พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 283 ลูกเขยของท่านกำลังอาย
ผู้หญิงมองเฟิ่งชิงหัวอย่างสงสัย จากนั้นมองไปที่จ้านเป่ยเซียว โดยที่น้ำตายังคงคลออยู่ที่หางตา “จริงรึ?”
“จริงๆแน่นอน” เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าว “ดูเรือนหลังนี้ พื้น และเตียงที่ท่านนอนสิ ทุกอย่างดีมาก”
ผู้หญิงมองไปที่จ้านเป่ยเซียวอีกครั้งและลองเรียก “ลูกเขย?”
เมื่อเห็นว่าจ้านเป่ยเซียวยืนนิ่งและไม่พูดอะไร ท่านแม่เม้มริมฝีปาก “เจ้าโกหกข้า”
“ที่ไหนกัน ลูกเขยของท่านเป็น เป็นคนขี้อาย ฮ่าฮ่า ขี้อาย” เฟิ่งชิงหัวหัวเราะอย่างเคอะเขิน
ขณะที่พูดก็ขยิบตาให้จ้านเป่ยเซียว
เมื่อมองไปที่ท่าทางของเฟิ่งชิงหัวแล้ว จ้านเป่ยเซียวรู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ผู้หญิงคนนี้ไม่อะไรเลยและเขาคิดว่านางไม่มีข้อบกพร่องยกเว้นความโลภเงิน วันนี้ ดูเหมือนว่าได้ค้นพบบางอย่าง
เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวจ้องมองนางด้วยสายตาอ่านไม่ออก เฟิ่งชิงหัวรู้สึกแต่ว่านางกำลังถูกอยู่ในเล่ห์กล
“เจ้ายืนนิ่งอยู่ทำไมกัน ท่านแม่ของข้ากำลังพูดกับเจ้า” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างกระวนกระวาย
จ้านเป่ยเซียวมองเฟิ่งชิงหัวและพูดอย่างช้า ๆ “เจ้าเพิ่งพูดว่าข้าเป็นอะไรของเจ้า?”
เจ้าเป็นศัตรูตัวซวยของข้า เป็นตัวร้ายของข้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นอะไร!
เฟิ่งชิงหัวบ่นอยู่ในใจ แต่ต่อหน้านางก็ยิ้มอย่างสดใส “ท่านอ๋อง ท่านเป็นท่านอ๋องของข้า”
“ใคร ๆ ก็เรียกข้าว่าท่านอ๋อง งั้นข้าจะต้องไปช่วยพวกเขาแก้ปัญหาทีละคนหรือ?”
หยูจีมองไปที่เฟิ่งชิงหัวและถามด้วยความสับสนว่า “ลูกสาว เจ้ากำลังพูดอะไร? เหตุใดท่านแม่ถึงไม่เข้าใจล่ะ?”
“ท่านแม่ ข้ากับท่านอ๋องกำลังแสดงความรักอยู่ ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า” เฟิ่งชิงหัวหัวเราะจนใบหน้าตึง
เฟิ่งชิงหัวหันไปหาจ้านเป่ยเซียวและพูดว่า “ท่านอ๋อง เจ้าพูดเรื่องตลกเป็นได้เมื่อไหร่กัน แน่นอนว่าเจ้าเป็นสามีของข้า เจ้ายังไม่รีบมาพบแม่สามีเร็วๆ?”
ในความเป็นจริง เฟิ่งชิงหัวก็ไม่อยากเผยอะไรออกมาให้แม่ของนางรู้ แต่ต่อหน้าจักรพรรดิและไทเฮา จ้านเป่ยเซียวมักจะดูเหมือนไม่สนใจนาง ก่อนหน้านี้แม้แต่ต่อหน้าเฉิงเซี่ยงสองสามีภรรยาที่จะเป็นพ่อแม่สามีก็ไม่มีสีหน้าที่ดี และแม่ของนางที่ปรากฏออกมานี้ก็คงมีสีหน้าที่ไม่ดีด้วย ดังนั้น นางจึงอ้อนวอนเขา
แต่หลังจากที่นางพูดจบ จ้านเป่ยเซียวก็หันกลับมาและยิ้มอย่างใจดีให้กับหยูจีและพูดว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวล คิดซะว่าจวนของข้าเป็นเหมือนเรือนของตน ขาดอะไรก็รับสั่งคนใช้ให้ส่งมา”
เห็นได้ชัดว่าหยูจีเป็นคนประเภทที่แผลเป็นหายดีและลืมความเจ็บปวด ดังนั้นนางจึงมีความสุขทันทีและชี้ไปที่หน้ากากของจ้านเป่ยเซียวด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ลูกเขย เหตุใดเจ้าชอบสวมหน้ากาก?”
จ้านเป่ยเซียวกำลังจะพูด แต่เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นมาก่อนว่า “ท่านแม่ นี่เป็นเพียงความชอบส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา เราแค่เคารพเขาก็พอนะ”
“อ้อ หน้าตาลูกเขยคงไม่ขี้เหร่ใช่ไหม?” หยูจีมองจ้านเป่ยเซียว เพื่อรอคำตอบจากเขา
เฟิ่งชิงหัวแย่งพูดอีกครั้ง “ท่านแม่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ เป็นไปได้อย่างไรที่ลูกสาวจะสมรสกับคนที่หน้าตาขี้เหร่ ไม่รู้ว่าลูกเขยของท่านหน้าตาดีเพียงใด อาจจะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นคนเดียวที่เหมาะสมกับลูกสาวท่าน”
หยูจีมองจ้านเป่ยเซียวดีๆอีกครั้ง ริมฝีปากนอกหน้ากากและใบหน้าครึ่งหนึ่งที่โผ่ลออกมา นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม นับได้ว่าไม่เลว”
จ้านเป่ยเซียวกระแอมไออย่างแรงสองครั้ง
แต่หยูจีไม่เข้าใจและพูดต่อ “เพราะชิงหัวของข้าหน้าตาสวยที่สุดและมีผู้ชายไม่กี่คนในโลกที่คู่ควรกับนาง”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า “ท่านแม่พูดถูก เพราะรูปร่างหน้าตาของข้าเหมือนท่าน”
หยูจีสัมผัสใบหน้าของนาง ทั้งได้ใจและภูมิใจ “ใช่แล้ว”
จ้านเป่ยเซียวมองใบหน้าที่ธรรมดาเกินไปของหยูจีและคิดถึง “ใบหน้าที่แท้จริง”ของเฟิ่งชิงหัวก่อนหน้านี้ รู้สึกว่าแม่ลูกคู่นี้ค่อนข้างมั่นใจในหน้าตาของพวกนาง
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พวกนางเป็นแม่ลูกสาวแท้ๆอย่างแน่นอน เขาไม่สงสัยเลย
เฟิ่งชิงหัวทนต่อการจ้องของจ้านเป่ยเซียว นางนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ในไม่ช้า ม่านเฉ่าก็นำชามซุปปลามาส่ง หยูจีแทบรอไม่ไหวที่จะเอื้อมมือไปหยิบมา นางหยิบช้อนขึ้นมาและกำลังจะทาน แต่เฟิ่งชิงหัวแย่งช้อนไป
“หิว” หยูจีมองเฟิ่งชิงหัวอย่างขุ่นเคือง
“ร้อน ท่านอย่าต้องกังวล” เฟิ่งชิงหัวหยิบช้อนแล้วคนให้เข้ากัน ตักขึ้นมาเป่าแล้วป้อนให้หยูจี นางอ่อนโยนเป็นพิเศษ
หลังจากทานเสร็จหนึ่งชาม หยูจีลูบท้องแล้วพูดว่า “ยังหิวอยู่”
เฟิ่งชิงหัวให้ม่านเฉ่านำมาอีกชาม หลังจากกินสามชามติดต่อกัน หยูจีก็หาว “ง่วงนอน”
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนเถอะ หลังจากตื่น ข้าจะทำขนมให้ท่าน ดีหรือไม่?” เฟิ่งชิงหัวลูบศีรษะของหยูจีราวกับปลอบเด็ก
หยูจีหลับตาและไม่ลืมที่จะจับมือเฟิ่งชิงหัว ในไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป
เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกำลังจะลุกขึ้น นางก็เห็นว่าจ้านเป่ยเซียวไม่ได้จากไปไหนและนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลพร้อมมองมายังพวกเขาอยู่ตลอด
เฟิ่งชิงหัวเดินไปมา ขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้านั่งอยู่ที่นี่ตลอดเลยรึ?”
“อืม” จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า
“เจ้าไม่มีอะไรทำเหรอเลยมองแม่กับลูกสาวอยู่ด้วยกัน?” เฟิ่งชิงหัวถามด้วยความแปลกใจ
จ้านเป่ยเซียวมองเฟิ่งชิงหัวชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นยืนและเดินไปยังประตู
เฟิ่งชิงหัวเดินตามเขาออกไป เพิ่งรู้ว่าเกือบจะกลางดึกแล้ว ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว และดวงจันทร์ครึ่งดวงก็ส่องให้ลานนอกบ้านสว่างไสว
เฟิ่งชิงหัวเจ้าใจขึ้นมาทันที “เจ้ารอข้าใช่หรือไม่?”
จ้านเป่ยเซียวเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ดวงนั้นพร้อมพูดอย่างเย็นชา “ข้าเห็นว่าเจ้าลืมสิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ไปแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวพูดเสียงอ่อน “เพราะข้าไม่ได้อยู่ที่จวนมาสองสามวันแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่อยู่ในสถานะปกติอยู่พักหนึ่งเพคะ”
“งั้นไปกันเถอะ”
“เอ่อ เจ้าไปก่อน รอข้าอาบน้ำก่อน” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
นางเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ ที่น่าสงสารเสียจริง นางเพิ่งดูแลท่านแม่ที่ป่วยเสร็จก็ต้องไปเข้านอนร่วมกับคนป่วยอีก
เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยินเขาก็ยิ้มทันที “จริงรึ? งั้นข้าก็จะกลับไปอาบน้ำก่อน รอเจ้า”
พูดจบก็เดินจากไป
เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ที่หน้าประตู มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย
คนๆนี้ทำไมพูดกำกวมจัง ท่าทางแบบนี้ ดูเหมือนพวกเขาสองคนดูเหมือนนัดเวลาและสถานที่แล้ว ต่างคนต่างเตรียมพร้อมเพื่อหนี
ในเวลานี้ ม่านเฉ่าก็จะพักผ่อนแล้ว ดังนั้นเฟิ่งชิงหัวจึงไม่รบกวนนางอีกต่อไป ไปนำน้ำร้อนสองถังกลับไปที่ห้องเพื่อทำความสะอาด เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าบางเบา ผมของนางยังคงหมาดๆ นางเดินไปยังเรือนที่พักหลักของจ้านเป่ยเซียว
เมื่อเข้าไป ไฟที่ไม่จำเป็นในห้องก็ดับลง มีเพียงแสงสลัวๆ อยู่ข้างในที่ส่องสว่างอยู่ในห้อง
จ้านเป่ยเซียวกำลังพิงเตียง พลิกหนังสือ แสงมาจากลูกแก้วขนาดเท่ากำปั้นข้างเตียงของเขา
แสงจันทร์แวววาวฉายบนใบหน้าของเขา เขาดูสบายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ เมื่อเขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกและสวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวอย่างดวงจันทร์ ดูแล้วค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อยและคอวีลึกตรงหน้าอก หากยืนอยู่ข้างหน้าเขา อาจจะมองเห็นข้างในได้ชัดเจน