ตอนที่ 223 ดุดันขึ้นเรื่อยๆ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 223 ดุดันขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนเดินทาง ไป๋ชิงเหยียนมองสำรวจแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปสั่งเซียวรั่วเจียง “ท่านรีบส่งทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งสองคนไปรับตัวท่านหมอหงจากเมืองเฟิ่งไปส่งที่เส้าหยางจวิ้นซึ่งอยู่ติดกับภูเขาถงกู่เพื่อรอรักษาอาการของคุณชายเก้าโดยเร็วที่สุด!”

“ข้าให้คนไปรับตัวท่านหมอหงแล้วขอรับ ทว่า…ไม่ได้บอกว่าให้ไปที่เส้าหยางจวิ้น แต่หากจะไปเส้าหยางจวิ้นย่อมต้องผ่านโยวหวาเต้าอยู่แล้ว ข้าจะสั่งให้คนไปถ่ายทอดคำสั่งเดี๋ยวนี้ขอรับ” เซียวรั่วเจียงกล่าวเสียงต่ำ

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า ม้วนแผนที่เก็บแล้วส่งให้เซียวรั่วเจียง หญิงสาวก้าวขึ้นไปบนหลังม้า น้ำเสียงเยือกเย็นและหนักแน่น “พาทหารหน่วยกล้าตายไปทั้งหมด ออกเดินทางได้!”

“ขอรับ!”

ไป๋ชิงเหยียน เซียวรั่วเจียงและทหารทั้งหมดซึ่งมีจำนวนรวมกันไม่ถึงร้อยมุ่งหน้าไปยังชิวซานกวนอย่างรวดเร็ว

ไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าเร็วเลาะไปตามแนวภูเขา หญิงสาวไม่เคยร้อนใจเช่นนี้มาก่อน

นางไม่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวจิ่วเป็นเช่นไรบ้างจึงร้อนใจดั่งไฟสุม

หูของนางได้ยินเพียงเสียงลมและเสียงหัวใจของตัวเอง ตลอดทางหญิงสาวไม่ได้จุดคบเพลิงใดๆ ทั้งสิ้น อาศัยเพียงแค่แสงของดวงจันทร์ช่วยนำทางไปยังชิวซานกวน

“ย่ะ!” หญิงสาวเร่งความเร็วขึ้นอีก แทบอยากจะติดปีกบินไปเสียเดี๋ยวนี้

มือสังหารที่ลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิของซีเหลียง ไม่ต้องคิดนางก็รู้ว่าเสี่ยวจิ่วจะโดนทรมานอย่างโหดร้ายเพียงใดบ้าง

ไป๋ชิงอวิ๋น คุณชายเก้าของตระกูลไป๋เป็นคนที่เหมือนคุณชายเจ้าสำราญมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง เขาหยิ่งยโสและปากแข็ง ตอนเด็กๆ โดนทำโทษคุกเข่าในศาลบรรพชนไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง โดนโบยก็ไม่น้อย ทว่า ก็ยังแก้นิสัยดื้อรั้นของเขาไม่ได้อยู่ดี

ไป๋ชิงอวิ๋นเคยไม่พอใจในกฎของตระกูลที่ว่าบุตรอนุต้องคุ้มครองบุตรภรรยาเอก ทว่า เมื่อเผชิญอันตรายจริงๆ เขากลับเสียสละปกป้องไป๋ชิงเจวี๋ยผู้เป็นพี่ชาย เป็นคุณชายคนที่เจ็ดของตระกูลไป๋ซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกของท่านชายสี่แห่งตระกูลไป๋ เขาใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อทหารซีเหลียง ลอบแฝงกายเข้าไปในวังหลวงของซีเหลียงเพื่อสังหารจักรพรรดิซีเหลียง

หญิงสาวรู้ดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ไป๋ชิงอวิ๋นน้องชายคนที่เก้าของนางตัดสินใจปกป้องพี่น้องร่วมสายเลือดของตัวเองด้วยสัญชาตญาณ สละชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องพี่ชายเพื่อให้สายเลือดหลักของตระกูลไป๋ได้สืบทอดต่อไป

บนโลกนี้มักแบ่งแยกความสูงต่ำระหว่างบุตรภรรยาเอกและบุตรอนุ ทว่า สำหรับนางแล้ว ความสูงต่ำเหล่านี้เทียบไม่ได้กับความสัมพันธ์ทางสายเลือด สำหรับนางแล้ว การที่เสี่ยวจิ่วยังมีชีวิตอยู่คือสิ่งสำคัญที่สุด

ความเจ็บปวดเอ่อล้นอยู่ในใจของหญิงสาว ทว่า ถูกนางข่มเอาไว้ หญิงสาวกำบังเหียนแน่น ดวงตาล้ำลึกมองไปเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ นางต้องช่วยเสี่ยวจิ่วออกมาให้ได้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม

เซียวรั่วเจียงมองเห็นคณะทูตของซีเหลียงค่อยๆ เคลื่อนขบวนกลับไปยังชิวซานกวนอยู่ตรงถนนกว้างด้านล่างภูเขา ชายหนุ่มเอ่ยเรียกไป๋ชิงเหยียนเบาๆ “คุณหนูใหญ่ดูนั่นขอรับ!”

ด้านล่างภูเขา ขบวนทหารของซีเหลียงซึ่งชูคบเพลิงส่องทางทอดยาวราวกับลำตัวของมังกร

ทหารซีเหลียงเหล่านั้นคือทหารที่หลี่จือเจี๋ยพาไปเจรจาสงบศึกด้วย บัดนี้พวกเขากำลังเดินทางกลับไปยัง

ชิวซานกวน

ไป๋ชิงเหยียนมองกองทัพซีเหลียงซึ่งอยู่ด้านล่างภูเขานิ่ง กัดฟันกรอด “เซียวรั่วเจียงใช้ทางลัดนำไปยัง

ชิวซานกวน ต้องช่วยเสี่ยวจิ่วออกมาให้ได้ก่อนที่ขบวนของหลี่จือเจี๋ยจะกลับไปถึง!”

“ขอรับ!”

สถานการณ์เปลี่ยนแปลง เซียวรั่วเจียงขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าเพียงคนเดียว คนที่เหลือตั้งขบวนเป็นแถวเดียว ขี่ม้าตามเซียวรั่วเจียงไปยังเส้นทางบนภูเขาที่แคบและเร็วที่สุดที่จะไปถึงชิวซานกวน

ลมหนาวในยามค่ำคืนพัดแรง ทุกอย่างเงียบสงัด ป่าลึกมืดสนิท มีเพียงเงาที่เลือนรางเท่านั้น เส้นทางนี้ค่อนข้างอันตราย ทว่า ม้าวิ่งไปอย่างมั่นคงราวกับติดปีกบิน

ลมแรงพัดเศษกิ่งไม้และใบไม้ปลิวกระทบใบหน้า ทว่า หญิงสาวราวกับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ หากไม่พบหน้าเสี่ยวจิ่ว นางไม่มีทางสบายใจได้ เลือดร้อนในกายพลุ่งพล่าน สับสนกระวนกระวาย คิดเพียงต้องไปถึงให้เร็วที่สุด!

ชิวซานกวนอยู่กลางหุบเขาชิวซาน ทั้งสองด้านเป็นหน้าผาสูงชัน ชิวซานกวนเป็นด่านที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่อันตรายที่สุดของซีเหลียง การเดินทางจากโยวหวาเต้าไปยังภูเขาถงกู่ หรือการเดินทางจากภูเขาถงกู่ไปยังโยวหวาเต้า ไม่ว่าจะเดินทางอ้อมอย่างไรก็ต้องผ่านชิวซานกวนทั้งสิ้น

ชิวซานกวนอันตรายโดยธรรมชาติ ด้านล่างหน้าผาฝั่งที่ติดกับภูเขาถงกู่ของชิวซานกวนคือทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากมีปีกเท่านั้นจึงจะสามารถเดินทางไปยังภูเขาถงกู่โดยไม่ผ่านด่านเมืองชิวซานกวน มิเช่นนั้นอย่างไรก็ต้องเสียเวลาเดินอ้อมภูเขาชิวซานและชวนหลิงทั้งลูก

ภายในเมืองชิวซานกวน จู่ๆ บริเวณลานด้านหน้าของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็เกิดไฟไหม้ขึ้น เสียงตีกลองดังสนั่นอยู่บนถนน มองเห็นกลุ่มควันไฟสีแดงลอยอยู่ท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน ไฟเริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้น โรงเหล้าซึ่งอยู่ติดกับโรงเตี้ยมถูกเผาจนไหม้เกรียม

ชาวบ้านที่ยังสวมชุดนอนต่างพากันถือถังน้ำมาช่วยดับไฟ ทว่า พอไฟเริ่มมอดดับลง จู่ๆ “พรึ่บ” ไฟโหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรงกว่าเดิม เปลวไฟร้อนแรงราวกับพร้อมแผดเผาทุกสิ่ง ลุกลามไปตามรอยน้ำที่สาดดับ ผู้คนพากันถอยหลังหนีเป็นพัลวัน

ชาวบ้านในชิวซานกวนตกใจจนหน้าซีดเผือด

“น้ำมัน! คือน้ำมัน น้ำดับไม่ได้แล้ว มีคนจงใจวางเพลิง!”

“รีบไปแจ้งทางการเร็วเข้า! มีคนลอบวางเพลิง!”

เปลวเพลิงที่ลุกโหมทำให้ทหารที่คุ้มกันเมืองชิวซานกวนพากันตกใจ แม่ทัพผู้คุ้มกันเมืองรีบส่งทหารไปช่วยดับไฟ

ในโรงเตี๊ยม ดาบกวัดแกว่งไปมา ทหารยอดฝีมือของค่ายหู่อิงและทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งกำลังสู้รบอยู่กับคนของหลี่จือเจี๋ย

เสิ่นเหลียงอวี้ทราบดีว่าทันทีที่ไฟลุกขึ้น พวกเขาต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น หากทหารคุ้มกันเมืองชิวซานกวนมาถึง พวกเขาคงไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปแน่นอน!

เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าทหารหน่วยกล้าตายของซีเหลียงจะมีคนที่ฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ เขาจุดไฟเพื่อดึงดูดความสนใจของทหารคุ้มกันเมืองชิวซานกวน

เสิ่นเหลียงอวี้เห็นว่าทหารหน่วยกล้าตายของซีเหลียงพยายามสุดชีวิตที่จะล้อมพวกเขาไว้ที่นี่ เขาขบกรามแน่น ดวงตาวาวโรจน์ ตะโกนสุดเสียง “ฝ่าวงล้อมออกไปให้เร็วที่สุด!”

ดวงตาของเซียวรั่วไห่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลนิ่งขรึม มือหนึ่งถือดาบยาว มือหนึ่งถือมีดสั้น ด้านหลังแบกไป๋ชิงอวิ๋นที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือดและสลบไม่ได้สติเอาไว้ เขาใช้ผ้ารัดตัวของไป๋ชิงอวิ๋นให้ติดกับตัวของเขาแน่น เสิ่นเหลียงอวี้ เสิ่นชิงจู๋และไป๋จิ่นจื้อคุ้มกันเซียวรั่วไห่ที่แบกไป๋ชิงอวิ๋นไว้บนหลังให้อยู่ตรงกลาง ห้อมล้อมด้วยทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งและทหารยอดฝีมือของค่ายหู่อิงอีกชั้นหนึ่ง พวกเขาถูกล้อมอยู่ที่นี่ ยากที่จะเคลื่อนไหว

ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อแดงฉาน ถือหอกเงินคุ้มกันทางด้านหลังของไป๋ชิงอวิ๋น กัดฟันมองไปรอบกาย ป้องกันการลอบโจมตีจากทางด้านหลัง

จู่ๆ ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามากลางอากาศ ไป๋จิ่นจื้อเบิกตาโพลง ผลักเสิ่นชิงจู๋ที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือของตัวเองให้หลบไป “ระวัง!”

ลูกธนูแหลมคมปักลงที่ลำแขนของไป๋จิ่นจื้อที่ชักกลับไปไม่ทัน ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้

“คุณหนูสี่!” เสิ่นชิงจู๋ใช้ดาบยาวฟันลูกธนูที่พุ่งเข้ามาจนร่วงกราวลงบนพื้น

“มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้” ไป๋จิ่นจื้อกุมแขนของตัวเองพลางตะโกนออกมา

ทหารยอดฝีมือของค่ายหู่อิงได้ยินจึงเล็งมองไปยังตำแหน่งของพลธนูบนหลังคาสูง ทั้งสามคนปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว…เลือดลอยฟุ้ง จากนั้นทหารยอดฝีมือทั้งสามคนจึงปีนลงมาที่เดิม

การต่อสู้ระยะปะชิดตัวของทหารหน่วยกล้าตายของราชวงศ์ไม่อาจสู้ฝีมือของทหารกล้าแห่งค่ายหู่อิงที่ผ่านความเป็นความตายจากสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วนได้ พวกเขาว่องไว รู้จุดตาย ดุดันขึ้นเรื่อยๆ

เสิ่นเหลียงอวี้ที่ดวงตาแดงฉานเงยหน้ามองไปยังบริเวณลานด้านหน้าของโรงเตี๊ยมที่ไฟกำลังลุกโหม เขาได้ยินเสียงม้าดังแว่วเข้ามาจึงตวาดออกมาสุดเสียง “อย่าคะนองศึก ถอย ถอยทัพเดี๋ยวนี้! ฝ่าด่านพวกมันออกไป เร็วเข้า!”

ทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งและทหารยอดฝีมือแห่งค่ายหู่อิงได้ยินคำสั่ง ต่างทยอยมาล้อมข้างกายของเสิ่นเหลียงอวี้ บุกฝ่าไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

เป็นครั้งแรกที่ไป๋จิ่นจื้อตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตายเช่นนี้ สาวน้อยมองดูทหารยอดฝีมือแห่งค่ายหู่อิงล้มลงต่อหน้า มองดูทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งใช้หน้าอกของตัวเองเป็นเกราะกำบังให้พวกนางได้ฝ่าออกไปด้านหน้า จมูกของไป๋จิ่นจื้อมีแต่กลิ่นคาวเลือด ศีรษะตึงเครียด คุ้มกันอยู่ทางด้านหลังของไป๋ชิงอวิ๋น แกว่งดาบป้องกันลูกธนูที่พุ่งเข้ามาลอบทิศอย่างสุดชีวิต