บทที่ 282 สามีของข้า ลูกเขยของท่าน

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 282 สามีของข้า ลูกเขยของท่าน

“เจ้าเป็นหมอหรือข้าเป็นหมอ ถ้าข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เจ้ามานี่ ให้ข้าดูอาการบาดเจ็บของเจ้า” เฟิ่งชิงหัวจับมือของจ้านเป่ยเซียวเดินไปที่โต๊ะด้านนอกและนั่งลง จับชีพจรอย่างจริงจัง

นางหลับตาและสัมผัสอย่างตั้งใจ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของชีพจรของจ้านเป่ยเซียว หลังจากผ่านไปนานก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าอ่อนแอเกินไป พลังกำลังภายในของเจ้าหมดลงแล้ว เจ้าไม่ควรใช้พลังกำลังภายในตั้งแต่แรก สถานการณ์ของท่านแม่ของข้า การถ่ายทอดพลังภายในอาจจะไม่มีประโยชน์”

จ้านเป่ยเซียวดึงมือออก ก้มหน้าลงและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

“อาการขอท่านงแม่ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย อธิบายให้เจ้าไม่หมด ไม่อย่างอย่างไร เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อน อย่าให้ท่านแม่ยังไม่ฟื้นเจ้าก็ทรุดลงไปอีก เหลือเพียงข้าคนเดียว เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?”

จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว “เจ้าเป็นห่วงข้าขนาดนี้เลยรึ?”

เฟิ่งชิงหัวโบกมือ “อย่าคิดมาก ข้ายังไม่พบสาเหตุที่ท่านแม่ของข้าเป็นแบบนี้ ข้ายังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของเจ้าในการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของหนานกงจี๋และเผ่าเซียนเปย์ ถ้าเจ้าทรุดลง ข้าจัดการคนเดียวไม่ไหว ข้าหมายความว่าอย่างนี้”

“เจ้าหมายความว่ายังไง ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรอกเหรอ? ทั้งสองอย่างมีความขัดแย้งกันมากหรือรึ?”

“เอ่อ ไม่ขัดแย้งกัน”

“ในเมื่อไม่มีความขัดแย้ง เจ้าอธิบายอะไรเป็นพิเศษเพื่ออะไร?”

เฟิ่งชิงหัวพูดอะไรไม่ออกถลึงตาใส่มองจ้านเป่ยเซียว

“เจ้าลองถลึงตาอีกครั้งสิ”

“อะไร ถลึงตาใส่เจ้า เจ้าจะทำอย่างไร ล้วงตาข้าออกมารึ?” เฟิ่งชิงหัวถลึงตาอีกครั้ง

“ล้วงออกมาซ่อนไว้ แล้วดูเมื่ออยากดู” จ้านเป่ยเซียวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ไหล่ของเฟิ่งชิงหัวสั่นเทา “เจ้าเหี้ยมโหดเสียจริง”

ทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระก็ได้ยินเสียงไอมาจากข้างใน

เฟิ่งชิงหัวรีบเข้าไปและเห็นท่านแม่ของนางซึ่งอยู่ในอาการหมดสติเป็นเวลานาน ฟื้นขึ้นมาและกำลังกุมอกลุกขึ้นนั่ง

“ท่านแม่ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?” เฟิ่งชิงหัวถาม

หญิงวัยกลางคนจ้องมองเฟิ่งชิงหัวอย่างสงสัยเป็นเวลานาน จากนั้นพูดเสียงแหบพร่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดเจ้าถึงเรียกข้าว่าท่านแม่”

“ท่านแม่ ข้าคือชิงหัว เฟิ่งชิงหัว”

“พูดมั่ว” ผู้หญิงคนนั้นเม้มปาก “ ชิงหัวของข้า หน้าตาไม่เหมือนเจ้า ตอนนี้นางยังเป็นทารกอยู่ นางดูน่ารักผิวขาว นางไม่เหมือนเจ้า”

“ท่านแม่ ข้าชื่อชิงหัวจริงๆ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อท่านคลอดข้าท่านบอกว่าลูกสาวของท่านหน้าตาดี ในอนาคตมีผู้ชายไม่มากนักที่เหมาะสมกับลูกสาวของท่าน ท่านตั้งชื่อว่าหลิงหลัว ชิงหัว”

“ข้าไม่เชื่อ เจ้าโกหกข้า” หญิงสาวยังคงไม่เชื่อ นางดูหงุดหงิด แม้ว่าเฟิ่งชิงหัวจะปิดบังรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของนาง แต่ความเปราะบางของนางก็ยังทำให้สับสน

เฟิ่งชิงหัวอธิบายให้นางฟังอย่างอดทนเป็นเวลานาน จนกระทั่ง เฟิ่งชิงหัวบอกความลับที่มีแต่แม่ลูกเท่านั้นที่รู้ หญิงสาวจึงเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ที่ดูเหมือนจะอายุไล่เลี่ยกับนางคือ ชิงหัว ลูกสาวของนางจริงๆ

หยูจีเบะปากเริ่มร้องไห้ พุ่งเข้าหาอ้อมแขนของเฟิ่งชิงหัวทันที “ลูกแม่ ท่านแม่กลัวมากเลย”

น้ำเสียงของนางคล้ายกับเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบ

เฟิ่งชิงหัวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จับชีพจรของหยูจี แต่นางก็ยังไม่พบปัญหาบนร่างนาง

ในเมื่อไม่ใช่โรคทางกาย จึงสามารถอธิบายได้ว่ามีเพียงความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์และสติไม่ดีเท่านั้น

ตามคำพูดทั่วไปก็คือ ปัญญาอ่อน

“ท่านแม่ ท่านยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านลงจากภูเขาได้หรือไม่?” เฟิ่งชิงหัวถาม

“ข้าจำไม่ได้” มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของท่านแม่ นางมองไปยังเฟิ่งชิงหัวด้วยความพึ่งพา

เหมือนกับลูกนกที่ออกมาเปลือกไข่และนับถือคนแรกที่มันเห็นเป็นแม่ของมัน

แต่เห็นได้ชัดว่านางถึงจะเป็นแม่

เฟิ่งชิงหัวทั้งมีความสุขและทุกข์ใจ

ฟื้นขึ้นมาดีกว่านอนอยู่เฉยๆ

“จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ ต่อไปก็จะจำขึ้นมาเอง” เฟิ่งชิงหัวปลอบโยน

“อือ อือ” ท่านแม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นลูบท้องของนาง และพูดอย่างออดอ้อน “ชิงหัว ท่านแม่หิวแล้ว”

“อื้อ ข้าไปสั่งให้คนนำข้าวต้มมาให้ท่าน” เฟิ่งชิงหัวกล่าว

ท่านแม่ส่ายหน้าและจ้องมองเฟิ่งชิงหัวอย่างน่าสงสาร “ข้าไม่อยากดื่มข้าวต้ม ข้าอยากกินเนื้อ”

“ไม่ได้ ท่านเพิ่งฟื้นขึ้นมา ไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์ได้ ท่านสามารถดื่มได้แต่ข้าวต้มเท่านั้น” ในฐานะหมอ เฟิ่งชิงหัวเข้มงวดเกี่ยวกับการฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยและการรับประทานอาหารมาก น้ำเสียงของนางก็จริงจังกว่ามาก

คาดไม่ถึงว่าหลังจากพูดจบ ก็เห็นดวงตาของท่านแม่แดงก่ำ กัดริมฝีปาก มองนางราวกับว่านางถูกรังแก

หัวใจของเฟิ่งชิงหัวอ่อนลงในทันที

เฟิ่งชิงหัวสามารถโหดร้ายกับคนอื่นได้ แต่นี่คือท่านแม่ของนาง คนแรกที่นางเห็นเมื่อนางมาถึงโลกนี้ และเป็นนางที่ได้ให้ชีวิตนางอีกครั้ง

“ได้ ได้ ได้ งั้นเราทานเนื้อ เนื้อปลาดีไหม ย่อยง่ายดี”

“อื้อ” เสียงแบบเด็กๆ เหมือนเด็กไร้เดียงสา

เฟิ่งชิงหัวไม่มีทางเลือกอื่น นางลุกขึ้นและออกไปข้างนอกเพื่อให้ม่านเฉ่าเตรียมอาหาร

ทันทีที่กลับมา ก็เห็นว่าชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหายไปแล้ว และมีเสียงหนึ่งดังมาจากห้องด้านใน

เฟิ่งชิงหัวพูดในใจ “จ้านเป่ยเซียว อย่าทำให้นางตกใจ”

ว่าแล้วก็ไล่ตามเข้าไป แต่เห็นสายตาท่านแม่จับจ้องไปที่ใบหน้าของจ้านเป่ยเซียวตรงๆ นางจึงรู้สึกสงสัยอย่างมาก “เจ้าพูดสิ เหตุใดเจ้าถึงสวมหน้ากาก”

เห็นได้ชัดว่าจ้านเป่ยเซียวไม่สามารถตอบคำถามท่านแม่ของเฟิ่งชิงหัวได้ เมื่อเห็นเฟิ่งชิงหัวเข้ามา เขาก็เดินไปหานาง ก้มหน้าลงพูดกับเฟิ่งชิงหัวว่า “ท่านแม่ของเจ้า สมองมีปัญหา?”

“สมองของเจ้าต่างหากที่มีปัญหา มีใครพูดแบบนั้นเกี่ยวกับผู้สูงอายุบ้างไหม นางแค่มีสภาพจิตใจที่ไม่สมบูรณ์”

“นั่นก็มีปัญหา” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว

“ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะพูดกับเจ้า ออกไปเร็วๆ ท่านแม่ข้าเพิ่งฟื้น ท่านแม่ไม่รู้จักใครเลย ทีหลังอย่าทำให้นางตกใจ” เฟิ่งชิงหัวพูดพร้อมกับดันจ้านเป่ยเซียวให้ออกไปข้างนอก

“ชิงหัว เขาคือคนที่เจ้าชอบหรือเปล่า?” ท่านแม่ที่อยู่บนเตียงถามขึ้นทันที ดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปที่หน้ากากของจ้านเป่ยเซียว

เฟิงชิงหัวพูดไม่ออก “ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่สนิทกัน”

“ไม่สนิทกัน นี่คือจวนอ๋องเฉิน เจ้าคือพระชายาเจ็ด เจ้ากล้าดียังไงมาบอกว่าเจ้าไม่สนิทกับข้า” จ้านเป่ยเซียวไม่พอใจเมื่อได้ยินแบบนี้ คนๆนี้กล้าพูดโกหกต่อหน้าม่านแม่ของนางด้วย

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านแม่ก็นั่งลงบนเตียง มองเฟิ่งชิงหัวอย่างขุ่นเคือง “ชิงหัว เหตุใดเจ้าถึงโกหกท่านแม่ เพราะเจ้าไม่ชอบที่ท่านแม่ทานเนื้อหรือเปล่า?”

ขณะที่นางพูด น้ำตาสองแถวก็ไหลออกมาจากดวงตาที่ใสคู่นั้น และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้

ขณะที่หญิงสาวลงจากเตียงพร้อมนางเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “ในเมื่อเจ้าดูรังเกียจท่านแม่ ท่านแม่จะจากไปเดี๋ยวนี้ จะไม่ทำให้เจ้าเสียเวลา ท่านแม่จะไปขอทานข้างถนน”

เฟิ่งชิงหัวไม่มีเวลาไล่จ้านเป่ยเซียวออกไป นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อห้ามแม่ของนางทันที “ท่านแม่ ท่านคิดมากไปเอง ข้า ข้ากลัวว่าท่านจะรับไม่ได้ที่ข้าสมรสแล้ว นี่คือเรือนของข้า คนๆ นั้น”

พูดพร้อมชี้ไปที่จ้านเป่ยเซียว “ชายคนนั้นคือสามีของข้า ลูกเขยของท่าน เขาร่ำรวยมาก ท่านสามารถทานอะไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการเมื่อท่านหายจากอาการป่วย”