บทที่ 222 เข้ามาสิ อยากสู้กันนักไม่ใช่หรือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 222 เข้ามาสิ อยากสู้กันนักไม่ใช่หรือ

มือของเถิงเอ๋อถูกอาซือจับไว้ตลอดเวลา เวลานี้ฝ่ามือของเขาจึงมีเหงื่อผุดซึมออกมาไม่น้อย เขาเป็นกังวลจนไม่กล้าเอ่ยถามเสียงดัง “เรา… เราแอบตามไปเช่นนี้ ถ้าพี่อาจื้อรู้เข้าจะไม่โกรธแย่หรือ?”

อาซืออายุยังน้อย แต่กลับมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว

เด็กหญิงเองก็ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน “ก็อย่าให้ท่านพี่เห็นสิ ต่อให้เรากลับบ้านตอนนี้ ก็คงบอกพวกท่านแม่ไม่ได้อยู่ดี สู้แอบตามเขาไปแบบนี้ดีกว่า”

เถิงเอ๋อไม่เข้าใจ “กลับไปบอกท่านแม่และท่านอาซูไม่ได้หรือ? ถึงตอนนั้นพี่จื้อและพี่เอ้อหลางอาจจะไม่ถูกรังแกก็ได้นะ…”

อาซือส่ายหน้าทันที “ไม่ได้! นี่เป็นเรื่องของเด็กอย่างเรา ต้องจัดการด้วยตัวเอง จะให้ผู้ใหญ่ออกหน้าไม่ได้!”

หลัง ๆ มานางได้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก ๆ คนอื่นมากขึ้น จึงเข้าใจเหตุผลนี้

บางครั้งความขัดแย้งระหว่างเด็ก ๆ ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปบอกผู้ใหญ่ ก็อาจจะดึงดูดความไม่พอใจของเด็กทุกคนในเมือง

ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการทรยศอย่างหนึ่ง

เถิงเอ๋อผู้ซึ่งไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนนอกนัก ย่อมไม่เข้าใจในความหมายของอาซือ

แต่นิสัยของเขามักจะค่อนอบอุ่น ครั้นเห็นอาซือยืนกรานจะตามอาจื้อไป เขาก็ทำได้แค่ตามใจนาง

ทั้งสองคนจูงมือกันเดินตามหลังอาจื้อไป เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุด ไม่นานก็มาถึงร้านขายเนื้อ

กระทั่งเห็นอาจื้อเดินเข้าไปในร้านขายเนื้อ พูดคุยกับคนในร้านอยู่สองสามประโยคในเวลาเพียงไม่นาน จากนั้นก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เดิมทีอาซือและเถิงเอ๋อยืนอยู่ริมถนน เกือบจะถูกจับได้เพราะโผล่หน้าออกไป

โชคดีที่อาจื้อกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ จึงไม่ทันสังเกตเห็นเด็กทั้งสองคนที่ทำตัวหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่อีกด้าน

หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน แม้แต่มือก็ยังกำเข้าหากันจนกลายเป็นหมัดแน่น

เมื่อครู่เขาได้เข้าไปคุยกับเถ้าแก่ร้านขายเนื้อ จนสอบถามข้อมูลมาไม่น้อย…

ที่แท้หมู่บ้านตระกูลเหยาก็เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพวกเขา เจ้าอ้วนแซ่หวังก็ร่วมด้วย

อาซือยืนใกล้กับอาจื้อมาก มองแวบเดียวก็เห็นถึงความโกรธแค้นจนอยากฆ่าคนที่แสดงออกมาทางสีหน้าของพี่ชาย จึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นทันใด จากนั้นก็พูดกับเถิงเอ๋อด้วยเสียงเบา “พี่เถิง ดูเหมือนท่านพี่เข้าไปถามจนได้เรื่องบางอย่าง”

เถิงเอ๋อก็มองออกเช่นกัน กระทั่งกลืนน้ำลายด้วยความกังวล จากนั้นก็พูดเบา ๆ ว่า “ไปกันเถอะ เราตามไปดูกัน บางทีพี่เอ้อหลางอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้”

อาซือและเถิงเอ๋อติดตามเขาเหมือนเงาตามตัว ไม่นานก็มาถึงลานเล็กที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง กำแพงด้านนอกของลานเล็กแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ แม้แต่รอยแตกระแหงบนกำแพงก็ถูกกาลเวลายึดครองจนกลายเป็นสีเขียวปี๋ มีพุ่มไม้ที่ไร้คนเหลียวแลแตกกิ่งก้านอยู่ในมุมกำแพง เห็นได้ชัดว่าว่าไม่ค่อยมีใครผ่านเข้ามาที่นี่

อาจื้อที่เพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันในลานแห่งนั้น เหยาเอ้อหลาง!

เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นพุ่งเข้าไปในลานแห่งนั้นทันที

ลูกกระจ๊อกตัวน้อยที่ตามอยู่ข้างนอกทั้งสองคนไม่กล้าอะไรบุ่มบ่าม เพียงเสาะหากำแพงที่แตกเป็นรูอย่างชาญฉลาด คุกเข่ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนั้นอย่างเงียบ ๆ

กระทั่งเห็นคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอยู่ในลานแห่งนั้นอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งคือเหยาเอ้อหลางที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลและอาจื้อที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ส่วนอีกด้าน คนที่อยู่หน้าสุด อาซือไม่รู้จัก แต่ใบหน้าของเจ้าอ้วนที่อยู่ด้านหลังของเขา อาซือไม่มีวันจำผิดแน่

นั่นคือเจ้าอ้วนหวังของหมู่บ้านตระกูลเหยา!

นางอุทานเสียงต่ำด้วยความตกใจ เถิงเอ๋อยิ่งเป็นกังวลขึ้นมาจึงถามว่า “เอ้อเป่า เป็นอะไรไปหรือ?”

อาซือกัดริมฝีปาก พูดเสียงเบาว่า “เจ้าเห็นเจ้าอ้วนที่อยู่ด้านหลังของผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นหรือไม่? ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลก่อนหน้านั้น เขาระดมคนตั้งกลุ่มอยู่ในหมู่บ้าน รังแกข้าและพี่ชายของข้า ด่าทอพวกเรา และยังทำร้ายพวกเราอีกด้วย”

เถิงเอ๋อมองไปทางเจ้าอ้วนคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเผยสีหน้าเป็นกังวลอย่างอดไม่ได้ “หรือระหว่างทางเขาจำพี่เอ้อหลางได้ วันนี้ก็เลยมาชำระแค้น?”

หัวคิ้วขนาดเล็กของอาซือขมวดกันเป็นปมแน่น

นางคิดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าวันนั้นมารดาของตนบุกไปหาเรื่องถึงบ้านของเจ้าอ้วนหวัง ต่อมาพวกนางก็ยังสั่งสอนเจ้าอ้วนหวังในรูปแบบของเด็ก ๆ เหตุใดวันนี้เขาถึงกล้ามาหาเรื่องอีก?

แต่เมื่อเห็นเด็กผู้ชายผู้นำของเจ้าอ้วนหวังที่ทั้งสูงทั้งกำยำคนนั้น นางกลับยิ่งเป็นห่วงท่านพี่และพี่รองว่าจะสู้ไม่ได้

กระทั่งได้ยินเจ้าอ้วนหวังเอ่ยปากขึ้นในลานเล็กแห่งนี้ เขาพูดกับเด็กผู้ชายที่แข็งแรงที่สุดคนนั้นว่า “ลูกพี่ ช่างมันเถอะ… เรา เราเองก็ไม่รู้จัก”

ในเมื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าอ้วนหวัง เช่นนั้นเด็กผู้ชายคนนั้นก็น่าจะมีแซ่ ‘หวัง’ เช่นกัน

เสียงของเขาทั้งหยาบกระด้างทั้งยากจะทนฟังได้ เขาหันไปถามญาติผู้น้องของตนว่า “เจ้าบอกเองว่าเคยมีเรื่องกับเจ้าอัปลักษณ์ผู้นี้ก่อนหน้าไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเพิ่มมาอีกคนเล่า?”

สายตาของอาจื้อเย็นยะเยือกลง ชำเลืองไปมองเจ้าอ้วนหวังที่ไม่กล้าจะพูดสักเท่าไรแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับเด็กผู้ชายคนนั้นว่า “คนที่เคยมีเรื่องกับเจ้าอ้วนหวังคือข้า ไม่ใช่ญาติผู้พี่ของข้า วันนี้พวกเจ้าจะไปยุ่งกับเขาด้วยเหตุใด?”

เด็กผู้ชายที่ตัวสูงกว่าทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ พูดเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัว “พวกเจ้าไม่ใช่พี่น้องกันหรอกหรือ? ใครจะสนว่าพวกเจ้าคนไหนมีเรื่องกับญาติผู้น้องของข้า ในเมื่อรังแกพี่น้องของข้า ยังไงวันนี้ก็ต้องเอาเงินมาให้ข้า!”

ในขณะที่พูด เขาได้หันไปถามเจ้าอ้วนหวัง “เฮ้ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าพวกเขามีเงิน เหตุใดพวกเขาถึงได้แต่งตัวซอมซ่อเช่นนี้เล่า?”

อาซือเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวของเด็กผู้ชายตัวสูงคนนั้นเป็นผ้าไหม

ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน แม้แต่เนื้อบนใบหน้าก็ยังอวบอ้วนเหมือนกัน

อาซืออดคาดเดาไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายร่างสูงคนนี้ น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่ขายเนื้อในเมือง

บังเอิญว่าบิดาของเจ้าอ้วนหวังก็คือคนขายเนื้ออยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยา

จากนั้นก็ได้ยินอาจื้อหัวเราะเสียงเย็นชาพูดเยาะเย้ยว่า “ถามญาติผู้น้องของเจ้าสิ ว่าเริ่มแรกที่รังแกเราถูกจัดการอย่างไร? เพราะคิดว่าเรามีเงิน เจ้าจึงกล้ามาปล้นงั้นสิ?”

สายตาของเขาเย็นเยือก เหมือนกับหมาป่าที่ดุร้าย ทำให้เด็กผู้ชายร่างสูงตรงหน้าเขาเริ่มสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว

หลังจากที่เขาได้สติกลับมา ก็ตระหนักได้ว่าเขากำลังถูกเด็กชายที่ตัวเตี้ยกว่าตนเกือบหนึ่งศีรษะข่มขู่เขา จึงอดโกรธเคืองเพราะความอับอายไม่ได้

เด็กชายร่างสูงกำหมัดแน่น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “เจ้าคือหลินจื้อใช่หรือไม่? เป็นเด็กที่ไม่มีพ่อเมื่อครั้งอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยาใช่หรือไม่?”

เจ้าอ้วนหวังที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาถึงกับตกตะลึง รีบเข้าไปดึงชายเสื้อของญาติผู้พี่ ส่งสัญญาณให้เขาหยุดพูด

เหยาเอ้อหลางที่เดิมทีไม่ได้เปล่งเสียงใดมาโดยตลอดก็โพล่งออกไปด้วยความโกรธ “พูดจาเหลวไหล! หยุดพูดจาสกปรกโสมมบ้างนะ”

เด็กชายยิ้มอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง จากนั้นก็กวาดตามองไปยังสหายที่อยู่ข้างกายตน และพูดกับเหยาเอ้อหลางว่า “ดูท่าทางความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อครู่จะยังไม่สาสม ทำไม ปากหายเจ็บแล้วงั้นสิถึงได้กล้าพูด?”

อาจื้อเพิ่งสังเกตเห็นว่า สาเหตุที่เหยาเอ้อหลางไม่พูดมาโดยตลอดนั้น เป็นเพราะปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด

เขาเอ่ยถามเสียงเบา “พี่รอง พี่บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางส่ายหน้าและโบกมือไปมาบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร

พวกเขาสองคนหันหลังเข้าหากำแพง อาซือและเถิงเอ๋อจึงไม่เห็นท่าทางของเหยาเอ้อหลาง แต่ในยามที่เถิงเอ๋อเบนความสนใจไปที่ ‘เด็กชาย’ ที่เพิ่งพูดจบผู้นั้น จู่ ๆ ใบหน้าของอาซือก็พลันแสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมา

ในลานแห่งนี้เจ้าอ้วนหวังเริ่มตัวสั่นงันงกเพราะหวาดกลัวสีหน้าของอาจื้อ เขาตัวสั่นระริก รีบอธิบายให้กับอาจื้อฟังอย่างกระตือรือร้น “หลิน หลินจื้อ นั่นมันคำพูดญาติผู้พี่ของข้า ข้าไม่ได้พูด! ข้า ข้าบ่นกับเขาไม่กี่คำก่อนหน้านั้น … ไม่มีเรื่องอื่น ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว!”

เขาตื่นกลัวกับคำขู่ของอาจื้อ

เริ่มแรกเป็นเพราะเขายกพวกมาทำร้ายอาจื้อ เหยาซูก็เลยบุกไปหาเรื่องถึงบ้าน อาละวาดทำลายข้าวของในบ้านของเขายังไม่พอ ผ่านไปอีกสองสามวันในตอนที่เขาอยู่ในหมู่บ้านก็ถูกอาจื้อชกอย่างแรงไปฉากหนึ่ง

ตอนนั้นเขากดอีกฝ่ายลงบนพื้น เลือกจุดที่คนภายนอกมองไม่เห็นแต่กลับเจ็บลึกถึงทรวง แล้วชกเน้นลงเนื้อ ชกจนเขาร้องไห้ไม่ออกเลยทีเดียว

หลินจื้อในตอนนั้น มีใบหน้าที่น่าหวาดกลัวเฉกเช่นในตอนนี้

ญาติผู้พี่ของเจ้าอ้วนหวังโกรธเคืองเพราะความขี้ขลาดของญาติผู้น้องของตน “เจ้าอ้วนหวัง! เรามีกันตั้งห้าคนจะสู้พวกเขาสองคนไม่ได้เลยหรืออย่างไร? ถ้าเจ้ากล้าเข้าข้างคนนอกอีก แม้แต่เจ้าข้าก็จะชกไม่มีเหลือ!”

คำขู่อย่างโหดเหี้ยมของญาติผู้พี่ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวเฉกเช่นสายตาอันเย็นเยียบของอาจื้อ เจ้าอ้วนหวังขาสั่นระริก พูดเสียงต่ำว่า “ลูก ลูกพี่ ขอโทษขอรับ! ข้า ข้าต้องไปแล้ว! ต่อไปข้า ข้าจะไม่มาเล่นกับพี่อีก…”

พูดจบ เจ้าอ้วนก็ไม่กล้ามองหน้าของญาติผู้พี่อีก ได้แต่ก้มหน้างุดและเร่งฝีเท้าเดินไปไม่ต่างกันทาน้ำมันบนฝ่าเท้า

พรรคพวกที่คอยตามญาติผู้พี่ของเจ้าอ้วนหวังที่เหลือต่างมองหน้ากัน อดถามไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ นี่…”

เด็กชายหัวโจกถูกญาติผู้น้องของตัวเองหักหน้า สีหน้าจึงดูย่ำแย่ลงอย่างมาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “พวกเจ้า ถ้าผู้ใดขลาดกลัว ก็รีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้า!”

คนเหล่านั้นรีบพากันแสดงความจงรักภักดี ด่าทอเจ้าอ้วนหวังกันยกใหญ่ ไม่มีผู้ใดกล้าเดินออกไปสักคนเดียว

ครั้นเห็นสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายเริ่มตึงเครียด กำลังจะกระโจนเข้าหากัน ในที่สุดอาซือก็ทนไม่ไหวจึงตะโกนออกไป “หยุดนะ! ห้ามรังแกพี่ชายของข้าเด็ดขาด!”

ในมือเล็ก ๆ ของนางนั้นมีหินขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ไปเอามาจากที่ใดก้อนหนึ่ง ซึ่งหินก้อนนั้นมีปลายที่แหลมคม หากพรวดพราดเข้าไปแทงอีกฝ่ายอย่างสุดแรง เกรงว่าคงจะแทงจนเกิดเป็นรูเลือดแน่นอน

ยามเห็นอาซือและเถิงเอ๋อ ฝ่ายตรงข้ามที่เดิมทีไม่ได้เห็นอาจื้อและเหยาเอ้อหลางอยู่ในสายตา ก็พากันหัวเราะออกมา “หยุดเล่นได้แล้ว! เด็กหญิงที่ฟันน้ำนมยังขึ้นไม่ครบคนหนึ่ง และเด็กขี้โรคที่ใส่เสื้อคลุมคนหนึ่ง พวกเจ้าสองคนก็อยากร่วมสู้ด้วยหรือ? รีบกลับไปเสียไป!”

เถิงเอ๋อเองก็เลียนแบบท่าทางของอาซือ หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา

เพียงแต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในรูปแบบนี้มาก่อน หัวใจของเขาเต้นระงมดังตึกตักอย่างฉุดไม่อยู่ แม้แต่ลมหายใจก็ถี่ขึ้นด้วยความตึงเครียด

กระทั่งได้ยินเด็กชายที่มีรูปร่างเตี้ยและซูบผอมตรงข้ามคนหนึ่งด่าทอเถิงเอ๋อด้วยถ้อยคำหยาบคาย “ยืนก็แทบจะไม่อยู่แล้ว ยังคิดจะทะเลาะกับพี่เทาของเราอีกงั้นหรือ? สารรูปที่ลมพัดครั้งเดียวก็ปลิวแล้วอย่างเจ้า แค่พี่เทาของเราต่อยหมัดเดียว เจ้าตายขึ้นมาจะทำยังไงเล่า?”

อาซือกรีดร้องเสียงแหลม ปลายหินที่แหลมที่สุดอยู่ในมือได้พุ่งไปยังหน้าของไอ้คนปากสวะผู้นั้น “เจ้าคนชั่ว! เจ้ารนหาที่ตายเองนะ อย่ามาพูดกับพี่เถิงของข้าเช่นนี้นะ!”

เด็กชายคนนั้นคาดไม่ถึงว่าเด็กหญิงที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูผู้หนึ่งจะคำไหนคำนั้น บอกจะลงมือก็ลงมือทันใด

หินก้อนนั้นหนักมาก พละกำลังของอาซือก็มากเช่นกัน สุดท้ายก็ทุบศีรษะของเขาจนแตกโดยไม่ทันตั้งตัว

ของเหลวสีแดงสดไหลรินลงมาบนหน้าผากของเด็กชายอย่างเชื่องช้า หวังเทาหัวโจกกลุ่มเด็กอันธพาลตื่นตกใจกับสีเลือด จึงสืบเท้าก้าวใหญ่เข้าไปหาอาซือด้วยความโกรธฉุนเฉียว แขนที่แข็งแรงกำยำยกง้างขึ้นสูง “เจ้าเด็กอัปลักษณ์ ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าเหมือนกับหญิงชั่วตัวกาลกิณีผู้นั้นของเจ้าไม่ได้เชียวหรือ!”

คำด่าทอ ความโหดเหี้ยม และแขนที่ง้างสูงอันคุ้นเคยนั้น ดูเหมือนจะทำให้อาจื้อพลันนึกย้อนกลับไปในช่วงที่อยู่ในบ้านตระกูลหลิน และในช่วงที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยา

เขาในตอนนั้นอ่อนแอไร้ที่พึ่ง โดนทุกคนรังแกสารพัด ไม่มีแรงที่จะปกป้องตัวเอง และไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องน้องสาว

นัยน์ตาของอาจื้อแดงก่ำ ทว่าไม่มีส่วนที่อ่อนแออีกแล้ว เพราะมันเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและเคียดแค้น

เขารุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าวเพื่อขวางอยู่ด้านหน้าของอาซือ จากนั้นก็เหวี่ยงแขนซ้ายออกไปสุดแรง หวังเทาที่เดิมทีเอ็ดตะโรจะสั่งสอนอาซือก็ส่งเสียงร้องอย่างเวทนาออกมาในชั่วพริบตาเดียว ทำเอาทุกคนขนหัวลุกไปตาม ๆ กัน

กระทั่งเห็นแขนที่ง้างสูงขึ้นของเขาถูกมือซ้ายของอาจื้อกดไว้ ต่อมาก็มีเลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากซอกนิ้วไม่หยุด ไหลลงมาตามนิ้วและหยดลงบนดิน ค่อย ๆ กลายเป็นคราบเลือดกองหนึ่ง

มีดสั้นแวววาวยามต้องแสงที่ถืออยู่ในมือของอาจื้อ ตอนนี้มีของเหลวสีแดงสดไหลรินลงมา

ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึก นัยน์ตาที่เย็นเยียบได้กวาดตามองไปทางหวังเทา กวาดตามองไปทางอันธพาลกลุ่มเล็กที่ตื่นตกใจจนโง่งมไปชั่วขณะ ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “เข้ามาสิ! อยากทะเลาะกันนักไม่ใช่หรือ? เข้ามากันให้หมดนั่นแหละ! อย่าได้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว!”

ไม่เพียงแต่หวังเทาที่ตื่นตกใจจนโง่งมไปแล้ว แม้แต่เหยาเอ้อหลาง อาซือ เถิงเอ๋อ ก็ล้วนแต่ยังไม่ได้สติว่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

อาซือมองไปยังแผ่นหลังของอาจื้อที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดตะกุกตะกักว่า “พี่ ท่านพี่!”

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เด็กสมัยนั้นทะเลาะกันโหดแท้ สองพี่น้องอาจื้ออาซือเอาคืนโหดมาก ไม่ทิ้งความเป็นตัวร้ายในนิยายเลย

ไหหม่า(海馬)