได้ อีกทั้งมียังหยกสมปรารถนาในมือของเจียงซื่อนั่นอีก เซียวซื่อจ้องไปยังหยกสมปรารถนาที่ยาวประมาณหนึ่งไม้บรรทัดด้วยแววตาอันเป็นประกาย หยกอันงดงามเช่นนี้ หากว่าตอนที่บุตรสาวของนางออกเรือนและวางไว้บนสินสอดก็คงไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อมองไปยังท่าทางอันสงบนิ่งของเจียงซื่อ ในใจลึกแล้วเซียวซื่อก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
เจ้าเด็กนี่ช่างโชคดีเสียจริง แต่ยังแสร้งทำท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนั้นออกมา ช่างน่ารังเกียจนัก ไม่รู้ว่าความอิจฉาทำให้คนเราดูน่าเกลียดหรือไม่ แต่เซียวสื่อสัมผัสได้ว่าความอิจฉาริษยาทำให้จิตใจเจ็บปวด
เจียงซื่อกอดแผ่นหยกสมปรารถนานั้นเอาไว้ ดูท่าทางนางค่อนข้างสับสนเล็กน้อย
ก็เพียงแค่บรรดาคุณชายที่ชอบหาเรื่องหาคนอื่นไปทั่วจนเป็นนิสัย เหตุใดเรื่องนี้จึงไปถึงหูฮ่องเต้ได้ อีกทั้งยังมอบประทานของปลอบใจแก่สองพี่น้องด้วย หยกสมปรารถนาและอุปกรณ์เครื่องเขียนหนึ่งชุด เนื่องจากเป็นสิ่งของที่แตกต่างกันไปดังนั้นความหมายจึงไม่เหมือนกัน
อาทิเช่น บัดนี้เดิมทีนางต้องการที่จะก้าวถอยออกมา ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับท่านย่าอย่างดื้อรั้น ทว่าเมื่อนางมีหยกสมปรารถนา สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนี้ผู้ใดจะกล้านำเรื่องราวในวันนี้ก่อนหน้ามากล่าวอีก นางก็จะย้อนเถียงกลับไปโดยไม่ต้องเกรงกลัว “ท่านแม่ ข้ากล่าวได้ไม่ผิดใช่หรือไม่ เดิมทีแล้วซื่อเอ๋อร์ก็ไม่ใช่คนผิด แม้แต่ฮ่องเต้ยังได้ประทานแผ่นหยกสมปรารถนามาให้นาง เพื่อหวังว่านางจะได้พบแต่สิ่งที่สมปรารถนา” เจียงอันเฉิงกล่าวออกมาอย่างเยาะเย้ย
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้สึกอย่างไรเลย แต่บัดนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าฝ่าบาทองค์นี้ช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก
เฝิงเหล่าฮูหยินใช้มือกำไม้เท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา โชคดีเช่นนี้เหตุใดจึงมาตกอยู่ที่หลานสาวคนนี้ ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้านางเลย
ซึ่งบัดนี้เฝิงเหล่าฮูหยินทั้งรู้สึกปลื้มปีติและโมโหในเวลาเดียวกัน
การที่นางรู้สึกมีความสุขยินดี นั่นก็เป็นเพราะฝ่าบาทประทานของมาให้ ทุกคนรู้ดีว่าจวนปั๋วนั้นไม่ได้รับพระราชทานรางวัลมาเนิ่นนานแล้ว ส่วนสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกโมโหนั่นก็คือประโยคที่กักบริเวณเจียงซื่อเมื่อครู่ บัดนี้องค์ฮ่องเต้ได้ประธานหยกสมปรารถนาแก่นางแล้ว นั่นหมายความว่าคำสั่งเมื่อสักครู่ก็ต้องยกเลิกไปด้วย ในฐานะย่า นางจะมีศักดิ์ศรีทำสิ่งใดได้อีก
เฝิงเหล่าฮูหยินที่รู้สึกสับสนอยู่ในใจ จึงได้กลับคำว่า “สิ่งที่พระราชทานมานั้นช่างล้ำค่าเหลือเกิน จงนำไปไว้ที่ห้องโถงบรรพบุรุษเถิด”
เจียงอันเฉิงรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “นำเครื่องเขียนทั้งสี่ของเจียงจั้นไปวางก็พอแล้ว ส่วนหยกสมปรารถนาให้ซื่อเอ๋อร์เก็บเอาไว้ติดตัวเถิด”
เฝิงเหล่าฮูหยินเหล่ตามองดูบุตรชายคนโตของตน อยากจะรู้เหลือเกินว่าในศีรษะของเขานั้นมีอะไรอยู่บ้าง คนอื่นมักจะเก็บผลประโยชน์เอาไว้ให้บุตรชาย มีเพียงเขาเท่านั้นที่คอยแต่เอาใจบุตรสาว จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะเจียงซื่อหน้าตาเหมือนกับมารดาของนางที่ตายจากไป
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินก็รู้สึกมีบางอย่างในใจขึ้นมากั้นไว้ระหว่างเจียงซื่อ
หลายปีมานี้ นางไม่อาจลืมเรื่องที่บุตรชายคนโตทะเลาะเบาะแว้งกับนางเพื่อที่ต้องการจะรับซูซื่อเข้ามาได้ และนางก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าแม้ซูซื่อจากไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่บุตรชายคนโตของเขาก็ยังถูกเรื่องราวของนางส่งผลกระทบกับชีวิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เมื่อคิดได้ดังนี้เฝิงเหล่าฮูหยินก็รู้สึกสั่นสะท้านในใจ
บุตรชายคนโตของนางใช้ชีวิตคนเดียวมาหลายปีแล้ว หากว่านางหาคู่ครองคนใหม่ให้แก่เขา และหากทั้งสองมีความรู้สึกผูกพันกันขึ้นมาได้ บางทีอาจจะลืมนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ซูซื่อคนนั้นไปได้สนิท เมื่อนางคิดเช่นนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินจึงละทิ้งการบีบบังคับทำให้เจียงซื่ออับอายใจไปเสีย
หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน หากว่าต่อจากนี้มีแม่เลี้ยงก็คงจะลงมือได้ง่ายกว่า สำหรับนางผู้เป็นย่า เป็นการดีที่จะช่วยไม่ให้ตัวนางต้องเสียชื่อเสียงว่าไร้ความเมตตา
“ย่อมได้ ซื่อเอ๋อร์จงเก็บรักษาระมัดระวังหยกนี้ให้ดี นี่คือสิ่งของพระราชทาน หากว่าเสียหายก็อาจจะเดือดร้อนเอาภายหลังได้” เฝิงเหล่าฮูหยินทำท่าทางดูมีเมตตากรุณาขึ้นมาทันทีและเอ่ยกำชับ
เจียงซื่อจึงถือหยกสมปรารถนานั้นเอาไว้ โค้งคำนับนาง “ขอบพระคุณท่านย่าที่ตักเตือน หลานเข้าใจดีแล้วเจ้าค่ะ” นางถือหยกสมปรารถนาไว้ในมืออย่างเป็นธรรมชาติ อย่าว่าแต่เฝิงเหล่าฮูหยินเลย ขนาดเซียวซื่อเองก็รู้สึกใจเต้นแรง
เด็กคนนี้เป็นคนที่ไร้หัวจิตหัวใจ แม้ว่านางจะไม่กลัวตายแต่อาจทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ จะให้นางถือหยกสมปรารถนาไว้ได้อย่างไร
หลังจากที่พานไห่เดินทางออกมาจากจวนตงผิงปั๋ว ในไม่ช้าเขาก็ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนอีกสามตระกูล ท่านแม่ทัพชุยจึงได้เพิ่งรู้ว่าบุตรสาวของตนนั้นเข้าไปหาเรื่องและฟ้องไทเฮาที่ในวัง โดยเหตุนี้เองจึงเรียกชุยหมิงเย่ว์มาตำหนิยกใหญ่