บทที่ 229 อยู่ทานข้าว

บทที่ 229 อยู่ทานข้าว

ฉินเย่จือวางฟืนไว้ใต้ชายคาแล้วกล่าวอย่างประจบประแจง “ข้าเห็นว่าไม่มีฟืนแล้ว จึงออกไปเก็บฟืนมาให้”

อาโม่ที่อยู่ในที่ลับสายตามองมา เมื่อไรกันที่เจ้านายของตนต้องมาใช้แรงงานเยี่ยงนี้

ฟืนเหล่านั้น คาดว่าคงเป็นฟืนที่พวกกู้เสี่ยวหวานรวบรวมมาไว้ข้างนอกหลายวันแล้ว

“ขอบคุณเจ้าแล้ว! รีบมากินข้าวเถอะ” กู้เสี่ยวหวานไม่ได้วางแผนที่จะเก็บคนผู้นี้ไว้ คนผู้นี้ทั้งยังอายุน้อย ทั้งรูปโฉมงาม ทั้งยังแข็งแรง เขาสามารถไปทำงานที่ไหนก็ได้ แต่เหตุใดเขาต้องมาอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมของนางเช่นนี้ด้วย ในตอนนี้กู้เสี่ยวหวานยังไม่เห็นถึงความตั้งใจของคนผู้นี้ แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นการดีที่จะแสดงให้คนผู้นี้ดูว่าที่บ้านของนางนั้นไม่มีอะไรเลย

เมื่อฉินเย่จือได้ยินเสียงเรียกให้ทานข้าวก็คลี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นช่างดูประจบประแจงเสียจริง

เขารีบตามหลังกู้เสี่ยวหวานเข้ามาในห้องอย่างว่องไว ในห้องยังตกแต่งเช่นเดิมเหมือนกับครั้งที่แล้ว เล็ก มืด และทรุดโทรม แต่ภายในห้องถูกจัดระเบียบไว้อย่างดี เตียงนั้นเป็นเตียงที่เขาเคยนอนอยู่ มองไปรอบ ๆ ไม่มีเครื่องเรือนที่ดีเลย เมื่อเห็นเขามองไปรอบ ๆ เช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็กล่าวว่า “เจ้าก็เห็นแล้วว่าสถานการณ์ของบ้านข้าเป็นเช่นไร ถ้าเจ้าจะอยู่เพื่อตอบแทน ที่นี่ก็ไม่มีที่ให้เจ้าอาศัยอยู่หรอกนะ”

กู้เสี่ยวหวานต้องการให้คนผู้นี้ออกไปโดยเร็วที่สุด หากแต่สีหน้าของฉินเย่จือกลับเคร่งขรึมขึ้นหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “ข้าไม่คาดหวังว่าชีวิตของแม่นางจะน่าสงสารเช่นนี้ ดูเหมือนว่าข้าควรอยู่และช่วยแม่นางแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานกลอกตาไม่สนใจเขาอีกต่อไป และจดจ่ออยู่กับมื้ออาหารตรงหน้า

ฉินเย่จือเติมข้าวต้มเต็มชามและยังมีผัดหน่อไม้ดองอีก ครั้งที่แล้วหลี่ฝานเคยพูดไว้ว่าผัดหน่อไม้ดองของร้านจิ่นฝูมาจากกู้เสี่ยวหวาน เพื่อแสร้งว่าตนเองไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ฉินเย่จือจึงกินอย่างตะกละตะกลาม กินข้าวราวกับลมพัดเมฆที่เหลือออกไป*[1] เมื่อทุกคนเห็นต่างก็ตกตะลึง

ฉินเย่จือไม่ได้ทานข้าวต้มที่อร่อยเช่นนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ได้ทานฝีมือของแม่นางผู้นี้ ยามใดเขาไปทานข้าวต้มของพ่อครัวที่อื่น ไม่ว่าจะทานอย่างไรมันก็ไร้รสชาติ ในวันนี้เขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ฉินเย่จือพึงพอใจมากจนยิ้มออกมาราวกับเด็กน้อย เขาพึงพอใจมากจริง ๆ

“แม่นาง อาหารที่เจ้าทำนั้นอร่อยมาก” ฉินเย่จือวางชามและตะเกียบลง เขารู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่ยังทำไม่เสร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะท้องของเขารับไม่ไหวแล้ว เขาคงจะกินอีกสองสามชาม

บางทีเขาคิดว่าเมื่อสักครู่นี้ เขาคงกินมากไปเสียหน่อย แต่เขาก็หิวจริง ๆ เพื่อแสดงความน่าสงสาร เขาจึงปล่อยให้ตนเองทนหิวมาถึงหนึ่งวันเต็ม เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง ฉินเย่จือก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย และกล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ขอโทษที ข้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ดังนั้น… ”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวอะไรไม่ออก เขาโตมาดูดีเช่นนี้ และสถานะของเขาคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จะมีชีวิตที่ตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร จนถึงตอนนี้ คนผู้นี้คงไม่ได้แสร้งทำ

หลังจากทานข้าวเสร็จ กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการให้ฉินเย่จืออยู่ที่นี่นานกว่านี้ หลังจากพูดกันไม่กี่คำ นางก็ส่งเขาออกไป “นายน้อย ครอบครัวข้าไม่ต้องการการตอบแทนจากเจ้าจริง ๆ ได้โปรดออกไปเถอะ”

ฉินเย่จือรู้สึกพ่ายแพ้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินออกจากประตูบ้านไป

เมื่อเขาออกจากบ้านไป กู้เสี่ยวหวานก็ใส่กลอนประตูจากด้านในอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเขาจะไปแล้วหรือยังไม่ไป ท่าทีของนางก็แสดงออกชัดเจนแล้ว ถ้าเขาตระหนักได้เขาก็ควรจะไปเสียที

กู้เสี่ยวหวานคิดเช่นนั้น นางจึงไม่สนใจเขาและสอนกู้หนิงผิงให้อ่านหนังสืออยู่ในห้อง ส่วนกู้เสี่ยวอี้ก็กำลังเล่นอยู่ไม่ห่าง

เมื่อถึงเวลาเตรียมอาหารกลางวัน กู้เสี่ยวหวานออกไปและมองไปรอบ ๆ ลาน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่นางไม่สามารถบอกได้ หลังจากคิดอย่างรอบคอบ ฟืนใต้ชายคาก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จะมีฟืนมากขึ้นได้อย่างไร

ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือก็กลับมาพร้อมกับฟืนอีกมัดบนหลังของเขา เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวาน เขายิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “แม่นาง!”

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าไม่ต้องการเจ้าจริง ๆ และข้าก็ไม่สามารถเลี้ยงเจ้าได้เช่นกัน”

เมื่อคนผู้นั้นได้ยิน เขาก็กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “แม่นาง ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเลี้ยงข้า ข้ามีมือมีเท้า ข้าสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ข้าแค่ต้องการที่กำบังลมและฝนเท่านั้น”

กู้เสี่ยวหวานรีบส่ายหัว “ข้ากับเจ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และข้าไม่รู้จักเจ้าเลย เช่นนั้นจะให้เจ้ามาอยู่ที่บ้านของข้าได้อย่างไร?”

ตามคำกล่าวที่ว่ารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้จะตอบแทนบุญคุณจริง ๆ หรือเขาจะใช้การตอบแทนบุญคุณเพื่อบังหน้า?

ฉินเย่จือรีบอธิบาย “แม่นาง เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ใช่คนเลว เจ้าดูสิ ข้ามีกำลังวังชา ข้าสามารถแบกน้ำและเก็บฟืนได้ และข้าก็ทำได้ดีกว่าพวกเจ้าเสียอีก”

กู้เสี่ยวหวานมาที่ห้องครัว แน่นอนว่านางเห็นว่าถังเก็บน้ำเต็มแล้ว คนผู้นี้ทำหลายสิ่งหลายอย่างแต่นางไม่รู้ได้อย่างไร? กู้เสี่ยวหวานงุนงงเล็กน้อย ทำไมคนผู้นี้มือเท้าเบาจัง?

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางส่ายหน้า คนผู้นี้จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนจริงหรือ?

เมื่อเตรียมอาหารเสร็จและถึงเวลาทานอาหารกลางวัน ฉินเย่จือยังไม่จากไป เขายังคงยืนอยู่ข้างกองฟืน มองกู้เสี่ยวหวานเดินเข้า ๆ ออก ๆ อย่างกระตือรือร้น

คนผู้นี้ดูดีเสียจนเมื่อเขาทำท่าทางน่าสงสาร ก็ทำให้ผู้คนอดที่จะช่วยเหลือไม่ได้ กู้เสี่ยวหวานบ่นในใจ รูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดใจของคนผู้นี้ และท่าทางที่น่าสงสารของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกผิด

เมื่อนางออกมาอีกครั้ง นางก็กล่าวกับฉินเย่จืออย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเข้ามากินข้าวเถอะ ช่างเรื่องที่เจ้าช่วยข้าตักน้ำและขนฟืนไปก่อน”

ฉินเย่จือรีบส่ายหัว “จะช่างเรื่องนี้ได้อย่างไร? แม่นาง เจ้าช่วยข้ามาแล้ว บุญคุณอันยิ่งใหญ่เช่นนี้จะช่างมันได้อย่างไร?”

กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการคุยกับเขาอีกต่อไป นางจึงโบกมือ “จะกินหรือไม่?”

ฉินเย่จือพลาดไม่ได้ เขารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และทันทีที่นางกล่าวออกมา เขาก็เกือบจะถึงโต๊ะแล้ว

กู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่ทักษะอันคล่องแคล่วของคนผู้นั้นและครุ่นคิด คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนแรกที่พวกเขาพบกัน และเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เขาดูดีมาก ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนผู้นี้ต้องการจะทำอะไร!

หลังอาหารกลางวัน ฉินเย่จือก็ถูกกู้เสี่ยวหวานไล่ออกจากบ้านอีกครั้ง

กู้เสี่ยวหวานวางแผนที่จะไปเดินดูรอบ ๆ หมู่บ้าน

*[1] อุปมาว่า หมดสิ้นไปในระยะเวลาอันสั้น