เฝิงเหล่าฮูหยินกำลังหงุดหงิดเรื่องของบ้านใหญ่อยู่ เมื่อครั้นนายในจวนพร้อมหน้ากันรับประทานอาหาร นางจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการระบายอารมณ์โมโหออกมา “เหล่าต้า เรื่องที่จั้นเอ๋อร์ไม่ได้ไปศึกษาตำราแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า?”
เจียงอันเฉิงชะงักลงเล็กน้อย
บุตรชายของเขามีความสามารถเช่นไรใครๆ ล้วนรู้ดี การที่เขาไม่ไปศึกษาตำราจะต้องบอกให้ผู้ใดรับรู้ด้วยหรือ
“นับจากที่จั้นเอ๋อร์ตกน้ำในครั้งนั้นก็ไม่ได้เดินทางไปสำนักศึกษาอีก ต่อมาเขาบอกกับข้าว่าตั้งใจจะไปหางานทำ ตัวข้าเองคิดว่าต่อให้เขาร่ำเรียนไปก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ จึงได้ตอบตกลงเขา ส่วนที่ข้าไม่ได้บอกกับท่านแม่ เป็นเพราะเห็นว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านลำบากใจขอรับ”
ดวงตาของเฝิงเหล่าฮูหยินกวาดมองไปที่เจียงจั้น ก่อนจะเอามือตบลงไปบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “เหล่าต้า นี่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าฮ่องเต้มอบสิ่งใดให้กับจั้นเอ๋อร์?”
“แน่นอนว่าลูกจำได้ ฮ่องเต้มอบสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ[1]ให้แก่จั้นเอ๋อร์”
เฝิงเหล่าฮูหยินโมโหเสียจนอยากจะยกไม้เท้าขึ้นเคาะศีรษะบุตรชายคนโตของตน นางอยากจะรู้เหลือเกินว่าด้านในมีแต่ขี้เถ้าหรือไร “ฮ่องเต้ได้มอบสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือให้แก่จั้นเอ๋อร์ ทว่าจั้นเอ๋อร์กลับไม่ได้แม้แต่ใส่ใจศึกษาตำรา นี่ช่างเป็นเรื่องตลกยิ่งนัก หากว่าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของฮ่องเต้ เจ้าว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างไรกับจวนปั๋วของพวกเรา!”
“ท่านย่า ท่านคิดมากไปแล้วขอรับ ฮ่องเต้มีเรื่องต้องจัดการมากมาย จะจำได้อย่างไรว่าหลานคือผู้ใด” เจียงจั้นอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา
“จงหุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!” เฝิงเหล่าฮูหยินตำหนิเจียงจั้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง
แม้ว่าฮ่องเต้จะให้การปลอบโยนจวนตงผิงปั๋วจากเหตุการณ์ในแม่น้ำจินสุ่ยครั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรเจียงจั้นก็ได้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ตระกูลที่มีชื่อเสียงหลายตระกูล หากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจียงจั้นในตอนนั้น แน่นอนว่าเฝิงเหล่าฮูหยินคงจะรู้สึกเสียใจและเจ็บปวด แต่บัดนี้เมื่อเจียงจั้นยังมีชีวิตอยู่สุขสบายดี ทำให้ในใจของเฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา หลานชายของนางคนนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวเสียจริง ในอนาคตไม่รู้เลยว่าเขาจะสร้างปัญหาให้แก่จวนปั๋วอีกมากมายเท่าไร
เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อจึงได้กล่าวเสริมขึ้นว่า “จั้นเอ๋อร์ ที่เหล่าฮูหยินกล่าวมานั้นไม่ผิด บัดนี้เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ควรคำนึงถึงจวนปั๋วของพวกเราบ้างก่อนจะกระทำการใดลงไป อย่าได้เอาแต่ใจตนเอง”
บัดนี้อารมณ์ของเซียวซื่อค่อนข้างซับซ้อน ประการแรก การที่เจียงจั้นไม่มีความสามารถใด จึงทำให้บุตรชายคนโตของนางเจียงชังดูโดดเด่นขึ้นมา แน่นอนว่านางย่อมยินดีเป็นธรรมชาติ แต่อีกประการหนึ่ง นางกลับมีความคิดอิจฉาริษยาของพระราชทานทั้งสี่ในห้องหนังสือของเจียงจั้น บัดนี้ใกล้ช่วงเวลาการสอบชิวเหวย หากว่าของพระราชทานนี้ประทานมาให้แก่ชังเอ๋อร์ คาดว่าโอกาสที่ชังเอ๋อร์จะผ่านสอบระดับท้องถิ่นคงจะมีสูงมากทีเดียว
ในเรื่องของการศึกษาตำรา เจียงชังนับว่ามีพรสวรรค์ยิ่งนัก เขาได้รับตำแหน่งซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนสอบระดับท้องถิ่นในครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นครั้งแรก แต่ท่านอาจารย์และนายท่านล้วนกล่าวว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่
คำว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หมายความว่าอาจมีข้อผิดพลาดขึ้นได้เช่นกัน แต่หากว่าเจียงชังมีเครื่องรางคอยคุ้มกันเป็นของประทานทั้งสี่นี้ ก็จะแตกต่างไปจากเดิม
เซียวซื่ออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน เหตุใดหนอสิ่งสำคัญทั้งสี่ในห้องหนังสือนี้จึงได้ประทานไปให้แก่เจียงจั้น ซึ่งไม่ใช่ผู้เหมาะสมในการศึกษาตำรา อีกทั้งยังโง่เง่าเหลือหลาย
“เหตุใดจึงกล่าวว่าการที่ข้าไม่ศึกษาตำราเป็นการเอาแต่ใจเล่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะอยู่เฉยๆ สักหน่อย”
เจียงซื่อพอจะได้ยินเรื่องที่อวี้จิ่นจะจัดการให้เขาเข้าไปอยู่ในหน่วยองครักษ์จินอู๋จากปากของเจียงจั้นมาบ้างแล้ว แม้นางจะค่อนข้างเชื่อมั่นว่าจากฐานะตำแหน่งของอวี้จิ่นคงไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น แต่ใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอน ดังนั้นก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งก็ควรจะถ่อมตัวเอาไว้ก่อน
นางเกรงว่าบัดนี้พี่ชายคนโตของนางจะอดใจไม่ไหวและโพล่งออกไป ดังนั้นจึงได้รีบตัดบทสนทนากลับไปว่า “อาสะใภ้รอง ท่านคิดผิดไปแล้ว การที่พี่รองของข้าไม่อยากศึกษาตำรา ก็เป็นเพราะคิดแทนจวนปั๋วของเราต่างหาก”
เซียวซื่อเม้มริมฝีปาก “คุณหนูสี่ ลองกล่าวมาสิว่าคุณชายรองคิดแทนจวนปั๋วของเราเช่นไร!”
เดิมทีนางต้องการจะกระแหนะกระแหนด้วยคำพูดที่รุนแรงกว่านี้ แต่เมื่อคิดได้ว่าในมือของเจียงซื่อมีหยกสมปรารถนานั้นอยู่ สิ่งที่ทำได้เพียงจึงเป็นเพียงเก็บคำเหล่านั้นเอาไว้
แน่นอนว่าแท้จริงแล้วหยกสมปรารถนานั้น คงไม่อาจทำให้ผู้เป็นอาสะใภ้เช่นนางไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูด แต่นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเจียงซื่อดูเหมือนจะมีความสามารถพิเศษกว่าคนอื่นๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นานที่เจียงจั้นตกน้ำ เจียงซื่อก็เห็นแตกต่างไปจากผู้อื่น ทุกคนล้วนเชื่อว่าเจียงจั้นตกน้ำตายไปแล้ว ไร้สิ้นความหวัง มีเพียงเจียงซื่อเท่านั้นที่เชื่อมั่นว่าพี่ชายของตนยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังกล่าวว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเจียงจั้นก็รอดชีวิตกลับมาอย่างปลอดภัย
และหลังจากนั้น เจียงซื่อได้เข้าไปพัวพันกับกลุ่มชายหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นใครที่ถูกผิด แต่ถึงอย่างไรสตรีก็มักเสียเปรียบเสมอ ทว่าฮ่องเต้กลับประทานหยกสมปรารถนาให้แก่นาง จึงไม่มีผู้ใดกล้าหยิบยกเรื่องในวันนั้นขึ้นมาพูดต่อ ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับว่าเป็นการขัดแย้งกับฮ่องเต้
เหตุใดแม่นางผู้นี้จึงโชคดีนักหนา
เมื่อเผชิญหน้ากับเซียวซื่อที่เอ่ยถามออกมาเช่นนี้ เจียงซื่อจึงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “การที่พี่รองศึกษาตำราก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายด้วย หากหางานทำเสีย ไม่ว่าค่าตอบแทนเท่าไหร่ก็จะต้องมอบให้แก่ส่วนกลาง ทางหนึ่งลดเรื่องรายจ่าย อีกทางหนึ่งคือเพิ่มรายรับ เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะคิดแทนส่วนรวมหรือ”
เจียงจั้นรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที
เหตุใดเขาจึงลืมไปได้เล่าว่าต่อให้ได้รับค่าตอบแทนมาก็จะต้องส่งมอบไปยังส่วนกลาง มองดูแล้วเงินที่ติดค้างน้องสี่เอาไว้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะชดใช้หมด
เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “จวนปั๋วมีปัญญาส่งพวกเจ้าเรียนหนังสือสูงๆ อีกอย่างหนึ่ง รุ่นลูกหลานเช่นพวกเจ้าหากหาเงินมาได้ก็เก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องนำมาให้ส่วนกลาง”
เจียงจั้นรู้สึกสดชื่นขึ้นทันใด
“หลานเห็นว่าควรที่จะให้พี่รองทำในสิ่งที่เขาถนัด ไม่ใช่เดินไปในทางที่เขาไม่ชอบ”
เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวขึ้นขัดนางอย่างไม่เกรงใจว่า “เขาถนัดเรื่องใดกัน ต่อยตีหรือ”
ใบหูของเจียงจั้นแดงเรื่อ เขากำหมัดเอาไว้แน่นพยายามอดทนกับความโกรธ
เขาจะทำตัวหุนหันพลันแล่นอีกไม่ได้ เขาจะรอดูวันที่ตนสวมชุดองครักษ์จินอู๋ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะรอดูท่านย่าจะว่าอย่างไร… ชิ
ขณะเดียวกันริมฝีปากของเซียวซื่อก็เผยอขึ้นยิ้มออกมาอย่างเยาะเย้ยก่อนจะหายไป
เฝิงเหล่าฮูหยินให้ความสำคัญกับบุตรชายคนโตของตนยิ่งนัก นางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่เจียงจั้นไร้ความสามารถ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ แต่ก่อนหน้านั้นเฝิงเหล่าฮูหยินไม่เคยแสดงท่าทางอันชัดเจนเช่นนี้ออกมาเลย
เจียงซื่อได้แต่แอบส่ายหน้า
มองดูแล้ว ท่านย่าจะดูถูกพี่รองของนางมาก ต่อให้นางกล่าวสิ่งใดออกไปอีกก็ไร้ประโยชน์ คงต้องรอให้พี่รองไปทำงานในหน่วยองครักษ์จินอู๋และเปลี่ยนมุมมองของทุกคนด้วยตนเองแล้ว
ในตระกูลของนาง ผู้ที่อ่านออกเขียนได้มีน้อยนัก และมีเพียงคนเดียวที่จะมีคุณสมบัติในการสืบทอดตระกูลต่อไป ส่วนพวกที่เหลือหากได้เข้าไปร่วมหน่วยองครักษ์จินอู๋ได้ก็นับว่าเป็นทางออกที่ดี
เรื่องเจียงชังลูกพี่ลูกน้องของนาง เจียงซื่อรู้สึกพูดยากจริงๆ
เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องของนางผู้นี้มีความสามารถด้านการศึกษาตำราก็จริง สอบผ่านการคัดเลือกระดับเขตไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย ทว่าชิวเหวยในครั้งนี้เกรงว่าจะต้องทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง… เพราะเจียงชังอาเจียนออกมาในสนามสอบอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกหามออกไป จึงทำให้พลาดสอบระดับท้องถิ่นในปีนี้
“อย่าได้กล่าวแต่สิ่งไร้สาระเหล่านี้อีกเลย วันพรุ่งนี้เจ้ากลับไปที่สำนักศึกษาเสีย!” ท้ายที่สุดแล้วเฝิงเหล่าฮูหยินก็ได้ออกคำสั่งเด็ดขาด
เจียงจั้นไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขากล่าวออกมาอย่างดื้อรั้นว่า “เรื่องการศึกษาตำราให้พี่ใหญ่เป็นคนจัดการก็พอแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไป!”
เมื่อเขากล่าวจบก็ก้าวออกไปทันที ทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินโมโหเสียจนริมฝีปากสั่น นางกำชับกับอาฝูอย่างรวดเร็วว่า “ไปบอกกับพ่อบ้านว่านับจากเดือนนี้เป็นต้นไป งดให้เงินคุณชายรอง!”
เซียวซื่อพยายามเสแสร้งและอดทนในการปลอบโยนเฝิงเหล่าฮูหยิน
หลังจากข่าวคราวที่คุณชายรองถูกระงับเงินในแต่ละเดือนเผยแพร่ออกไป อีกฝ่ายหนึ่งคือคุณชายใหญ่ที่กำลังเตรียมสอบอย่างเคร่งเครียด อีกฝ่ายหนึ่งคือคุณชายรองที่ไม่ยอมไปศึกษาตำรา หากทั้งสองคนนี้นำมาเปรียบเทียบกันแล้วช่างชัดเจนเหลือเกิน ทุกคนในจวนเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ล้วนพากันส่ายหน้า
“หึๆ ข้ามองออกตั้งนานแล้วในเรื่องนี้ ที่คุณชายรองไม่สร้างปัญหาก็นับว่าดีเหลือเกินแล้ว เขาไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมในการศึกษาตำราเลย”
“ก็ใช่น่ะสิ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจสู้กับคุณชายใหญ่ได้”
“แน่นอน นายท่านรองเป็นถึงจิ้นซื่อ คุณชายใหญ่จะทิ้งแถวไปได้อย่างไร สอบชิวเหวยครั้งนี้เขาต้องได้รับคัดเลือกแน่นอน!”
เมื่อเซียวซื่อได้ยินบ่าวรับใช้สนทนากันเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกพอพอใจ
ในไม่ช้า สอบระดับท้องถิ่นแห่งรัชศกจิ่งหมิงปีที่สิบแปดก็มาถึง
—————————–