หลังจากที่ชุยหมิงเย่ว์ถูกแม่ทัพชุยตำหนิติเตียนแล้วนางก็รู้สึกคับอกคับใจ จึงเดินทางออกจากจวนแม่ทัพมุ่งหน้าไปทางจวนขององค์หญิงหรงหยาง
เนื่องจากว่าองค์หญิงหรงหยางไม่ชอบอากาศร้อน ดังนั้นในแต่ละปีนางจะเดินทางไปหลบร้อนที่อื่น แต่จวนองค์หญิงที่องค์หญิงไม่อยู่ก็ยังคงครึกครื้นมีชีวิตชีวาดั้งเดิม
องค์หญิงหรงหยางไม่ชอบความเงียบเหงา
“คุณหนูใหญ่…”
ชุยหมิงเย่ว์ไม่สนใจต่อการเคารพของบรรดาเหล่ารับใช้ในจวนองค์หญิง นางมุ่งตรงไปที่เรือนเจียวเย่ว์
องค์หญิงหรงหยางไม่ได้อาศัยอยู่กับแม่ทัพชุย ชุยหมิงเย่ว์มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในจวนขององค์หญิง ดังนั้นที่พักของนางจึงได้รับการตกแต่งซ่อมแซมเป็นอย่างดี
บัดนี้ในเรือนเจียวเย่ว์มีดอกไม้เบ่งบานงดงามสะพรั่ง ชุยหมิงเย่ว์เพิกเฉยต่อดอกไม้หายากเหล่านั้น นางตรงเข้าไปทางด้านหลังทันที ที่ด้านหลังมีรั้วไม้เล็กๆ กั้นเอาไว้ ด้านในมีกวางจุดสองตัวนอนอยู่
“เปิดประตู!”
บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นจึงรีบเดินมาเปิดประตูไม้ทันที
ชุยหมิงเย่ว์เดินตรงเข้าไปด้านใน
กวางจุดสองตัวนั้นเมื่อพบว่าชุยหมิงเย่ว์ตรงเข้ามา พวกมันก็หดตัวและถอยหลังกลับ
ชุยหมิงเย่ว์ดึงแส้ที่พันรอบเอวเอาไว้ออกมา เมื่อแส้อันงดงามเส้นนั้นถูกสะบัดออกนางก็ฟาดมันลงไปบนกวางจุดอย่างดุเดือด แต่กวางจุดนั้นไม่ได้วิ่งหนีไป มันกลับยืนรับแส้นั้นอย่างว่าง่ายและส่งเสียงคร่ำครวญออกมาจากลำคอ ชุยหมิงเย่ว์ใช้แรงฟาดทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าบนร่างของกวางทั้งสองตัวนั้นก็เต็มไปด้วยร่องรอยของแส้
บ่าวรับใช้เฝ้าประตูไม่อาจทนมองดูกวางทั้งสองตัวที่หลั่งน้ำตาได้ นางจึงได้ก้มหน้าลง
ชุยหมิงเย่ว์ยังคงตีมันต่อไป จนกระทั่งกวางตัวหนึ่งล้มลงนางจึงหยุด แล้วโยนแส้ออกไปด้านนอก
“จัดการให้ดี” ขณะที่เดินผ่านบ่าวรับใช้ ชุยหมิงเย่ว์ได้กำชับออกมาเบาๆ
“เจ้าค่ะ”
ชุยหมิงเย่ว์เหลือบตามองบ่าวรับใช้อย่างเย็นชา “ปิดปากของเจ้าให้ดี”
“บ่าวรับทราบเจ้าค่ะ”
ชุยหมิงเย่ว์กลับไปที่ห้องส่วนตัวและนั่งดื่มน้ำชาหอม บัดนี้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อยกมือขึ้นพบรอยแดงที่ปลายนิ้วนางก็กัดริมฝีปากขึ้น การระบายอารมณ์กับกวางมันไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย ตอนที่นางยังเด็ก นางเคยบังเอิญเห็นท่านแม่ใช้แส้ตีบ่าวรับใช้ ตอนนั้นนางตกใจเป็นที่สุด หลังจากนั้นนางก็เห็นอยู่บ่อยๆ แล้ว จึงรู้สึกว่าความหวาดกลัวในตอนนั้นช่างไร้สาระเหลือเกิน
จะว่าไป บรรดาบ่าวรับใช้ก็ไม่ต่างอะไรกับวัวกับควาย ไม่สำคัญเท่ากับกวางด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าคนสามารถเอ่ยวาจาออกมาได้ดังนั้นนางจึงต้องคอยรักษาชื่อเสียงเอาไว้
ชุยหมิงเย่ว์นึกถึงคำสั่งสอนของบิดาแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
พี่ใหญ่ขาหักขนาดนั้น แต่ท่านพ่อกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อีกทั้งกล่าวว่าพี่ใหญ่ควรจะได้รับบทเรียนเสียบ้าง เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อไม่อยากจะทำให้จวนตงผิงปั๋วขุ่นเคืองใจ
ไม่สิ ควรจะกล่าวว่าท่านพ่อไม่อยากจะทำให้บุตรชายของซูซื่อต้องรู้สึกลำบาก
ชุยหมิงเย่ว์พอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแม่ของตนในอดีตมาบ้างเล็กน้อย โดยมากแล้วนางจะรู้มาจากองค์หญิงหรงหยาง ดังนั้นจึงมักจะรู้สึกว่าเจียงซื่อเป็นดั่งเช่นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เหมือนกับมารดานาง
“เจียงจั้น แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!” ชุยหมิงเย่ว์บ่นออกมา
คดีการจมน้ำเสียชีวิตของหลานชายเสนาบดีกรมพิธีการ ทำเสียจนเรื่องราวใหญ่โตไปถึงหูของฮ่องเต้และกลายเป็นหัวข้อที่คนในเมืองหลวงคอยจับตามอง ทุกคนรอคอยว่าผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครจะสามารถจับผู้ลอบวางเพลิงได้หรือไม่ และอยากจะรู้เหลือเกินว่าฆาตกรผู้นี้เก่งกาจมาจากที่ใดกัน
เพียงแต่ในคราวนี้ดูเหมือนทุกคนจะต้องผิดหวัง เนื่องจากใต้เท้าเจินผู้เก่งกาจเรื่องการตัดสินคดีจนบัดนี้ยังไม่อาจไขคดีได้
ในศาลาว่าการพระนคร บัดนี้เจินซื่อเฉิงกำลังนั่งคัดจดหมายออกเป็นกองๆ
จดหมายเหล่านั้นก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหยางเซิ่งไฉและอีกสามคน หลังจากที่เจินซื่อเฉิงได้อ่านจดหมายเหล่านี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าการที่บัดนี้เพิ่งจะมีคนมาคิดบัญชีกับเจ้าหมอนี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จะให้ไขคดี? ยากยิ่งนัก!
เดิมทีเขาวางแผนจะเริ่มต้นสืบสวนจากผู้ที่เช่าเรือในวันนั้น แต่เมื่อเขาส่งลูกน้องออกไปตรวจสอบแล้วกลับไม่พบเบาะแสอะไรเลย จึงทำให้เบาะแสถูกทำลายไป
แม้ว่าจะไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่เจินซื่อเฉิงก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ดูเหมือนกับว่าอีกฝ่ายหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดและคาดเดาแผนการของเขาออกตั้งแต่เนิ่นๆ จึงพยายามปิดกั้นทุกวิถีทาง
ช่างน่าสนใจยิ่งนัก หลังจากที่พลิกประวัติคดีเหล่านั้นอ่านออกดูเรียบร้อยแล้ว เจินซื่อเฉิงก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอยู่กับความคิดของตนเองเงียบๆ
“ท่านพ่อ” เสียงใสของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น
เจินซื่อเฉิงหยุดฝีเท้าลงแล้วมองไปทางบุตรชายคนโตที่เหมือนไม่ได้พบหน้ามาสองสามวันแล้ว
หืม เจ้าหมอนี่ดูดีขึ้นไม่น้อย คาดว่าจะร่างกายจะพักฟื้นจากการถูกโจมตีครั้งก่อนได้ดีทีเดียว
ความรู้สึกโกรธเคืองที่เจินซื่อเฉิงเคยระบายออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เริ่มจางหาย เขาเอ่ยถามขึ้นว่า “วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกหรือ”
เจินเหิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใกล้จะสอบแล้วขอรับ วันนี้จึงไม่ออกไปข้างนอก ท่านพ่อจัดการคดีถึงไหนแล้ว”
“ไม่มีความคืบหน้าเลย” เจินซื่อเฉิงกล่าวออกมาอย่างไม่เป็นทางการ
รอยยิ้มของเจินเหิงชะงักลง
น้ำเสียงที่ท่านพ่อกล่าวว่าไม่มีความคืบหน้าเลย ค่อนข้างจะดูเย่อหยิ่งและเถรตรงไปหน่อย จนทำให้เขาไม่รู้จะปลอบเช่นไร แม้จะเตรียมตัวเดินทางมาเพื่อสิ่งนี้ก็ตาม
เมื่อพิจารณาดูท่าทางของเจินซื่อเฉิงแล้ว เจินเหิงก็ได้เกลี้ยกล่อมออกมาอย่างอบอุ่นว่า “ท่านพ่อไม่ต้องรีบร้อนไป ลูกเชื่อว่าด้วยความสามารถของพ่อนั้น จะสามารถทำให้ความจริงกระจ่างแจ้งได้อย่างแน่นอน”
“คดีนี้ก็คงจะต้องปล่อยเป็นเช่นนี้ไป”
เจินเหิงชะงักลงอีกครั้ง เขาพิจารณาครุ่นคิดแล้วเกลี้ยกล่อมออกไปว่า “ท่านพ่ออย่าได้นำไปใส่ใจเลย บางครั้งคนเราก็ไม่ได้ทำได้ทุกเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของท่าน”
เจินซื่อเฉิงมองไปทางบุตรชายแล้วกล่าวว่า “เจ้ามามัวคอยกังวลเรื่องนี้เพื่อเหตุใด ยังไม่รีบไปอ่านหนังสืออีก!”
ผู้ใดเป็นบิดาผู้ใดเป็นบุตรกันแน่
ริมฝีปากของเจินเหิงกระตุกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบิดาของเขามักจะทำท่าทางขมวดคิ้วเข้าหากันในหลายวันนี้ จึงทำได้เพียงกลืนความคับข้องใจลงไปแล้วปลอบโยนว่า “ท่านพ่อขอรับ ลูกเข้าใจดีว่าการที่ท่านพ่อไม่สามารถไขคดีได้จะทำให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร ใครกล่าวว่าข้าไขคดีไม่ได้แล้วรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจกัน” เจินซื่อเฉิงขมวดคิ้วมองดูบุตรชาย “เจ้าอายุยังน้อยเพียงนี้ เหตุใดจึงพูดมากความนัก” ท่าทางเช่นนี้ของเขาจะมีแม่นางผู้ใดชื่นชอบเล่า อีกอย่างหนึ่งว่ากันว่าสตรีมักจะชื่นชอบชายหนุ่มที่พูดน้อยและเย็นชา
“เมื่อหลายวันก่อนลูกพบว่าท่านพ่อเอาแต่ถอนหายใจกับดวงจันทร์…”
เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นลูบเคราของตนเอง “เฮ้อ ในตอนนั้นข้าเองเป็นกังวลว่าหากไขคดีได้แล้วจะไม่อาจทำใจแข็งจับฆาตกรมัดมือมัดเท้าเข้าคุกได้ แต่เช่นนี้ก็ผิดกับหลักการปฏิบัติของข้า”
บัดนี้เป็นเช่นไรเล่า เขาไม่สามารถไขคดีได้จริงๆ บัดนี้เขารู้สึกผิดต่อจรรยาบรรณเล็กน้อย
เจินเหิง “…” ไหนว่าทุกอย่างล้วนตั้งอยู่ในความเป็นธรรมเล่า นี่เป็นท่านพ่อตัวปลอมหรือ
“ไปอ่านหนังสือได้แล้ว!” เจินซื่อเฉิงตะโกนใส่
เจินเหิงกลอกตามองและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
เจินซื่อเฉิงส่ายหน้าแล้วเอามือไขว้หลังเดินตรงกลับไป
บุตรชายของเขาช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน จากกฎหมายของต้าโจวนั้นไม่สามารถทำทุกอย่างบนความยุติธรรมได้ แล้วนับประสาอะไรกับคน
คดีนั้นถูกยืดเยื้อออกไปจนกระทั่งเดือนแปด ภายใต้แรงกดดันมากมาย ผู้คนจำนวนมากได้รายงานต่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ว่าไม่อาจจะไขคดีนี้ได้
จากนั้นจึงรายงานว่าเจินซื่อเฉิงจัดการกับคดีอย่างไม่เด็ดขาด ไม่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ได้อย่างเคร่งครัด
จิ่งหมิงฮ่องเต้โยนกองหนังสือร้องเรียนเหล่านั้นออกไปแล้วหัวเราะอย่างเยือกเย็นว่า “เพียงแค่ไม่อาจไขคดีคดีหนึ่งได้ จำเป็นถึงกับจะต้องถอดตำแหน่งออกจากผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครเชียวหรือ ในโลกนี้มีคดีมากมายที่ไม่อาจแก้ไขคดีได้ ถ้าเช่นนั้นขุนนางทุกคนก็ควรจะไปตายเสีย!”
หัวหน้าขันทีพานไห่ได้แต่รับฟังอย่างเงียบๆ และแอบแสดงความเห็นอกเห็นใจองค์รัชทายาทเล็กน้อย
การที่ฮ่องเต้รู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องเหล่านี้ จึงทำให้โมโหและคาดว่าคงจะลำบากองค์รัชทายาทอีกแล้ว ผู้ใดให้หลานของเสนาบดีกรมพิธีการคือน้องเมียของไท่จื่อเล่า
เมื่อถึงช่วงว่าราชการเช้าอีกวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก้าวออกมาจากแถว ก่อนจะกล่าวถึงโทษฐานของผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครที่ไร้ความสามารถ จากนั้นเรื่องเล็กก็ได้กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนค่อยๆ ทยอยออกมาตำหนิเจินซื่อเฉิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา หลังจากที่ฟังจบแล้ว เขาก็ได้ตรัสถามไปยังผู้คนทั้งหลายว่า “ตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครจำเป็นจะต้องมีผู้ดำรงตำแหน่ง จะปล่อยให้ว่างเปล่าไม่ได้ ไม่ทราบว่าในที่นี้ผู้ใดยินดีจะรับช่วงต่อ และจัดการกับคดีลอบวางเพลิงในครั้งนี้”