บทที่ 221 แอบตามอาจื้ออยู่เงียบ ๆ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 221 แอบตามอาจื้ออยู่เงียบ ๆ

เถิงเอ๋อเดินมาข้างกายอาจื้อ คล้ายกับอ่านความคิดในใจของเขาได้จึงพูดเสียงเบาว่า “พี่อาจื้อเก่งที่สุด ต่อไปถ้าข้าได้เป็นอย่างพี่อาจื้อ ข้าก็ขอเป็นพี่ชายที่แสนดีเช่นกัน”

ในขณะที่เด็กชายตัวน้อยกำลังพูด จู่ ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ นัยน์ตาของเขาเริ่มเปล่งประกายแห่งความคาดหวังออกมา “หากข้ามีน้องชายหรือน้องสาว ข้าก็จะทำเหมือนอย่างที่พี่อาจื้อปฏิบัติต่ออาซือ ด้วยการเป็นห่วงนางและดูแลนาง”

อาจื้อไม่พูดสิ่งใด ครั้นเห็นท่าทางของเถิงเอ๋อ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขาก็มีมุมน่ารักแบบนี้เช่นกัน

มิน่าเล่าท่านแม่ถึงได้ชอบเถิงเอ๋อนัก อาซือเองก็ชอบเล่นกับเขา

อาจื้อกำลังคิดในใจ ‘ถ้าตนเองต้องจากบ้านไปร่ำเรียนหนังสือในเมืองหลวง การมีเถิงเอ๋ออยู่บ้านเป็นเพื่อน​ ท่านแม่และน้องสาวก็คงจะไม่โดดเดี่ยวแล้ว’

เด็กทั้งสี่คนเดินเล่นอยู่ในเมืองรอบหนึ่ง เดิมทีตั้งใจจะเดินไปด้วยกัน แต่ต่อมากลับเกิดความคิดอยากจะไปในที่ที่ตัวเองอยากไป

อาจื้อและอาซือต่างก็อยากไปไปร้านหนังสือเพื่อดูว่าช่วงนี้มีหนังสืออะไรใหม่ ๆ บ้าง แต่เมื่อเหยาเอ้อหลางได้ยินคำว่าหนังสือเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาฉับพลัน รีบพูดปฏิเสธออกมาทันที “คราวที่แล้วก็เพิ่งไปร้านหนังสือมามิใช่หรือ? หนังสือที่ซื้อใหม่ก็ยังอ่านไม่จบเลย อีกอย่างไม่รู้จะซื้อของเหล่านั้นไปทำไม ทั้งแพงทั้งไม่มีประโยชน์…. สู้ไปเล่นยิงธนูด้วยกันดีกว่า!”

สถานที่ยิงธนูคือทิศตะวันตกของเมือง ส่วนร้านหนังสืออยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง หากตามเหยาเอ้อหลางไปยิงธนู วันนี้ทุกคนคงจะไม่ได้ไปร้านหนังสือ

อาซือจึงปฏิเสธ “เราไปกับพี่รองสองครั้งแล้วนะ อีกอย่างเจ้าของที่นั่นก็ไม่ต้อนรับเรา…”

แม้จะบอกว่าเหยาเอ้อหลางเรียนหนังสือไม่เก่ง เขากลับกลับมีพรสวรรค์เรื่องยิงธนูมากทีเดียว

ก่อนหน้านั้นเขามักจะยิงธนูอยู่ในหมู่บ้านของตระกูลเป็นส่วนใหญ่ ครั้นเข้าเมืองและเห็นว่าเจ้าของแผงลอยมีคันธนูวางอยู่ จึงได้เสียเงินสองตำลึงเป็นค่าลูกธนูจำนวนห้าลูก หากยิงเข้าเป้าได้ทุกลูก เจ้าของแผงลอยจะคืนเงินให้และให้ลูกธนูกลับไปด้วย

เดิมทีแค่นึกอยากเล่นสนุก ๆ ใครจะไปรู้เล่าว่าการเสียเงินสองตำลึงเพื่อลองเล่นในตอนแรกเริ่มนั้น หลังจากที่ยิงไปแล้วสองถึงสามลูก แค่เริ่มต้นก็ชนะเงินกินเจ้าของแผงลอยแล้ว

ต่อมาเจ้าของแผงลอยจึงเลื่อนเป้าไปไกลอีกห้าเมตร แต่ก็ยังถูกเหยาเอ้อหลางกินกำไรไปไม่น้อย สุดท้ายก็โกรธจนเขาต้องเก็บแผงลอยไปนับตั้งแต่นั้น

อาจื้อเองก็พยายามโน้มน้าวเอ้อหลาง “พี่รองช่างมันเถอะนะ ถ้าชอบยิงธนู วันหน้าเราค่อยตามท่านพ่อไปเรียนขี่ม้าและยิงธนูก็ได้”

เหยาเอ้อหลางเดินรุดขึ้นหน้าด้วยความดื้อรั้น ก่อนจะพูดว่า “คราวที่แล้วข้าพนันกับเจ้าของแผงลอยไว้ หากคราวต่อไปมีโอกาสมาอีกจะทำการปิดตายิง หากเข้าเป้าสิบครั้งจะได้คืนกลับมาห้าตำลึง เขาต้องเอาลูกธนูนั้นให้ข้า! ทำไมจะไม่ไปล่ะ? ไปสิ เร็วเข้า!”

อาซือไม่ยอมท่าเดียว “ท่านจะเอาธนูของอีกฝ่ายจากการชนะมาทำอะไร? ถ้าเจ้าของแผงลอยเอาลูกธนูให้ท่าน แล้วเขาจะทำการค้าขายอย่างไรเล่า?”

ทั้งสองคนเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง ไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายก็ยังเป็นเหยาเอ้อหลางที่พูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ต้าเป่าและเอ้อเป่าไปร้านหนังสือก่อน พวกเจ้ารออยู่ที่นั่น ส่วนเถิงเอ๋อเจ้าต้องไปยิงธนูกับข้า”

อาจื้อขมวดคิ้ว ในขณะที่กำลังจะพูดว่าทำแบบนี้มันไม่ดีนั้น กลับถูกอาซือตัดบทเสียก่อน

เด็กหญิงตัวน้อยดึงมือของเถิงเอ๋อเข้าหาตัวจากนั้นก็ส่ายหน้า “พี่รองอยากไปยิงธนูก็ไปเองสิ! พี่เถิงเอ๋อไม่อยากไป เขาอยากไปอ่านหนังสือที่ร้านหนังสือ”

เด็กสาวตัวน้อยผู้ซึ่งไม่รู้ว่าถูกใครเหยียบหาง ปกติแล้วนางจะมีนิสัยอ่อนโยน​ ไม่ค่อยแสดงท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้มาก่อน จนแม้แต่เหยาเอ้อหลางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร

เขาครุ่นคิดแต่ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้ สุดท้ายก็พยักหน้า “ก็ได้”

เด็กทั้งสี่คนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เมื่อนัดแนะว่ากลับมาเจอกันที่เดิมเมื่อถึงเวลากลับบ้านเสร็จแล้ว เหยาเอ้อหลางก็เดินไปยังทิศตะวันตกของเมืองเพียงลำพัง ส่วนพวกอาจื้อทั้งสามคนที่เหลือเดินตรงไปยังร้านหนังสือ

ระหว่างที่เดินนั้น อาจื้อได้ดึงตัวอาซือไว้และถามว่า “ทำไมวันนี้เอ้อเป่าถึงได้ดูอารมณ์ไม่ดีขนาดนั้น?”

อาซือส่ายหน้าแต่ใบหน้ายังคงแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ “พี่รองชอบคิดเองเออเอง! พี่เถิงไปยิงธนูไม่ได้ ส่วนเขาเองก็ยิงธนูนั้นมานานแล้ว ยังไม่พอใจอีก!”

ครั้นได้ยินว่าอาซือใส่ใจความรู้สึกของเถิงเอ๋อ อาจื้อก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีนอกจากพูดเอาใจว่า “พี่รองก็แค่อยากไปยิงธนูเท่านั้นเอง เขาก็เป็นแบบนี้แหละ”

อาซือพูดขึ้น “พี่รองอยากไปก็ไปสิ ไม่มีใครขวางเสียหน่อย เขาก็ใช่ว่าจะไม่ไปนี่นา”

เมื่ออาจื้อเห็นดังนั้นจึงยิ้ม “ท่าทางไม่สบอารมณ์ของเอ้อเป่า เหมือนกับท่านแม่ไม่มีผิด”

เถิงเอ๋อยืนมองด้วยความประหลาดใจอยู่ด้านข้าง

เขาคิดมาตลอดว่าอาซือและเหยาซูต่างก็นิสัยดีและขี้ใจอ่อนมาก ไม่เคยคิดว่าจะโกรธง่ายเพียงนี้

เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่เพราะความดื้อรั้นของอาซือ จึงยิ่งทำให้นางน่ารักขึ้นไปอีก

เถิงเอ๋อยิ้มก่อนพูดว่า “ไปกันเถอะ ข้ายังไม่ได้ไปร้านหนังสือเลยนะ! ไม่รู้ว่าหนังสือในร้านจะมากเพียงใด และมีหนังสืออะไรบ้าง…”

เมื่อเด็กหญิงถูกเบนความสนใจ อารมณ์หงุดหงิดก็หายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จูงมือพี่ชายทั้งสองคนอย่างมีความสุข กระโดดโลดเต้นตรงไปยังร้านหนังสือ

เด็กทั้งสามคนนอกจากอาซือที่ยังไม่รู้จักตัวอักษรทั้งหมดแล้ว อาจื้อและเถิงเอ๋อล้วนแล้วแต่ชอบอ่านหนังสือทั้งสิ้น ครั้นถึงร้านหนังสือก็หาหนังสือที่ตัวเองชอบได้ในที่สุด จากนั้นก็หยิบออกมาอ่านจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว

อาซือและเถิงเอ๋ออ่านหนังสือเล่มเดียวกัน นางอ่านช้า แต่ทุกครั้งที่เถิงเอ๋อจะพลิกไปอีกหน้าเขามักจะหยุดรอน้องสาวเสมอ บางครั้งก็คอยบอกถึงตัวอักษรที่นางไม่รู้จัก

กระทั่งดวงอาทิตย์ไต่ระดับขึ้นสูง แสงแดดค่อย ๆ สาดส่องลงมาตรงกลางศีรษะ พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว

แต่เพราะยังอ่านไม่จบ อาจื้อและเถิงเอ๋อจึงซื้อหนังสือในมือของตัวเอง

เด็กทั้งสามคนเดินออกจากร้านหนังสือ เถิงเอ๋อเงยหน้ามองท้องฟ้า และพูดด้วยความเป็นกังวลว่า “ตอนนี้ก็สายมากแล้วมิใช่หรือ? พี่เอ้อหลางน่าจะกลับมารอนานแล้วกระมัง? เขาจะโกรธหรือไม่?”

อาซือส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่รองถือลูกธนูไปด้วย น่าจะเล่นทั้งวันแหละ เขาไม่มีทางมาก่อนเราหรอก”

พวกเขามาถึงสถานที่นัดหมายเดิม และไม่เห็นเงาของเหยาเอ้อหลางอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

ไม่ทันรอให้เถิงเอ๋อได้ผ่อนคลาย กลับได้ยินเสียงตะโกนพ่อค้าหาบเร่แผงลอยที่อยู่ด้านข้างดังขึ้น “เฮ้ พ่อหนูน้อย มานี่สิ”

อาจื้อส่งสัญญาณให้อาซือและเถิงเอ๋อยืนอยู่ที่เดิม ส่วนตัวเองรุดขึ้นหน้าและพูดกับพ่อค้าคนนั้น

ไม่นานก็เห็นเขาเดินกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

อาซือไม่เข้าใจจึงถามขึ้น “ท่านพี่ เป็นอะไรไปหรือ?”

อาจื้อขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องกับพี่รองแล้ว”

อาซือและเถิงเอ๋อตื่นตกใจ จากนั้นก็ยิงคำถามพร้อมกัน “เกิดอะไรขึ้น?”

“พี่รองมาถึงก่อนเรา และยืนรออยู่ที่นี่มาตลอด พ่อค้าคนเมื่อครู่บอกกับข้าว่า เห็นเขาและเด็กที่โตกว่าเขาไม่มากนักกลุ่มหนึ่งทะเลาะกัน พ่อค้าคนนี้เห็นเราแยกกันก่อนหน้านั้น เลยรู้ว่าเราและพี่รองมาด้วยกัน จึงได้เรียกข้าเข้าไป”

อาซือถามด้วยความกังวล “แล้วตอนนี้พี่รองอยู่ที่ไหน?”

อาจื้อส่ายหน้า “ตามเด็กพวกนั้นไปแล้ว พ่อค้าบอกว่าในบรรดาเด็กพวกนั้นมีคนที่เขารู้จัก เป็นลูกชายของเถ้าแก่ขายเนื้อ”

เถิงเอ๋อค่อนข้างร้อนใจมากจึงรีบพูดว่า “งั้นเรารีบไปหาร้านขายเนื้อกันเถอะ! พี่เอ้อหลางมีคนเดียว จะโดนรังแกหรือเปล่าก็ไม่รู้”

อาจื้อก็เป็นกังวลเรื่องนี้เช่นกัน

จากนิสัยของเหยาเอ้อหลางแล้ว แม้เขาไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องใครก่อน แต่ถ้าต้องทะเลาะขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน

แต่ติดที่น้องชายและน้องสาวที่อยู่ข้างกายตอนนี้ เถิงเอ๋อก็มีร่างกายไม่แข็งแรง อาซือก็ยังเด็ก เขาจะพาพวกเขาไปหาเหยาเอ้อหลางได้อย่างไร?

อาจื้อครุ่นคิดจากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “เถิงเอ๋อพาเอ้อเป่ากลับบ้านไปก่อน”

เมื่อพูดจบ​ อาซือกลับไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ เราต้องไปด้วยกัน บวกท่านพี่ไปอีกคน พวกพี่มีแค่สองคนเองนะ”

ปกติแล้วอาจื้อรักและเอ็นดูน้องสาวมาก น้อยนักที่จะไม่เคารพในความคิดของนาง เพียงแต่ครั้งนี้ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเด็กชายค่อนข้างจริงจัง “เอ้อเป่าเชื่อฟังหน่อยสิ พี่เถิงของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ประเดี๋ยวถ้าเกิดหัวร้างข้างแตกขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ? อีกอย่างเจ้าก็คงไม่อยากให้อาการป่วยของเถิงเอ๋อกำเริบด้วยมิใช่หรือไร?”

อาซือเกิดความลังเลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เด็กน้อยมองไปทางเถิงเอ๋ออย่างลังเล แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาโบกและพูดว่า “ข้า ข้าไม่เป็นอะไร! แม้ว่าข้าจะไม่อยากให้เอ้อเป่ามีอันตราย แต่… พี่อาจื้อและพี่เอ้อหลางสองคน…”

อาจื้อส่ายหน้า “ไม่ได้ เถิงเอ๋อจะต้องกลับบ้านกับเอ้อเป่า”

อาซือมองไปทางพี่ชายและมองมาทางเถิงเอ๋ออีกครั้ง แม้ว่าในใจจะร้อนรน แต่กลับต้องดึงมือของเถิงเอ๋อไว้ “พี่เถิง เรากลับกันเถอะ”

เมื่อเถิงเอ๋อเห็นอาจื้อยังยืนยันคำเดิม อีกทั้งอาซือก็ยังจับมือของเขาแน่น จึงรู้ว่าคงเปลี่ยนความคิดของสองพี่น้องอย่างพวกเขาไม่ได้ ทำได้แค่ต้องพยักหน้า

รอจนเห็นว่าทั้งสองคนเดินจากไปไกลแล้ว อาจื้อจึงสอบถามตำแหน่งร้านขายเนื้อ และออกตามหาเหยาเอ้อหลาง

อีกด้านหนึ่งเดิมทีเด็กทั้งสองควรจะต้องกลับบ้านอย่างว่าง่าย กลับแอบตามอาจื้อไปอย่างเงียบ ๆ

…………………………………………

สารจากผู้แปล

เด็กๆ​ มีเรื่องตีกันอีกแล้ว​ สองคนจะสู้เด็กกลุ่มใหญ่ได้ไหม​ เถิงเอ๋อจะอาการกำเริบหรือไม่​ ติดตามต่อตอนหน้าค่ะ

ไหหม่า(海馬)