บทที่ 247 การพบปะครั้งที่ 3

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 247 การพบปะครั้งที่ 3

แม่เจ้า!

ในเพลานี้นางก็รู้สึกอับอายไปกับฮ่องเต้ด้วยแล้วเหมือนกัน

ครู่หนึ่ง!

บรรยากาศอันน่าอึดอัดยังคงอบอวลอยู่ หลานเยาเยาจึงไอค่อกแค่กเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเรียบๆว่า:

“ในเมื่อที่จวนของใต้เท้าเฉียนมีคำให้การของพยานอยู่มากมาย ก็คงต้องขอให้ใต้เท้าเฉียนกลับไปที่จวน แล้วเอาทั้งหมดนั้นมาดูเสียหน่อย บางทีอาจจะเจอเบาะแสบางอย่างในนั้นก็ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

เฉียนตุ้นก็เงยหน้ามองฮ่องเต้ เพื่อรอคำอนุญาตของฮ่องเต้ เขาจะได้กล้าไปเอาคำให้การมา!

มีคนปัดเป่าความอึดอัดไปแล้ว

ใบหน้าของฮ่องเต้มีสีสันขึ้นมาอย่างชัดเจน

ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อการค้นพบตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า เขาก็ต้องตอบรับอยู่แล้ว

ที่ยิ่งไปกว่านั้น!

ความต้องการของเทพธิดา ก็คือสิ่งที่พระองค์อยากจะพูด

“อือ ข้าอนุมัติ”

เมื่อฮ่องเต้อนุญาตแล้ว เฉียนตุ้นก็ลุกขึ้นกำลังจะถอนตัวออกไป

ผู้ใดจะรู้ได้ว่า……

น้ำเสียงอันเย็นชาของฮ่องเต้จะดังขึ้นอีกครั้ง

“ให้สิงปู้ช่างชูนำคนไปเอามา”(สิงปู้ช่างชู คือเสนาบดีกรมอาญาสมัยโบราณ)

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

หน้าของเฉียนตุ้นก็ซีดเผือก หลังจากมีเสียง “ขอรับ” ดังขึ้นเบาๆ จากนั้นก็คุกเข่าลงอีกครั้ง

อันที่จริง จะให้ส้าวชิงจากศาลต้าหลี่กลับไปเอาเอง หรือจะส่งคนติดตามไปยังจวนของเฉียนส้าวชิง แล้วเอาเหล่าคำให้การเหล่านั้นกลับมาก็ได้

แต่ฮ่องเต้ดันตั้งใจส่งสิงปู้ช่างชูไปแทน

นั่นก็แสดงว่า ฮ่องเต้ไม่เชื่อในตัวเฉียนตุ้นอีกต่อไป ถึงได้ให้สิงปู้ช่างชูไปค้นจวนของเขาแทน

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

คนที่ไปจวนของเฉียนส้าวชิงก็กลับมา แต่ว่าคนที่กลับมามิใช่สิงปู้ช่างชู แต่เป็นองครักษ์คนหนึ่ง เขาถวายจดหมายที่ถืออยู่ในมือแก่ฮ่องเต้

ฮ่องเต้ที่มีสีหน้านิ่งเฉย เมื่อได้เห็นเนื้อหาด้านในจดหมาย สีหน้าก็ซีดลงในพริบตา เส้นเลือดสีเขียวตรงลำคอก็พาลปูดขึ้นมาด้วย

หลังจากพระองค์จ้องไปที่เฉียนตุ้น ก็เอ่ยด้วยเสียงที่เย็นยะเยือกในทันที:

“กระจายคำสั่งของข้า ให้สิงปู้ช่างชูค้นจวนทั้งข้างนอกและข้างในของเฉียนส้าวชิงให้ทั่ว”

“ขอรับ!”

หลังจากองครักษ์ได้รับคำสั่ง ก็รีบออกจากพระตำหนักกระดิ่งทองไปอย่างรวดเร็ว

รอยยิ้มที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ปรากฏขึ้นในแววตาของหลานเยาเยา

“อา……”

นางเหมือนเหนื่อยล้าที่จะยืน จึงได้นั่งลงอีกครั้ง

หลังจากนั้นสองชั่วสาม ยามบ่ายก็มาถึง สิงปู้ช่างชูนำเหล่าองครักษ์ทั้งหลายเข้ามายังพระตำหนักกระดิ่งทองอย่างรีบร้อน

แน่นอนล่ะ

ว่าองครักษ์จะเข้ามาได้ ก็เพราะมีสิ่งของอยู่ในมือกัน

สิงปู้ช่างชูคุกเข่าลงบนพื้น สองมือยกกล่องถวาย ไม่รู้เลยว่าในแววตานั้นคือตกใจหรือดีใจกันแน่

“ฮ่องเต้ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ค้นจวนของเฉียนส้าวชิง จึงได้ค้นพบตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าพระพุทธเจ้าข้า!”

“พรึบ……”

เหล่าข้าราชบริพารต่างปั่นป่วน

พวกเขาคงไม่ได้ยินผิดไปใช่หรือไม่?

ว่าสิ่งที่สิงปู้ช่างชูพูดคือตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าจริงๆ?

อีกทั้งยังมาจากในจวนของส้าวชิงจากศาลต้าหลี่ นี่มันชักจะเหลือเชื่อไปแล้วกระมัง?

“กระ กระไรนะ?”

ฮ่องเต้เองก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

เขารีบไปยืนอยู่ข้างขันทีที่กำลังไปเอามาให้ ในขณะที่ขันทีนำกล่องในมือของสิงปู้ช่างชูถือมาตรงหน้าพระองค์ ใจของพระองค์ก็สั่นเล็กน้อย

เป็นตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าจริงๆงั้นรึ?

หลังจากจ้องมองกล่องนั้นอยู่พักใหญ่ ฮ่องเต้ก็ยื่นมือไปเปิดกล่องออก

เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน มันคือตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าที่พระองค์เสาะหามานานกว่าสิบปีจริงๆ พระองค์ไม่รู้เลยว่าควรจะมีความรู้สึกอย่างไร

ขณะนั้น อารมณ์แสนซับซ้อนและไม่ชัดเจนก็ปรากฏ

ไม่นานนัก พระองค์ก็หัวเราะเสียงต่ำขึ้นมาอย่างเยือกเย็น

“หึหึหึ……”

สิ่งที่พระองค์แสวงหามาเนิ่นนานหลายปี ที่แท้ก็อยู่ในจวนของขุนนางที่เมตตาและเชื่อใจที่สุดนี่เอง ทั้งยังเป็นคนที่พระองค์สนับสนุนมากับมืออีกด้วย

น่าขัน……

น่าขันสิ้นดี!

หลังจากพระองค์หัวเราะเสียงต่ำอย่างเยือกเย็น สิงปู้ช่างชูก็ให้เหล่าองครักษ์วางของในมือ แล้วให้พวกเขาออกไป

“ฮ่องเต้……”

สิงปู้ช่างชูยังไม่ทันพูดจบ ฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นหยุดเขา

“มิต้องกล่าวสิ่งใด บอกข้ามาเลย ว่าพบมาจากในจวนของเฉียนส้าวชิงจริงๆงั้นรึ?” ความผิดใดๆ ก็ไม่ร้ายแรงไปกว่าความผิดในการซ่อนตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าไว้กับตัว

แค่ความผิดในการซ่อนตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าไว้กับตัว ก็เพียงพอที่จะให้จวนของเฉียวส้าวชิงโดนประหารไปทั้งชั่วโคตร

“ฮ่องเต้ขอรับ จดหมายและของกลางเหล่านี้ถูกพบในห้องมืดของห้องนอน ณ จวนของเฉียวส้าวชิงขอรับ”

“เช่นนั้นตราหยกแห่งราชวงศ์เก่ามาจากที่ใดกัน?”

“……อยู่ในห้องมืดของห้องมืดอีกทีขอรับ”

ในห้องมืดของห้องมืด

ซ่อนไว้ลึกถึงเพียงนั้น!

“ออกไปเสียไป!”

“ขอรับ!”

หลังจากที่สิงปู้ช่างชูถอยออกไป ฮ่องเต้มองไปทางเฉียนตุ้นพลางถามอย่างเยือกเย็น: “เจ้ามีสิ่งใดจะพูดอีกไหม?”

เฉียนตุ้นที่ปวกเปียกอยู่บนพื้นมานาน ตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้สั่งให้ค้นจวนแล้ว เขาก็รู้เลยว่าซวยแน่ๆ

เพียงแต่ สายตาของเขาจับจ้องไปยังกล่องที่มีตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าอย่างไม่ละสายตา

เหตุใดถึงได้มีตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าล่ะ?

เหตุใดการที่เขาแสวงหาตราหยกแห่งราชวงศ์เก่ามานานหลายปี กลับดันมาโผล่ที่จวนของตน ทั้งยังอยู่ในห้องมืดอีก?

ดูเหมือนว่าเขาจะได้สติในพริบตา และรีบกราบลงพื้นในทันที

“ปรักปรำ ฮ่องเต้ ข้าน้อยโดนปรักปรำ……”

“ปรักปรำเช่นนั้นรึ?” ฮ่องเต้ยิ้มอย่างขื่นขม พลางจ้องมองเขา และวินาทีนั้น ก็มีท่าทีเปลี่ยนไป หยิบจดหมายที่องครักษ์ถวายมาก่อนหน้านี้ โยนไปทางเขาในทันที

“พวกนี้คือจดหมายที่เจ้าเคยแอบติดต่อกับราชครูแห่งราชวงศ์เก่าไง อ่านเอาแล้วกัน!”

จดหมายอันเบาบาง ที่เปิดผนึกได้แยกตัวออกมา กระจัดกระจายไปทั่วโดยที่ยังไม่ทันถึงด้านหน้าของเฉียนตุ้น

เฉียนตุ้นรีบคลานเข่าไปข้างหน้า คว้าจดหมายมาอ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งเสียวสันหลัง…

ซวยแล้ว!

ซวยแล้วจริงๆ!

จดหมายพวกนี้มีอยู่ตั้งแต่ก่อนที่ราชวงศ์เก่าจะพินาศไป เป็นจดหมายการติดต่อของเขากับราชครูแห่งราชวงศ์เก่า

ในตอนนั้น เขาเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อย ถูกส่งไปประจำการอยู่ในท้องถิ่น บังเอิญโชคดี ได้รับความเมตตาจากราชครู ราชครูจึงเลื่อนตำแหน่งให้เขา

หลังจากนั้นมาเขาก็ติดตามราชครูมาโดยตลอด

หลังจากราชวงศ์เก่าพินาศไป ราชครูก็ทิ้งจดหมายไว้ให้เขาหนึ่งฉบับ ให้เขาทำเป็นซื่อบื้อเมื่ออยู่เคียงข้างฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และให้ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้…

จดหมายพวกนี้ เหตุที่เขาไม่ทำลายมันทิ้งไป ก็เผื่อว่าวันหนึ่งราชครูจะกลับมา หากราชครูจำเขาไม่ได้ เขาก็จะใช้จดหมายเหล่านี้เป็นตัวยืนยัน

ทว่า!

ราชครูแห่งราชวงศ์เก่าได้กลับมาแล้ว

และราชครูก็ไม่ได้ลืมเขา แต่เขากลับลืมทำลายจดหมายเหล่านี้ทิ้ง……

ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นหายนะแก่ตนเอง

เขาอ่านแล้วอ่านเล่า สุดท้ายน้ำตาก็ไหลรินออกมา

“ทหาร มาเอาเฉียนตุ้นมันไปขัง แล้วสอบสวนมันให้ละเอียด”

ฮ่องเต้มองดูขุนนางที่เคยเมตตาอย่างไร้ความปราณี ไส้ศึกของราชวงศ์เก่าในวันนี้ ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“ฮ่องเต้…”

ปล่อยจดหมายในมือทิ้ง เฉียนตุ้นร้องเรียกฮ่องเต้ด้วยเสียงแหบแห้ง

เขายังคงคิดว่าตนเองนั้นถูกปรักปรำ

มีคนจงใจป้ายสีเขา จริงๆแล้วเขาไม่รู้เลยว่าตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าไปอยู่ในห้องมืดได้อย่างไร

แต่เขาก็รู้ว่า

เพลานี้จะพูดสิ่งใดออกไปมันก็เท่านั้น!

และแล้ว!

เขาก็ลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซ จู่ๆเขาก็กระแทกเข้ากับเสาหินเคลือบสีแดงในโถงนั้น

“ตุ๊บ……”

เฉียนตุ้นล้มลงทันใด ทั้งเสาหินและพื้นต่างโชกไปด้วยเลือด

ฮ่องเต้จ้องมองเขาตาไม่กระพริบ จากนั้นก็สั่งให้ขุนพลนายหนึ่งไปดูว่าเฉียนตุ้นตายรึยัง

ขุนพลด้านหน้า ก็มองอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า

“ฮ่องเต้ เฉียนส้าวชิงสิ้นแล้วขอรับ!”

“รู้ล่ะ!” แค่นี้ก็ตายเสียแล้ว กากอะไรขนาดนี้

แต่ว่า!

เรื่องมันยังไม่จบ ฮ่องเต้ทอดสายตาไปทางหลานเฉินมู๋ด้วยความสงสัย ก็เห็นว่าหลานเฉินมู๋นั้นเหงื่อท่วมไปทั่วร่าง

จากนั้นหลานเฉินมู๋ก็แสดงความภักดีของตนอีกครั้ง พูดว่าตนมิได้รู้เห็นอันใดในเรื่องนี้เลยแม่แต่น้อย

แต่ฮ่องเต้ก็ได้ส่งคนไปตรวจค้นจวนแม่ทัพอย่างไม่ลังเล…