จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามออกไปเช่นนั้น ทุกคนก็ได้แต่ยืนตกตะลึงในทันที
มีใครไม่รู้บ้างว่าตำแหน่งในศาลาว่าการพระนครนั้นยากเย็นเพียงใด มีใครไม่รู้บ้างว่าที่ตำแหน่งนั้นแต่ละคนล้วนตะเกียกตะกายทะเยอทะยานขึ้นไปสู่ความสำเร็จ แต่ในเวลาไม่นานทุกคนก็ได้แต่ท้อถอยแล้วจากไป ผู้ที่สามารถจากไปอย่างราบรื่นได้นับว่าดีแล้ว แต่ผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งก็มากมายเช่นกัน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ขุนนางในวังค่อนข้างสบายกว่ามากนัก เพียงแค่คอยจับตามองดูภายในภายนอก หากมีฎีกาก็เพียงจัดการเขียน เท่านั้นนับว่างานเสร็จสิ้นสมบูรณ์ พวกคนเหล่านั้นพากันจ้องสบตากันไปมาโดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใด จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นดังนั้นจึงเยาะเย้ยอยู่ในใจ เขารู้ว่าคนเหล่านี้ทำเพียงแต่ปากดีไปเท่านั้น หากว่าให้ทำเรื่องจริงจังละก็ล้วนแต่หุบปากเงียบกันทั้งสิ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ต้องการจะรับใครเข้ามาแทนที่เจินซื่อเฉิง ในความคิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ เจินซื่อเฉิงเป็นผู้ที่มีความสามารถและจงรักภักดีอย่างแท้จริง ในสายตาคนอื่นๆ ภูมิหลังของเจินซื่อเฉิงไม่ได้โดดเด่น เขาไม่มีตระกูลคอยพึ่งพาสนับสนุนเช่นร่มไม้ใหญ่ แต่สำหรับจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วการที่มาจากภูมิหลังของครอบครัวเช่นนี้นับว่าเป็นข้อดีของเจินซื่อเฉิง
เพียงแค่เจินซื่อเฉิงยังเสมอต้นเสมอปลาย ตัวเขาก็จะค่อยเป็นที่พึ่งพาให้แก่ขุนนางผู้นี้ตลอดไป แน่นอนว่าความคิดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้เปิดเผยออกไปอย่างชัดเจน เนื่องจากว่าผู้ที่เป็นฮ่องเต้จะต้องมีทีท่ารักษากิริยามารยาทตลอดเวลาตามได้ฝึกฝนมา
“เหตุใดเล่า ไม่มีผู้ใดยินยอมหรือ” หลังจากที่ตั้งใจรอมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ท้ายที่สุดแล้วจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยถามออกมาอย่างใจเย็น
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าก้าวขาออกมาแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมมีความสามารถเพียงน้อยนิด ไม่อาจจะรับตำแหน่ง ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครได้พ่ะย่ะค่ะ”
คนอื่นได้ยินดังนั้นก็ล้วนเห็นด้วย
สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูนิ่งเรียบกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากที่เจินซื่อเฉิงลาออกจากตำแหน่งแล้ว พวกเจ้าคิดว่าผู้ใดเหมาะสมจะเข้ารับตำแหน่งนั้น”
พวกเขาก็ได้แต่ทำท่าทางงุนงง
ผู้ที่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ ไม่มีหรอก ทุกคนรู้ว่าตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครนี้อยู่ได้ไม่มั่นคง หากว่าสามารถนั่งได้อย่างมั่นคงก็จะมีอำนาจมากมาย แต่หากว่าไม่สามารถนั่งได้อย่างมั่นคงก็คงได้แต่นั่งรอโชคร้ายเข้ามาหา
หากว่าพวกเขาเสนอรายชื่อซี้ซั้วออกไป ก็คงจะหาเรื่องให้ตัวเอง “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่กล่าวสิ่งใดเล่า พวกเจ้าเป็นคนต้องการจะถอดตำแหน่งของเขาออกเอง แต่จะให้ข้าแบกหน้าที่รับผิดชอบหาคนเข้ามาแทนที่อย่างงั้นหรือ”
“กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็รีบคิดเอาเถิด ข้ารออยู่”
พวกเขาเหล่านั้นพากันเหงื่อตก ก่อนจะคิดขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า องค์ฮ่องเต้กำลังปกป้องเจินซื่อเฉิงอยู่?
น่าประหลาดเหลือเกิน คดีลอบวางเพลิงบนนาวาจนทำให้น้องชายของพระชายาองค์รัชทายาทถึงแก่ชีวิต การที่เจินซื่อเฉิงไม่อาจไขคดีนี้ได้ ฝ่าบาทควรจะโมโหไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดจึงทำเป็นไม่สนใจเช่นนี้?
เอ๋ หรือว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยองค์รัชทายาทกัน
หากเป็นเช่นนั้นก็คงผิดแผนจริงๆ การที่พวกเขากระตือรือร้นพากันลุกขึ้นเสนอสิ่งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะยกยอองค์รัชทายาทและจวนเสนาบดีประจำกรมพิธีการ เนื่องจากต้องการทำให้ทั้งสองฝ่ายโปรดปราน หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ พวกเขาคงจะไม่เสี่ยงลุยน้ำมาเช่นนี้หรอก
แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ใช่คนใจร้าย หลังจากที่บีบบังคับให้ข้าราชบริพารทั้งหลายในที่นั้นตกตกใจเสียจนเหงื่อออกแล้วเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะไม่ทำให้ทุกคนลำบากใจอีก จึงกล่าวว่า “ในเมื่อทุกท่านคิดไม่ออก เช่นนั้นดูเหมือนว่าตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครคงยังเป็นเจินซื่อเฉิงที่เหมาะสมที่สุด ทุกท่านว่าอย่างไรเล่า”
จะมีผู้ใดกล่าวว่าอย่างไรอีก ล้วนแต่พากันตอบรับว่าเป็นไปตามนั้น
คดีลอบวางเพลิงบนเรือสำราญ ท้ายที่สุดแล้วก็ยากที่จะคลี่คลายลง บรรดาตระกูลทั้งหลายที่นำโดยจวนเสนาบดีประจำกรมพิธีการก็โมโหยิ่งนัก แต่นอกจากเสนาบดีกรมพิธีการแล้ว อีกสามตระกูลก็ได้ถูกฮ่องเต้เรียกไปตำหนิติเตียน จึงทำให้บัดนี้ไม่กล้าออกมาก่อความไม่สงบอีก ที่สำคัญก็คือบรรดาลูกหลานของพวกเขาไม่ได้เกิดเรื่องอันใดร้ายแรงขึ้น การที่ยังไม่อาจหาคนลอบวางเพลิงได้ แม้จะคับข้องใจนัก แต่บัดนี้หากจะไปยั่วยุองค์ฮ่องเต้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเช่นกัน
……
ในห้องหนังสือของจวนเสนาบดีประจำกรมพิธีการ หยางฟู่กล่าวออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อขอรับ จะให้ไฉเอ๋อร์ตายไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้หรือ!”
บัดนี้ท่านเสนาบดีกรมพิธีการอายุมากแล้ว มองไปช่างดูอ่อนล้าไม่เหมือนกับในอดีตซึ่งกระฉับกระเฉง เขาไอออกมาแล้วกล่าวว่า “ไม่เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไรเล่า เจ้าลืมสิ่งที่พระชายาองค์รัชทายาทกลับมากำชับเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วหรือ”
หยางฟู่ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าทางไม่น่ามองนัก
“ไฉเอ๋อร์ทำตัวเกเร มักหาเรื่องหาราวทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่น และยังจะไปทำตัวหาเรื่องขุ่นเคืองกับคุณชายจวนปั๋วอีก หากเรื่องนี้ไปถึงหูองค์ฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะสงสารที่เจ้าสูญเสียบุตรไปและสงสารที่ข้าสูญเสียหลานหรือ อย่าได้มัวฝันไปเลย ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยแน่ ข้าจะบอกกับเจ้าให้ว่าหากเจ้ายังไม่หยุดละก็ จะทำให้พระชายาองค์รัชทายาทต้องลำบากไปด้วย…”
หยางฟู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นตระหนก
บุตรชายของเขาเป็นดั่งดวงใจ ส่วนพระชายาองค์รัชทายาทก็คือหน้าตาของตระกูลหยาง รอให้องค์รัชทายาทขึ้นครองตำแหน่งแล้ว ตระกูลหยางก็จะเป็นตระกูลของฮ่องเต้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นมู่เอินปั๋ว
จะว่าไปแล้วเป็นเพียงปั๋ว ถึงอย่างไรอำนาจก็ไม่สู้เท่าเสนาบดีได้ แต่ความสำเร็จแห่งจวนเสนาบดีนั้นล้วนเป็นท่านพ่อที่ก่อตั้งขึ้นมา หากว่าวันใดท่านพ่อออกจากตำแหน่งแล้ว หากว่าภายในสิบปีนี้ไม่มีบุตรหลานคนใดประสบความสำเร็จในด้านอาชีพหรือเข้ารับราชการละก็ ในไม่ช้าตระกูลหยางก็จะต้องออกจากวงผู้ดีในเมืองหลวง เมื่อถึงเวลาแล้วผู้ใดเล่าจะยังจำได้ว่าตระกูลหยางเคยรุ่งเรืองมาก่อน แต่หากว่าได้เป็นตำแหน่งปั๋วก็จะแตกต่างกัน ตำแหน่งมู่เอินปั๋วนั้นสามารถสืบทอดต่อไปได้ ต่อให้บรรดาบุตรหลานของเขาไร้ความสามารถ ก็ยังคงมีอำนาจอยู่ในเมืองหลวงได้หลายชั่วอายุคน
“ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”
หยางฟู่เองก็เคยเป็นคนเกเรในวัยเยาว์ บัดนี้เมื่อถึงวัยกลางคนก็นับว่ามั่นคงขึ้นมาก ตามปกติแล้วความเย่อหยิ่งของเขาไม่ได้มาจากความไม่รอบรู้ แต่เป็นเพราะคนที่เขาเผชิญหน้าด้วยไม่คู่ควรที่จะต้องทำดีด้วยต่างหาก บัดนี้ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัย ต่อให้อารมณ์ของตนจะดุเดือดรุนแรงเพียงใดก็ไม่กล้าเข้าไปเผชิญหน้า ทำได้เพียงกัดฟันเก็บทนเอาไว้
“วันพรุ่งนี้ข้าคงจะต้องเดินทางเข้าวังสักหน่อย” เสนาบดีกรมพิธีการยกมือขึ้นกุมขมับอย่างเหนื่อยล้า
หลานชายของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน แม้ว่าร่างกายอันอ่อนแอของตนจะทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสงสารเห็นใจ แต่หากเวลานานไปเข้า ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าตัวเขานั้นแก่ชราลงแล้ว และเสนาบดีกรมพิธีการก็ควรจะเปลี่ยนคนขึ้นมา จะทำเยี่ยงไรเล่า
……
ณ เรือนไห่ถัง มีต้นไห่ถังผลิดอกออกผลขนาดโต มองไปคาดว่าใกล้จะสุกแล้ว กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยผลทำให้ผู้คนชื่นชอบยิ่งนัก
อาหมานกระโดดโล้ดเต้นเข้าไปในเรือนก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนูเจ้าคะ คดีนี้นับว่าสิ้นสุดแล้ว”
เจียงซื่อกะพริบตาเล็กน้อย รอยยิ้มอันผ่อนคลายของนางปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ข้ารู้แล้ว”
เมื่อนึกถึงทุกรายละเอียดที่ผ่านมา นางก็รู้สึกว่าไม่มีส่วนใดที่บกพร่องเลย แต่หากต้องเผชิญหน้ากับเจินซื่อเฉิงคู่ต่อสู้ที่ละเอียดรอบคอบเช่นนั้นนางก็รู้สึกกดดันเช่นกัน
หากวันใดที่คดียังไม่สิ้นสุดลง หัวใจของนางดวงนี้ก็ไม่อาจผ่อนคลายลงได้
“โอ้สวรรค์โปรด ในที่สุดข้าก็สามารถนอนหลับสนิทได้สักที!” อาหมานนำมือทั้งสองข้างเข้าประกบกันแล้วพึมพำออกมา สายตาของเจียงซื่อยังไม่ละไปไหน นางมองไปในตะกร้าที่อาหมานแขวนไว้ที่แขน “นั่นคืออะไร”
อาหมานจึงนึกขึ้นมาได้แล้วรีบเปิดผ้าที่คลุมตะกร้าเอาไว้ออก พบว่าด้านในคือพุทราสีแดงสด “คุณหนูเจ้าคะ นี่คือพุทราของคุณชายอวี๋เจ้าค่ะ”
“ผู้ใดนะ” เจียงซื่อคิดว่าตนฟังผิดไปจึงได้เอ่ยถามอีกครั้ง
“คุณชายอวี๋ไงเจ้าคะ ที่เรือนของเขาด้านหน้ามีต้นพุทราคอหักอยู่ไม่ใช่หรือ พุทรานี้ก็เก็บมาจากที่ต้นนั่น”
“เขาเอามาให้เจ้าได้อย่างไร”
“คุณหนูยังไม่รู้หรอกหรือเจ้าคะ ในวันนี้คุณชายอวี๋เดินทางมาเยี่ยมคุณชายรองที่จวน พุทราตะกร้านี้คุณชายอวี๋เป็นผู้นำมา คุณชายรองรู้สึกว่าพุทราช่างหวานนักจึงได้ให้อาจี๋นำมาให้คุณหนู ระหว่างทางนั้นพบเข้ากับบ่าวพอดี บ่าวจึงได้พามันนำกลับมาคุณหนูลองชิมดูสิเจ้าค่ะ พุทรานี้ช่างหวานเสียจริง”
เจียงซื่อยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนเอง
อวี้ชีเดินทางมาที่จวนนจริงๆ!
“ไร้สาระ ของเหล่านี้จงเก็บไปให้จนสิ้น” เมื่อเห็นท่าทางอันปีติยินดีของบ่าวรับใช้ เจียงซื่อก็ตำหนิออกมา
อาหมานกะพริบตาแล้วถามอีกครั้งหนึ่งว่า “แล้วคุณหนูจะลองชิมดูหรือไม่” พุทรานั้นมีขนาดทั้งใหญ่กลมโตสีแดงสด มองไปก็รู้ว่ามันถูกล้างและเช็ดอย่างสะอาดสะอ้านแล้ว ช่างน่ากินเหลือเกิน
เจียงซื่อจึงหยิบมันขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในปากลิ้มรส