ในขณะนี้ อวี้จิ่นกำลังนั่งสนทนากับเจียงจั้นอยู่ในเรือนไผ่ แต่จิตใจของเขาได้ล่องลอยออกไปไกลแล้ว
ไม่รู้ว่าเจียงซื่อได้ลองชิมพุทราที่เขาส่งไปแล้วหรือยัง พุทราเหล่านั้นเขาเป็นคนคัดเลือกและล้างมันด้วยตัวเอง
“พี่อวี๋ชี?”
อวี้จิ่นจึงได้สติกลับคืนมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจียงจั้นกินพุทราที่เขานำมาไปตั้งเจ็ดแปดเม็ดก็รู้สึกโมโห
เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนใดที่ชอบกินของหวานเช่นนี้ หากจะลองชิมก็ชิมสักเม็ดพอแล้ว
เจียงจั้นกำลังรู้สึกประทับใจ เขากล่าวขึ้นมาว่า “พี่อวี๋ชี ในครั้งนั้นที่เดินทางกลับมาจากศาลาว่าการ โชคดีเหลือเกินที่ท่านอยู่ที่นั่น ไม่เช่นนั้นข้าและน้องสี่คงจะถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างแน่นอน หากข้าถูกรังแกยังไม่เท่าไหร่ แต่หากน้องสี่ถูกรังแกล่ะก็ ข้าคงไม่ให้อภัยตัวเองและคงต้องฆ่าตัวตายชดใช้ความผิด”
อวี้จิ่นไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ในใจเขานึกว่า รู้ก็ดีแล้ว! คนเป็นพี่ชายไม่ควรจะหาเรื่องและนำพาน้องสาวไปลำบากด้วย หากเขาไม่ชดใช้ด้วยชีวิต ยังจะอยากลดโทษลงอีกหรือ!
“พี่อวี๋ชี ไม่เพียงแต่นำอาหารราคาแพงบำรุงร่างกายเหล่านี้มา อีกทั้งยังนำพุทราจีนมาอีกด้วย ข้าเกรงใจเหลือเกิน”
“พุทราบำรุงเลือด” อวี้จิ่นกล่าวเบาๆ
“อ้อ จริงสิ พี่อวี๋ชีจะย้ายบ้านอย่างงั้นหรือ”
อวี้จิ่นพยักหน้า “อืม”
“ที่ตรอกเชวี่ยจื่อนั้นก็อยู่สบายดีไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงจะย้ายกันเล่า”
“ทางตระกูลหาที่อยู่ให้หลังใหม่ ไม่ย้ายไม่ได้”
“เช่นนั้นหมายความว่าต่อไปจากนี้ พี่อวี๋ชีก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วหรือ”
อวี้จิ่นครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “คนมากมายทีเดียว”
เจียงจั้นรู้สึกเสียใจเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ในอนาคตข้าจะไปเที่ยวหาพี่อวี๋ชีคงไม่สะดวกแล้ว”
มีผู้คนมากมายในตระกูล นอกจากพี่อวี๋ชีแล้วเขาไม่รู้จักใครอีกเลย หากเดินทางไปพบก็คงจะค่อนข้างเคอะเขิน
แต่อวี้จิ่นเข้าใจได้เป็นอย่างดี เขาจึงกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก หากเจ้ารู้สึกว่าไม่สะดวกจะไปหาข้า เช่นนั้นข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ เอง”
เจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดีนัก “พี่อวี๋ชีกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ท่านพ่อของข้าชื่นชมท่านเหลือเกิน และมักจะกล่าวให้ท่านมาเที่ยวเล่นอยู่บ่อยๆ” อวี้จิ่นยิ้มออก
“จะรังเกียจได้อย่างไรเล่า ดูเหมือนท่านพ่ออยากจะให้ท่านมาเป็นบุตรชายจริงๆ เหลือเกิน” เจียงจั้นเบ้ปาก
“ท่านลุงไม่รังเกียจก็พอ”
“ว่าอย่างไรนะ”
อวี้จิ่นกะแอมออกมาแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าหมายถึงว่า ข้ารู้สึกยินดีเหลือเกินที่ท่านลุงรักและเมตตาข้าเพียงนี้”
เจียงจั้นนิ่งเงียบ ผ่านไปสักพักจึงได้เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่อวี๋ชี ท่านพ่อของพี่ปฏิบัติไม่ดีต่อพี่หรือ” หากว่าทั้งสองไม่ได้สนิทสนมกันเช่นนี้เขาก็คงไม่กล้าจะเอ่ยถาม
เจียงจั้นครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าหากพี่อวี๋ชีได้เป็นน้องเขยของเขาจริงๆ ก็คงไม่เลว เวลาที่น้องสี่เผชิญหน้ากับอันตรายอย่างน้อยเขาก็ยังสามารถเข้ามาปกป้องได้ แต่เรื่องในตระกูลของพี่อวี๋ชีนั้นดูมีความซับซ้อนน่าเป็นห่วง เขามักจะรู้สึกว่าการที่พี่อวี๋ชีใช้ชีวิตเเต่อยู่ในเมืองหลวงเพียงคนเดียวเช่นนี้ ดูเหมือนว่าในตระกูลฐานะตำแหน่งของอวี๋ชีจะไม่ดีเท่าไรนัก
เมื่อได้ยินคำถามของเจียงจั้นเช่นนั้น อวี้จิ่นก็คงคิดอยู่สักครู่แล้วยิ้มตอบว่า “เจ้ารู้ดีว่าตระกูลข้านั้นมีพี่น้องมากมาย ด้วยเหตุนี้เองท่านพ่อจึงไม่มีเวลาใส่ใจลูกแต่ละคนมากมายนัก นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ก็ไม่ใช่ว่าท่านพ่อปฏิบัติกับข้าไม่ดีหรอก แต่ข้ารู้สึกว่าทำเช่นนี้ค่อนข้างจะเป็นอิสระ อย่างน้อยไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ต้องกังวลผู้ใหญ่จับตามอง เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เมื่อเจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าถูกต้อง บิดาของเขามีเขาเป็นบุตรชายเพียงแค่คนเดียว ดังนั้นจึงจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา “พี่อวี๋ชีกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “น้องรอง ก่อนหน้านี้เรื่องที่ให้ไปสอบถามพอจะได้ความบ้างแล้ว บัดนี้หน่วยองครักษ์จินอู๋มีตำแหน่งว่างอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากไปหรือไม่”
“องครักษ์จินอู๋หรือ!” เจียงจั้นผงะ ผ่านไปชั่วครู่เขาก็ชี้ไปที่ตนเองแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านหมายความว่าข้าสามารถไปทำงานที่หน่วยองครักษ์จินอู๋ได้หรือ”
ในราชวงศ์ต้าโจวนี้ ตำแหน่งองครักษ์จินอู๋และองครักษ์จิ่นหลินเป็นทหารองครักษ์ที่โดดเด่นที่สุด
ชื่อเสียงขององครักษ์จิ่นหลินนั้นไม่ต้องกล่าวถึง ส่วนองครักษ์จินอู๋นั้นมีหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยของราชวงศ์เกือบทั้งหมด และโดยมากมักจะได้รับคัดเลือกมาจากบุตรหลานตระกูลผู้ดี หรือบุตรหลานในตระกูลนักรบ
ตอนนั้นเจียงจั้นเคยขาดเรียนครั้งหนึ่งระหว่างการคัดเลือกองครักษ์จินอู๋ จึงทำให้ไม่ถูกคัดเลือก
ในตอนนั้นเขาอายุเพียงแค่สิบสามปี หลังจากที่ไม่ได้รับคัดเลือกก็ได้ฝึกฝนอยู่อีกสองปี แต่หลังจากนั้นองครักษ์จินอู๋ก็ไม่ได้จัดการคัดเลือกครั้งใหญ่ขึ้นอีก โดยมากแล้วตำแหน่งนั้นมักจะขาดแคลน
ตระกูลใหญ่โตโดยมาก ทายาทมักจะถูกลิขิตให้สืบทอดการงานในตระกูล หรือกำหนดให้ร่ำเรียนตำราคัมภีร์ต่างๆ บุตรหลานมากมายเพียงนั้น แทนที่จะอยู่แต่ในจวน หากออกไปทำงานบ้านก็คงดี องครักษ์จินอู๋เป็นสถานที่ฝึกฝนชายหนุ่มให้มีอนาคตที่ดี งานสบายเงินดี บางครั้งยังได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ดังนั้นจึงกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ ล้วนต้องการ
เจียงจั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะโชคดีเพียงนี้ จึงได้เอ่ยถามอีกครั้งว่า “พี่อวี๋ชี ข้าสามารถไปเป็นองครักษ์จินอู๋ได้จริงหรือ”
อวี้จิ่นยิ้มแล้วพยักหน้า “ตราบที่เจ้าต้องการ”
“แน่นอนว่าข้าต้องการ หากข้าไม่ไปคงจะโง่เง่านัก!” เจียงจั้นทำท่าทางยิ้มแย้มแล้วกระโดดขึ้นด้วยความปีติ
เขาจะได้เข้าไปทำงานกับองครักษ์จินอู๋ นับจากนี้ไม่ต้องศึกษาตำราแล้ว อีกทั้งยังสามารถนำเงินที่หามาได้ด้วยตนเองซื้อของกินของใช้ให้แก่น้องสาวได้ อ้อไม่สิ ควรจะนำเงินที่ติดหนี้น้องสี่เอาไว้คืนไปสักที
เมื่อคิดได้ดังนี้ เจียงจั้นก็รู้สึกอยากจะไปรายงานตัวที่หน่วยองครักษ์จินอู๋เหลือเกิน
อวี้จิ่นเอ่ยเตือนว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้ายังศึกษาตำราอยู่ในสำนักศึกษา การที่จะเดินทางสายอื่นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ควรจะปรึกษากับบิดาดูเสียก่อน”
“ท่านพ่อจะต้องเห็นด้วยแน่”
“ตกลง ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า”
หลังจากที่ส่งอวี้จิ่นกลับไปแล้ว เจียงจั้นก็ได้รีบเดินทางไปหาเจียงอันเฉิงที่ห้องหนังสือ ในไม่ช้าเสียงดังคำรามก็สะท้อนออกมาจากในห้องหนังสือว่า “เจ้าว่าอย่างไร! จะไม่ศึกษาตำราแล้ว เจ้าเด็กนอกคอก! การที่เจ้าเดินทางไปเที่ยวเล่นในแม่น้ำจินสุ่ยแล้วไม่ถูกข้าตำหนิ เจ้าคิดว่าตนกล้าหาญมากงั้นหรือ”
เจียงจั้นรีบยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ โปรดฟังข้าให้จบเถิด พี่อวี๋ช่วยหางานให้ข้า!”
เมื่อได้ยินเจียงจั้นกล่าวถึงอวี้จิ่น เจียงอันเฉิงที่กำลังจะยกมือขึ้นทุบตีบุตรชายก็ขมวดคิ้วชะงักลงแล้วถามว่า “เสี่ยวอวี๋หางานให้เจ้างั้นหรือ”
เจียงจั้นพยักหน้า “ขอรับ พี่อวี๋ชีหางานให้ข้า”
“หากเจ้าไม่ศึกษาตำราแล้วจะทำอะไรได้อีก หรือเจ้าจะไปเปิดร้านค้าขายเช่นคนอื่นเขา? เดิมทีข้าคิดว่าเสี่ยวอวี๋เป็นคนน่าเชื่อถือ คาดไม่ถึงว่าเขาจะติดนิสัยเช่นนี้จากเจ้าไปด้วย”
เมื่อเจียงจั้นได้ยินดังนั้นปากเขาก็กระตุกเล็กน้อย
ใครเป็นลูกของท่านพ่อกันแน่ ปกติทั่วไปแล้วควรจะกังวลว่าคนอื่นจะมาทำให้บุตรของตนต้องเสียคนมิใช่หรือ เหตุใดท่านพ่อจึงกลับกันเช่นนี้
“ท่านพ่อขอรับ ลองฟังดูก่อนเถอะว่าพี่อวี๋ชีหางานอันใดให้ข้า แล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง”
“งานอะไรเล่า”
เจียงจั้นยิ้มกว้างแล้วกล่าวว่า “องครักษ์จินอู๋!”
เจียงอันเฉิงชะงักลง เขาคิดว่าตนฟังผิดไปเสียอีก “องครักษ์จินอู๋?”
“ขอรับท่านพ่อ องครักษ์จินอู๋ที่ท่านพ่อปรารถนา” เจียงจั้นมองไปทางบิดาด้วยท่าทางสดชื่นยิ่งนัก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะสามารถทำท่าทางมีความสุขต่อหน้าบิดาได้เช่นนี้
“บัดนี้หน่วยองครักษ์จินอู๋คัดเลือกยากยิ่งนัก เหตุใดเสี่ยวอวี๋จึงสามารถหางานอันดีเช่นนี้ให้เจ้าได้” เจียงอันเฉิงครุ่นคิดอย่างน่าประหลาดใจ
“พี่อวี๋ชีช่วยเหลือผู้คนไว้มากมาย คนอื่นคงต้องการจะตอบแทนช่วยเหลือเขาบ้างกระมัง”
“งานดีเช่นนี้ เหตุใดเสี่ยวอวี๋จึงไม่ไปทำเองเล่า”
เจียงจั้นยกมือขึ้นกุมศีรษะ “ท่านพ่อขอรับ หากท่านยังเป็นอย่างนี้ข้าเองก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกและสงสัยในชีวิตตนเองเหลือเกิน”
เจียงอันเฉิงตบลงไปที่ศีรษะเขาแล้วกล่าวว่า “จะมัวสงสัยอะไรกันอีก รีบเรียกเสี่ยวอวี๋มากินข้าวด้วยกันเร็ว!”
“ขอรับท่านพ่อ เช่นนั้นข้าไม่เดินทางไปที่สำนักศึกษาแล้วนะขอรับ ถือโอกาสช่วงนี้ฝึกซ้อมสักหน่อย”
เจียงอันเฉิงทำสีหน้าท่าทางนิ่งเงียบแล้วครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “เจ้าไม่ไปที่สำนักศึกษาก็ย่อมได้ แต่ก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปรับงานนี้ อย่าได้บอกให้ผู้อื่นรู้”
“ลูกจะไม่ป่าวประกาศไปอย่างแน่นอน มากสุดก็คงบอกเพียงน้องสี่”
ในสายตาของคนจวนตงผิงปั๋ว เจียงจั้นเป็นเพียงผู้ที่ไร้ประโยชน์ เขามักจะขาดเรียนเป็นประจำ ดังนั้นจนกระทั่งใกล้เทศกาลชิวเหวย ผู้คนในจวนจึงค่อยพากันค้นพบเรื่องหนึ่งว่า คุณชายรองไม่ได้ศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาแล้ว!