บทที่ 274 สายตาพิฆาตจากว่าที่พ่อตา

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 274 สายตาพิฆาตจากว่าที่พ่อตา
บทที่ 274 สายตาพิฆาตจากว่าที่พ่อตา

หรือก็คือไล่ชายชราไปชัด ๆ นั่นเอง

ไป๋ชิวสีหน้าทะมึน เอ่ยเสียงขรึมขึ้น “เจ้าเด็กนั่นมาแล้วมันอย่างไร? เจ้าจะบอกว่าข้าไปพบเขาไม่ได้หรือ?”

ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋จือเยี่ยนสลดลงดูจนใจในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนขึ้น “จริง ๆ แล้วเป็นเพราะอาหลานอยากจัดการธุระส่วนตัว จะให้เราเข้าไปจุ้นจ้านก็คงไม่ดีนัก ก็เรา….. เป็นคนนอกนี่นา”

ด้วยรู้จักบิดาตนเองดี ไป๋จือเยี่ยนจึงรีบเอ่ยปากขึ้นขัดก่อนไป๋ชิวจะทันได้ถาม “อย่าถามว่าเรื่องอะไร เพราะข้าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือพวกเราอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์”

ไป๋ชิวได้แต่มุ่นคิ้ว คิดว่าคงจะเป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้นจึงไม่คิดถามอีก

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจอมมารมาถึงแล้วขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานจากด้านนอก

ไป๋จือเยี่ยนขยับยกยิ้ม “นำแขกมาที่นี่เลย”

จากนั้นก็เอาแขนคล้องคอไป๋ชิวพาเดินออกไปอีกด้านพลางเอ่ย “ครั้งก่อนท่านว่าท่านพัฒนาสูตรยาออกมามากมาย อยากให้ข้าลองดูไม่ใช่หรือ? ตอนนี้มีเวลาแล้ว ไม่ลองมาดูว่าฝีมือท่านพ่อจะถดถอยลงบ้างหรือไม่…..”

“เจ้าเด็กตัวเหม็น! เจ้านี่มั่นใจในตนเองเกินไปเสียแล้ว! สิ่งต้องห้ามของนักปรุงยาคือความไม่รู้จักอดทนและความเย่อหยิ่ง หากเจ้ายังหลงตนเองต่อไปเช่นนี้ ต่อไปจะต้องทนทุกข์!” ไป๋ชิวกล่าวหน้าตึง น้ำเสียงเจือแววไม่พอใจ

“เอาล่ะ ๆ ข้ารู้แล้วท่านพ่อ ท่านอย่าเห็นข้าทุกครั้งต้องเทศนาข้าทุกคราไม่ได้หรือ? ข้าไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้วนะ…..”

ชิงหลานเฟยเห็นเงาร่างทั้งสองค่อย ๆ เดินจากไปก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน “บิดากับบุตรชายคู่นั้นสนิทสนมกันดีนัก ดูท่าคำลือที่แพร่ไปทั่วจะเชื่อไม่ได้”

ว่าจบนางก็หันมามองบุรุษข้างกาย “ท่านเข้ากับเสี่ยวเป่ยได้ดีหรือไม่?”

นับตั้งแต่ได้กลับมาพบกัน ชิงเป่ยกับเขาก็ค่อนข้างสนิทกัน แม้จะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่เมื่อมีสายเลือดเดียวกัน บางครั้งก็เกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้นได้ ราวกับมีสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นดึงคนทั้งสองให้ใกล้ชิดกัน ไม่รู้สึกห่างเหินกับอีกฝ่ายสักนิดเดียว

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลูกทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องพึ่งพาบิดามารดาเป็นปกติหรือไม่จึงทำให้ไม่เกิดเส้นแบ่งระหว่างกัน และในฐานะที่เขาเป็นบิดาที่มักต้องทำท่าแข็งแกร่งเคร่งขรึม จะให้มีปฏิสัมพันธ์อบอุ่นแนบแน่นยากไปสักหน่อยก็คงไม่แปลกนัก

เห็นนางมองสงสัยเช่นนั้น ม่อจิ่งอวี้ก็หัวเราะเสียงเบาออกมา “แน่นอนว่าเข้ากันได้เป็นอย่างดี”

“งั้นหรือ?” ชิงหลานเฟยเลิกคิ้ว สีหน้าประหลาดใจ

ม่อจิ่งอวี้เห็นนางสงสัยมิวายเช่นนั้นก็จนใจ “ใช่อยู่แล้ว เขาเป็นลูกชายข้า แม้จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ก็ยังมีความรู้สึกใกล้ชิดเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่”

“ดียิ่งนัก” ชิงหลานเฟยยิ้มปลอบโยน

“แต่ข้าล่ะอยากพบหน้ายัยหนูของเราเหลือเกินเจ้ารู้หรือไม่? ถึงจะเคยเห็นหน้ามาแล้ว แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้” น้ำเสียงม่อจิ่งอวี้แกมอารมณ์โหยหา

ชิงหลานเฟยเอ่ยหยอกขึ้นมา “ที่เขาว่าลูกสาวเป็นคนรักของบิดาเมื่อชาติก่อนดูจะไม่ผิดไปเลยจริง ๆ”

ชิงหลานเฟยพูดแล้ว ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา

ม่อจิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมองโดยบังเอิญ เห็นเป็นร่างสูงของบุรุษสองคนค่อย ๆ เดินเข้ามา ชายในชุดขาวเดินนำหน้าก่อนหยุดที่หน้าประตู จากนั้นโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้ชายด้านหลัง แล้วยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ได้เข้ามา

นัยน์ตายาวแฉลบขึ้นของม่อจิ่งอวี้หรี่ลงเล็กน้อย ขณะมองชายหนุ่มในชุดหรูหราสูงส่งค่อย ๆ ก้าวเข้ามา เห็นแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา

ใบหน้าของเขางดงามนัก ทั้งยังพากลิ่นอายเฉยเมย เบื้องหน้าแลดูไร้พิษภัย หากแต่ภายในกลับซ่อนอันตรายและไอสังหารเฉียบคมเอาไว้

และดวงตาสีม่วงที่เป็นเอกลักษณ์คู่นั้นของเขาก็มีเสน่ห์มากเสียจนแทบจะกลืนกินผู้คนลงไปแค่เพียงจ้องมอง ไม่อาจถอนตัวออกมาได้

ม่อจิ่งอวี้จ้องมัน แต่ก็ต้องละสายตาออกมาเมื่อในใจพลันรู้สึกแปลก ๆ

ตาคู่นั้น ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยนัก?

เขาเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อนนะ…..

ชิงหลานเฟยเห็นชายหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้ามาแล้ว สีหน้าก็ดูตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ในความทรงจำของนาง โหลวจวินเหยานั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ประสาอยู่บ้าง หากแต่ไม่ฟังใคร และไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ เป็นคนที่นางอ่านออกได้ง่ายเพียงแค่ดูสีหน้าเท่านั้น

หากแต่วันนี้เด็กหนุ่มที่เคยตัวผอมกลับเติบใหญ่จนตัวสูงมีกล้ามเนื้อ ใบหน้าก็กลายเป็นยิ่งหล่อเหลาจับตา สีหน้าเอื่อยเฉื่อยเรียบเฉยไม่อาจมองลึกลงไปได้ ไม่อาจล่วงรู้ความคิดได้เลย

เขาเปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าจะหน้าตาหรือสภาวะอารมณ์ ทั้งยังไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่แย่

“จวินเอ๋อร์” ชิงหลานเฟยน้ำเสียงยังคงความอ่อนโยนไว้

โหลวจวินเหยาหยุดฝีเท้าอยู่ตรงหน้านาง เห็นใบหน้าคุ้นตายังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ตรงหน้าแล้ว นัยน์ตาเขาก็เป็นประกาย ในใจเต้นแรงอยู่บ้าง จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้น “อาหลาน ท่านยังเหมือนเคย ข้าเฝ้ารอวันที่จะได้พบหน้าท่านอีกครั้งมานานแสนนานแล้ว”

ชิงหลานเฟยอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ นางยื่นมือออกไปลูบแก้มชายหนุ่ม “จวินเอ๋อร์ เจ้าคงต้องทนทุกข์อยู่หลายปีเป็นแน่!”

ด้วยโหลวจวินเหยาตัวค่อนข้างสูง ท่าที่นางเอื้อมมือแตะใบหน้าทั้งยังต้องเงยหน้ามองเขาจึงดูจะไม่สบายไปสักหน่อย เขาเห็นดังนั้นจึงก้มหัวลงให้นางแตะหน้าได้ง่ายขึ้น

เขาเป็นคนเย็นชาสันโดษ ใต้หล้านี้เขามีคนที่เคารพเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นคนเดียวที่เขาเต็มใจยอมก้มหัวให้

“ข้าไม่คิดว่ามันเป็นความทุกข์หรอก มันเป็นสิ่งที่ต้องผ่านพ้นเพื่อวันข้างหน้าจะประสบความสำเร็จ มีแต่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากทั้งหลายเท่านั้นถึงจะรับรู้รสชาติความหวานหลังจากความขมได้ดีกว่าเดิม ท่านเคยบอกข้าไว้เช่นนี้ไม่ใช่หรือ?” โหลวจวินเหยายกยิ้มเอ่ยตอบ

ชิงหลานเฟยพยักหน้ารับดูสบายใจขึ้น “จวินเอ๋อร์เติบโตแล้วจริง ๆ ไม่มีความเลือดเย็นขวางโลกอย่างเมื่อครั้งยังเด็กแล้ว”

นางพูดจบก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รีบถอยห่างออกมาโดยเร็ว

นางเหมือนจะลืมใครบางคนไว้เสียนาน หากเป็นปกติเขาก็คงโวยวายไปนานแล้ว แต่ในเมื่อวันนี้มีเรื่องสำคัญ เขาจึงอดทนอดกลั้นไม่ส่งเสียงใด

“จวินเอ๋อร์ ข้าดีใจที่ได้พบเจ้า ลืมแนะนำไปเสียสนิท นี่คือสามีของข้า เขา…..”

“ไม่จำเป็นหรอกอาหลาน” โหลวจวินเหยาพูดขันขึ้น สายตามองพิเคราะห์บุรุษตรงหน้า “พวกเรารู้จักกัน”

“งั้นหรือ?” ชิงหลานเฟยชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าดูเหมือนไม่เชื่อ “ทั้งสองคนไปรู้จักกันได้อย่างไร?”

เรื่องนั้น….. มันไม่ปกติกระมัง?

ม่อจิ่งอวี้อายุกว่าเจ็ดร้อยปีเข้าแล้ว ส่วนโหลวจวินเหยาแค่สองร้อยกว่าปีนิด ๆ เท่านั้น ตอนที่นางรู้จักโหลวจวินเหยา เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางที่ม่อจิ่งอวี้กับเขาจะรู้จักกันได้

หรือจะมารู้จักกันหลังจากนั้นหรือ? ทำไมจิ่งอวี้ถึงไม่เคยพูดถึงเลยเล่า?

เห็นสายตาเชิงสงสัยของชิงหลานเฟยมองมา ม่อจิ่งอวี้เองก็ดูงุนงงอยู่บ้าง ถึงเขาจะได้ยินเรื่องแย่ ๆ ของเจ้าหนุ่มผู้นี้มาบ้าง แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ทำไมอีกฝ่ายถึงได้บอกว่ารู้จักกันได้เล่า?

โหลวจวินเหยาเห็นดังนั้นก็อดมีสีหน้าขำขันเผยขึ้นมาไม่ได้ “ไม่รู้ว่าใต้เท้าจะยังจำภารกิจแรกที่ได้รับหลังจากกลายเป็นเจ้าครองตำหนักเจ้านรกได้หรือไม่”

สีหน้าม่อจิ่งอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย และราวกับในหัวพลันมีบางอย่างวาดผ่าน มันเร็วมากกระทั่งโหลวจวินเหยายังไม่ทันจับสังเกต

โหลวจวินเหยายังว่าต่อ “ผู้หลบหนีมือหนึ่งในรายการล่าค่าหัวแห่งแดนเมฆาสวรรค์ ว่ากันว่าเป็นภารกิจเหนือความจริงที่ไม่ว่ามือสังหารหรือนักล่าค่าหัวคนใดถูกส่งไปก็ไม่รอดกลับมาสักราย ผู้หลบหนีที่ต้องการตัวมากที่สุดเมื่อครานั้นขจายความหวาดกลัวไปทั่วแดนเมฆาสวรรค์อยู่ช่วงหนึ่ง ผู้คนต่างกลัวว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นแล้วลงมือล่าสังหารคน”

“ดังนั้นผู้คนจึงออกตามหาตำหนักเจ้านรกให้ออกมาช่วยกำจัดเนื้อร้ายชิ้นนี้ แล้วก็ปรากฏว่าใต้เท้าเพิ่งได้ขึ้นเป็นเจ้าตำหนัก เลยคิดจะลงมือจัดการเอง อยากไปพบหน้าคนผู้นั้นเพื่อดูว่าคำลือมีมูลหรือไม่”

พูดถึงตรงนี้ ม่อจิ่งอวี้ก็เหมือนจะนึกออก นัยน์ตายาวแฉลบขึ้นเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้าจำได้แล้ว….. คนคนนั้น….. อย่าบอกนะว่าเป็นเจ้า!”

ไม่แปลกเลยที่เขาคิดว่าตาของเจ้าหนุ่มผู้นี้ดูคุ้น ๆ นัก!

ว่ากันแล้วทั้งสองก็นับว่ารู้จักกัน กระทั่งเคยแลกกระบวนท่ากันมาแล้วด้วย แต่ในเมื่อเรื่องเกิดยามดึก อีกทั้งเจ้าเด็กนั่นก็สวมหน้ากาก เขาจึงไม่เห็นหน้าตาอีกฝ่าย แต่นัยน์ตาสีม่วงเช่นนั้น ทั้งแดนเมฆาสวรรค์ก็คงมีอยู่คู่เดียวเท่านั้น

แม้จะเห็นเพียงตาสองข้างของอีกฝ่าย เขาก็ยังจำได้ว่าพลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายนั้นสูงส่งเหนือมนุษย์มาก

มันไม่เหมือนพลังธรรมดาสามัญที่คนทั่วไปจะมีได้ ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย

เขาไม่ใช่เพียงคนที่เก่งกาจที่สุดในชนเผ่าหมาน นอกจากตาแก่ทั้งหลายที่อยู่มานับพันปีแล้ว คนที่มีพลังบำเพ็ญสูงกว่าเขาก็ใช้หนึ่งมือนับได้

แต่อีกฝ่ายกลับไม่เสียเปรียบสักนิดยามแลกกระบวนท่ากัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกคนที่หมายเอาชีวิตเด็กคนนี้ถึงได้กลายเป็นเอาชีวิตมาทิ้งแทน

ได้แต่กล่าวว่าไม่แปลกใจเลยที่จะตายเรียบไม่เหลือ

เพราะเด็กคนนี้ถือครองพลังที่แท้จริง

แต่ใครจะไปคิดว่าจอมยุทธ์ทรงพลังเช่นนั้นจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้!? หากความจริงแพร่ออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ

สีหน้าม่อจิ่งอวี้แปรผันไปเรื่อยลึกล้ำเกินหยั่ง เห็นแล้วดูน่าสนใจมากทีเดียว

ทว่าโหลวจวินเหยากลับมีใบหน้านิ่งสงบ และด้วยม่อจิ่งอวี้มีอารมณ์พลุ่งพล่านมากมาย ตอนนี้จึงนั่งลงข้างกายชิงหลานเฟยแล้ว

“เช่นนั้นทั้งสองคนก็รู้จักกันมาก่อนหรือ!” ชิงหลานเฟยกล่าวพลางมองคนทั้งสอง จากนั้นส่ายหน้าหัวเราะ “เดิมทีข้าคิดว่าจะแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน แต่ดูท่าจะไม่ต้องแล้ว ไม่รู้เลยว่ารู้จักกันมานานเช่นนี้แล้ว คงจะเป็นวาสนากระมัง”

“คงจะเป็นวาสนา! อาหลานจะได้พบชิงเป่ยแล้วกระมัง?” โหลวจวินเหยาถามพลางคลี่ยิ้ม

“อืม พบกันแล้ว เด็กคนนั้นเชื่อฟังมาก ได้ยินว่าเจ้าดูแลเขาอยู่ตลอด ข้าซาบซึ้งใจนัก” ชิงหลานเฟยกล่าวด้วยนัยน์ตาเจือแววขอบคุณ

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว น้ำเสียงติดจะไม่พอใจอยู่บ้าง “อาหลานทำสุภาพมีมารยาทกับข้ามากเช่นนี้ทำให้เราดูห่างเหิน ข้ามองท่านเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ข้านับถือ การดูแลพวกเขาข้าก็สามารถทำให้ได้ ทั้งยังเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำ”

ชิงหลานเฟยกำลังจะเอ่ยคำตอบ พลันได้ยินม่อจิ่งอวี้หัวเราะหยันออกมาเสียก่อน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่คิดว่าการดูแลของเจ้ามันมากเกินไปหน่อยหรือ?”

โหลวจวินเหยาดวงตาเป็นประกายแวววาว เหมือนจะเดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายหมายจะพูดอะไร

เป็นไปดังคาด พริบตาต่อมาน้ำเสียงทุ้มต่ำทะมึนมืดก็เอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินจากประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์ว่าเจ้ากับชิงอวี่มีใจต่อกันอย่างนั้นหรือ?”