ตอนที่ 260 รับฟังความเห็นจากลูกค้า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 260 รับฟังความเห็นจากลูกค้า

หลินม่ายเดินวนไปมารอบตลาดสดที่มีฝุ่นฟุ้งตลบหลายครั้ง พร้อมกันนั้นก็เงี่ยหูฟังความคิดเห็นของลูกค้าที่มีต่อตลาดไปด้วย

ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “จากนี้ไป ไม่ว่าฉันต้องการซื้อวัตถุดิบประเภทไหนจากตลาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คูปองอีกแล้ว นี่มันเยี่ยมมากเลย!”

ผู้หญิงท่าทางโลภมากอีกคนพูดว่า “คงจะดีกว่านี้มากถ้าราคาของที่นี่เทียบเท่ากันกับราคาของในตลาดสดแห่งอื่นที่ดำเนินการโดยรัฐ”

คำพูดของเธอทำให้ผู้หญิงหลายคนที่ได้ยินหันขวับมาตำหนิทันที

“ทำไมคุณถึงได้เรื่องมากแบบนี้นะ? พวกเขาอุตส่าห์อนุญาตให้มีการซื้อขายแบบไม่จำกัดปริมาณ แถมยังไม่ใช่คูปองก็แล้ว คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ!”

“ราคาสินค้าของที่นี่ไม่ได้แพงไปกว่าราคาสินค้าในตลาดของรัฐแห่งอื่นมากมายซะหน่อย ถึงราคาผักในตลาดอื่นจะถูกกว่า แต่ความสดใหม่ของผักดูก็รู้แล้วว่าไม่เท่ากัน ถ้าคุณไม่ถือสาที่จะกินผักเหี่ยว ๆ ก็ซื้อจากที่อื่นเถอะ ผักใบเขียวที่วางขายอยู่พวกนั้นเฉาจนใบเหลือง ต้องมานั่งคัดทิ้งจนเหลือกินไม่มาก พอเปรียบเทียบกันในเรื่องของคุณภาพแล้ว ผักที่วางขายอยู่ในตลาดนี้ไม่เห็นจะแพงไปกว่าผักที่วางขายในตลาดอื่นตรงไหน”

ผู้หญิงหลายคนที่กำลังเลือกซื้อผักต่างพยักหน้า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว!”

หลินม่ายยิ้มด้วยความพึงพอใจ พอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าสำนักงานของตลาดเปิดอยู่ จึงเดินเข้าไปข้างใน

เฉินเฟิงกำลังนอนกลิ้งไปมาบนโซฟาสภาพทรุดโทรมในสำนักงาน ดูเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนหนึ่ง

เนื้อหาในการสนทนาเหมือนเป็นแค่การคุยโวโอ้อวด ถกเถียง หรือแม้แต่หัวเราะเป็นบางครั้ง เช่น “ฮ่าๆๆ นายเข้าใจไหม ฉันเข้าใจแล้ว”

หลินม่ายยืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง ถึงรู้ว่าเฉินเฟิงไม่ได้คุยโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย แต่เขากำลังเจรจากับคนที่อยู่ปลายสาย หลัก ๆ คือติดต่อเกี่ยวกับเรื่องงานและด้านธุรกิจ

หลินม่ายมองเขาด้วยความสนเท่ห์

เขาไม่ได้เป็นแค่หัวหน้าแก๊งอันธพาลใต้ดินที่ถนัดแต่เรื่องตีรันฟันแทงและแสดงสีหน้าเย็นชาเพียงอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นทั้งแปดเซียนข้ามทะเล(1)และสาวสังคม(2)

คนแบบเขาช่างเปลี่ยนสีหน้าเก่งเกินไปแล้ว

เฉินเฟิงเหลือบไปเห็นหลินม่าย ก็รีบกรอกเสียงไปตามสายว่า “ไว้ค่อยคุยกัน” จากนั้นก็กดวางสายทันที

ไม่ถึงสามวินาที เขาก็กลับมาทำสีหน้าท่าทางไว้ตัวและเคร่งขรึมตามปกติ เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่างิ้วเสฉวน

“เธอก็มาด้วยเหรอ?” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังแตงโมที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำบนโต๊ะน้ำชา “แตงโมสักชิ้นไหม?”

ดูเหมือนว่าแตงโมลูกนี้เฉินเฟิงจะเป็นคนจัดการปอกและหั่นชิ้นด้วยตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะมีมุมที่ละเอียดบรรจงกับเขาเหมือนกัน

หลินม่ายนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หยิบแตงโมขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง “เมื่อวานฉันเพิ่งบอกให้หลี่หมิงเฉิงมาขอแรงลูกน้องของคุณไปรับซื้อแตงโมจากเมืองซื่อเหม่ยมาขาย ไม่คิดว่าคุณจะรวดซื้อพืชผลอื่น ๆ รวมถึงสัตว์ปีกและผักสดมาด้วย เฉพาะวันนี้วันเดียวคุณก็ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำซะแล้ว!”

แผนการเดิมของเธอคือรอให้ตลาดผักได้รับการปรับปรุงจนเสร็จทั้งหมดเสียก่อน และรอให้สินค้าประเภทอาหารทะเลตากแห้งจากชายฝั่งมาถึง จากนั้นค่อยเปิดกิจการตลาดสดอย่างเป็นทางการ

คาดไม่ถึงว่าเฉินเฟิงจะเริ่มต้นธุรกิจได้สวยทีเดียว ในขณะที่พื้นตลาดยังเต็มไปด้วยฝุ่น เขากลับเอาพืชผลทางการเกษตรที่ไปรับซื้อจากเมืองซื่อเหม่ยมาวางขายแล้ว

เฉินเฟิงหยิบแตงโมขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดกินมันเช่นกัน

หลินม่ายรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองดูแปลก ๆ

เมื่อไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย บรรยากาศก็น่าอึดอัดเป็นธรรมดา

เฉินเฟิง “ในเมื่อเธอต้องการขายแตงโม ผลิตผลอื่น ๆ ก็ควรถูกนำมาขายด้วยเหมือนกัน ยิ่งสินค้าหลากหลาย การค้าขายก็ยิ่งคล่องตัว ถึงยังไงการขายสินค้าหลาย ๆ อย่างพร้อมกันก็ดีกว่าขายแตงโมแค่อย่างเดียว ตลาดสดที่เธอทำสัญญาอยู่ยังต้องจ่ายทั้งค่าเช่าและภาษี ค่าใช้จ่ายพวกนี้ไม่ใช่ภาระเบา ๆ เลย!

อีกอย่าง พอชาวบ้านในเมืองซื่อเหม่ยเห็นว่าพวกเรามารับซื้อพืชผลถึงที่ พวกเขาต่างก็ตั้งตารอให้เรารับซื้อพืชผลที่พวกเขามีอยู่ สีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของพวกเขาช่างน่าสงสารเกินกว่าจะปฏิเสธ ฉันเลยตัดสินใจกว้านซื้อผลิตผลของพวกเขามาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โชคดีที่ขายดี ถ้าขายไม่ดีก็ไม่รู้จะรับมือยังไงเหมือนกัน”

ทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับธุรกิจของตลาดสดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหลินม่ายก็เดินไปที่แผงขายแตงโมกองพะเนิน แล้วขอซื้อแตงโมสองลูกใหญ่กลับบ้าน

ขณะที่เธอเดินผ่านร้านอาหารของชุนซิ่ง จู่ ๆ ชุนซิ่งก็เชิดคางขึ้นแล้วโพล่งออกมาเสียงดัง “ใครบางคนแถวนี้คิดว่าตัวเองเป็นแม่พระ หารายได้จากการรับซื้อพืชผลทางการเกษตรมาขายต่อ แต่กลับเลือกว่าจะขายให้ใครหรือไม่ขายให้ใคร คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน! ตั้งใจไม่ขายให้ฉัน แล้วคิดว่าฉันจะหาซื้อข้าวโพดจากที่อื่นไม่ได้งั้นเหรอ? ตลาดสดของรัฐบนถนนเจี่ยฟางก็มีข้าวโพดขาย ซื้อได้ไม่จำกัดจำนวน ขายแค่ฝักละหนึ่งเหมาห้าเฟิน แถมข้าวโพดยังดีมาก ฝักยาวใหญ่ เมล็ดเรียงตัวแน่นเต็มฝัก!”

พูดจบแล้วก็ชำเลืองมองหลินม่ายด้วยสายตาเยาะเย้ย “ดีกว่าข้าวโพดที่บางคนเอามาขายเสียอีก”

เสียงตะโกนของหล่อนค่อนข้างดัง เพื่อนบ้านหลายคนที่อยู่ในละแวกเดียวกันก็ออกมายืนฟังโดยอยู่ห่างออกไปประมาณสองเมตร รอดูการแถลงสุนทรพจน์ของหล่อน

พอได้ยินแบบนั้นใครคนหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะโต้เถียง “ต่อให้คุณภาพจะดีแค่ไหนก็เถอะ แต่ราคาของมันตั้งหนึ่งเหมาห้าเฟิน ข้าวโพดที่พวกเราซื้อมาราคาแค่ฝักละเก้าเฟินเท่านั้น!”

ชุนซิ่งหรี่ตามองอีกฝ่าย “ฉันหมายถึงราคาขายส่งต่างหาก ถ้าคุณไปขอซื้อในราคาขายส่ง พวกคุณจะได้มาในราคาแค่ฝักละหนึ่งเหมา!”

ทุกคนทำหน้ามุ่ยพร้อมกัน “ก็ยังแพงกว่าอยู่ดี…”

“แพงตรงไหนกัน ข้าวโพดพวกนั้นคุณภาพดีกว่าที่พวกคุณซื้อมาจากใครคนนั้นตั้งเยอะ!”

หลินม่ายโบกมือไปทางชุนซิ่ง “ใจเย็น ๆ ในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ยังจะตะโกนให้เสียเหงื่อไปทำไมกัน ถ้าจะพาดพิงถึงกันขนาดนี้ สู้พูดชื่อฉันออกมาตรง ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ ยังไงก็เถอะ ฉันอยากบอกอะไรให้เธอรู้ไว้อย่างหนึ่ง ฉันทำสัญญาการค้ากับตลาดสดถนนเจี่ยฟางแล้ว และกำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็นตลาดสดฝูตัวตัวในเร็ว ๆ นี้ ข้าวโพดที่เธอซื้อมาจากที่นั่นก็เป็นของฉันด้วยเหมือนกัน คุณภาพข้าวโพดที่มาจากแหล่งเดียวกันจะแตกต่างกันได้ยังไง อย่าพยายามยั่วยุถูกให้กลายเป็นผิดเลยทั้ง ๆ ที่เธอไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร”

ชุนซิ่งตกตะลึง หล่อนนึกไม่ถึงว่าหลินม่ายจะทำสัญญาการค้ากับตลาดสดของรัฐบนถนนเจี่ยฟางในฐานะเจ้าของคนใหม่

หลินม่ายหันไปพูดกับเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ให้ได้ยินโดยทั่วกัน “หรือพวกคุณจะไปซื้อข้าวโพดจากตลาดสดของรัฐที่มีราคาขายส่งอยู่ที่ฝักละหนึ่งเหมาก็ได้นะคะ”

“ไม่ๆๆ พวกเรายังอยากซื้อจากเธอโดยตรง ขอแค่เธอยังขายให้พวกเราในราคาฝักละเก้าเฟินเหมือนเดิม”

ถึงแม้ว่าราคาจะถูกกว่ากันแค่เฟินเดียว แต่ถ้าซื้อพวกมันในปริมาณมาก ก็ประหยัดเงินไปได้มากโข

หลินม่ายพยักหน้า “แน่นอนค่ะ ตราบใดที่พวกคุณซื้อข้าวโพดจากฉันครั้งละห้าร้อยฝัก คุณจะยังได้รับสิทธิประโยชน์นี้เหมือนเดิม”

เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้จะกลายเป็นลูกค้าขาประจำของเธอในอนาคต ไม่แน่ว่าใครสักคนอาจยกระดับกลายเป็นผู้ขายรายใหญ่ ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้รับส่วนลดมากหรือน้อย

หลังจากได้ยินแบบนั้น ชุนซิ่งก็กลอกตาขึ้นฟ้า คิดในใจว่าถ้าหล่อนไปที่ตลาดสดในวันพรุ่งนี้เพื่อขอซื้อข้าวโพดห้าร้อยฝักในราคาขายส่ง หล่อนจะต่อรองให้ได้ราคาที่ต่ำกว่า

หลินม่ายพูดต่อไป “ฉันยังรับซื้อมันฝรั่ง ถั่วแระ และผักอื่น ๆ มาวางขายในตลาดด้วยนะคะ พวกคุณสามารถไปขอซื้อพวกมันในราคาขายส่งได้เช่นเดียวกัน”

ผักอื่น ๆ อย่างมันฝรั่งและถั่วแระสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารว่างเพื่อขายในช่วงกลางคืนได้ เดิมทีเจ้าของแผงอาหารต่างก็ต้องการผักพวกนี้อยู่แล้ว

เพื่อนบ้านคนหนึ่งถาม “เธอขายมันฝรั่งกับถั่วแระในราคาขายส่งเท่าไหร่ล่ะ?”

หลินม่ายเสนอราคาขายส่งให้พวกเขา แต่คราวนี้เธอไม่ได้ให้ราคาพิเศษ

ก่อนหน้านี้เธอเคยให้พวกเขาซื้อข้าวโพดในราคาพิเศษไปแล้ว สำหรับพืชผลประเภทอื่นจึงไม่เสนอราคาพิเศษให้อีก

ถึงอย่างไรราคาดังกล่าวก็ถูกกว่าราคาขายส่งของวัตถุดิบที่มีวางขายในตลาดมืดอยู่ดี

เจ้าของแผงอาหารหลายรายที่ขายอาหารแบบบรรจุกล่องและข้าวผัดในช่วงเที่ยงก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน “ไว้ฉันจะไปอุดหนุนผักใบเขียวจากตลาดของเธอนะ”

พอเห็นแบบนั้น ชุนซิ่งก็โกรธมากจนอยากจะกระอักเลือดออกมา

ตอนแรกหล่อนตั้งใจจะทำลายธุรกิจขายส่งข้าวโพดของหลินม่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม ไม่เพียงทำลายธุรกิจของอีกฝ่ายไม่สำเร็จ แต่ยังช่วยส่งเสริมให้กิจการตลาดสดของเธอขายดีขึ้นไปอีก

หลินม่ายกลับไปที่ร้านอาหาร ส่งแตงโมลูกใหญ่ให้โจวฉายอวิ๋น ให้อีกฝ่ายนำไปผ่าแล้วแบ่งกันกินกับพนักงานคนอื่น ๆ ในร้าน

จากนั้นเธอก็อุ้มแตงโมอีกลูกขึ้นไปชั้นบน

โต้วโต้วเดินตามเธอขึ้นมาเพราะหวังว่าจะได้กินแตงโมด้วย

หลินม่ายผ่าแตงโมลูกใหญ่ออกเป็นสองซีก นำแตงโมซีกที่ใหญ่กว่าไปแช่เย็นไว้ในตู้แช่ ก่อนจะหั่นแตงโมอีกซีกหนึ่งที่เล็กกว่าออกเป็นชิ้นพอดีคำให้เด็กหญิงตัวน้อยกินง่าย ๆ

อาหวงนั่งลงข้าวโต้วโต้ว แลบลิ้นยาวไปด้วยพลางมองดูเธอกิน

โต้วโต้วเป็นเด็กใจอ่อน พอเห็นว่าอาหวงนั่งมองจนน้ำลายหยดติ๋งลงพื้น ก็แอบยื่นแตงโมชิ้นหนึ่งให้มันกินด้วยความสงสาร

พออาหวงลองดมกลิ่น ท้ายที่สุดมันก็ไม่ยอมกินแม้แต่คำเดียว

หลินม่ายอดนึกขันไม่ได้ แต่เธอไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่ง เดินลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมทำอาหารมื้อกลางวัน

ระหว่างนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของโต้วโต้วที่กำลังสั่งสอนอาหวงดังมาจากชั้นบน “แกไม่ควรจู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารมากเกินไป รู้ไหม นี่เป็นของที่ดีต่อสุขภาพของแกเชียวนะ”

เฮ้ ทำไมคำพูดพวกนั้นถึงได้ฟังดูคุ้นหูนักนะ?

นี่ไม่ใช่ประโยคที่เธอมักจะสอนเด็กหญิงตัวแสบเป็นประจำหรอกหรือ?

หลินม่ายหัวเราะออกมาทันที

เธอกินอาหารมื้อกลางวันไปได้แค่ครึ่งกระเพาะ จู่ ๆ นายช่างจางก็แวะมาหา บอกว่ามีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับเธอ

………………………………………………………………………………………………………………. (1)แปดเซียนข้ามทะเล อุปมาว่า มีความสามารถในวิถีทางของตัวเอง

(2)สาวสังคม แปลประมาณว่า เป็นคนที่ชอบคบค้าสมาคม/เข้าสังคม หรือถ้าเปรียบเทียบคำไทย ๆ ก็คือนางงามมิตรภาพ

สารจากผู้แปล

จะหาเรื่องเขา กลับกลายเป็นส่งเสริมเขาไปเสียอีก ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสารชัดๆ

ไหหม่า(海馬)