ตอนที่ 259 หลินเพ่ยหน้าแตก

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 259 หลินเพ่ยหน้าแตก

หลินม่ายคาดเดาได้ถูกต้อง หลังจากหลินเพ่ยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ชื่อเสียงของหล่อนก็พลอยเสื่อมเสียไปด้วย ซุนกุ้ยเซียงและคนอื่น ๆ ทนไม่ได้หากหล่อนจะอยู่บ้านเฉย ๆ จึงบังคับให้หล่อนออกไปทำงานในไร่นา

แต่หลินเพ่ยไม่ใช่คนที่แบกรับความลำบากได้ตั้งแต่เด็ก วันดีคืนดีหล่อนจึงแกล้งป่วย วันต่อมาก็แกล้งทำเป็นขาเคล็ด ทำให้หล่อนไม่ได้ทำงานหนักเท่าคนอื่น

ซุนกุ้ยเซียงยังดี แค่ดุด่าหล่อนไม่กี่รอบจากนั้นก็ปล่อยผ่าน

แต่หลินเจี้ยนกั๋วที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เขาหรือจะทนเห็นหลินเพ่ยทำตัวขี้เกียจได้?

ทุก ๆ วัน ชาวบ้านจึงมักจะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดของหลินเพ่ย เพราะถูกผู้เป็นพ่อใช้ไม้ฟาด

แต่หลินเพ่ยกลับไม่เข็ดหลาบ ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำ พอได้ทำก็ทำถึงที่สุด หล่อนขโมยเงินก้อนสุดท้ายของครอบครัวแล้วหนีออกจากบ้านไปตายเอาดาบหน้าที่เจียงเฉิง

ทว่าเงินจำนวนน้อยนิดที่หล่อนขโมยมาจากบ้านกลับไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ไม่นานนักทั้งเงินทั้งเสบียงก็หมดเกลี้ยง

ในขณะที่หล่อนกำลังเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างไร้จุดหมาย ก็บังเอิญเห็นประกาศรับสมัครงานที่หน้าประตูทางเข้าร้านอาหารของหลินม่าย จึงมายืนรอสมัครงานด้วยคน

หลินม่ายเดินผ่านด้านหลังของหลินเพ่ยไป เห็นว่าหล่อนกำลังคุยโม้กับผู้สมัครชายที่มีอายุประมาณยี่สิบด้วยท่าทางดัดจริต

หล่อนโกหกพวกเขาว่าพ่อแม่ของเธอทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตนเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ระหว่างนี้จึงหาสมัครงานเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต

เมื่อหลินม่ายได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย ก็รู้ทันทีว่าหล่อนกำลังจะขุดหลุมดักผู้ชายอีกครั้ง

ผู้หญิงสำส่อนแบบหล่อน ถ้าไม่งัดมารยาออกมาจับผู้ชาย คงดำเนินชีวิตอย่างปกติธรรมดาไม่ได้

หลินม่ายรีบเปิดโปงหล่อนทันที “หลินเพ่ย คนอื่น ๆ อาจไม่รู้จักเธอ แต่ฉันน่ะรู้จักเธอเป็นอย่างดี เราทั้งคู่ต่างก็มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เธอต่างหากที่สวมรอยใช้ชื่อของคนอื่นเพื่อเข้าเรียนชั้นมัธยม พอทางโรงเรียนจับได้ก็ถูกไล่ออก ยังมีหน้ามาโกหกคนอื่นอีกเหรอว่าตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้? พ่อแม่ของเธอเป็นแค่ชาวนาธรรมดานี่ พวกเขากลายเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมคนในหมู่บ้านไม่ยักรู้เรื่องนี้ล่ะ?”

ชายหนุ่มเหล่านั้นส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามไปทางหลินเพ่ย ก่อนจะถอยกรูดออกห่างจากหล่อนทันที

หล่อนจะมาจากบ้านนอกไม่ผิดหรอก พ่อแม่ของหล่อนเป็นแค่ชาวนาก็ไม่ผิดเหมือนกัน สิ่งที่ผิดคือหล่อนพูดจาโกหกอย่างหน้าไม่อาย

เมื่อกี้นี้พวกเขาได้ยินหล่อนแนะนำตัวคร่าว ๆ พอรู้ว่าหล่อนมีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี แถมยังจบชั้นมัธยมปลาย พวกเขาจึงรู้สึกสนใจหล่อนขึ้นมา

พอหลินเพ่ยถูกหลินม่ายเปิดโปงต่อหน้าสาธารณชน ใบหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายผิวขาวขึ้น หน้าตาสดใสขึ้น แถมยังแต่งตัวสวย หล่อนก็รู้สึกอิจฉา

หล่อนกลอกตาพลางพูดจาเหน็บแนม “เธอสูงส่งกว่าฉันตรงไหน เธอเองก็มาสมัครงานเหมือนกับฉันไม่ใช่เหรอ! ยังปากดีหัวเราะเยาะฉันอีก หน้าไม่อายเลยจริง ๆ!”

หลินม่ายไม่สนใจหล่อนอีก เดินกลับเข้าไปในร้าน

ผู้สมัครบางคนหันหน้าไปถามหล่อนด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ หล่อนคงเป็นเจ้าของร้านนี้ใช่ไหม?”

หลินเพ่ยพูดจาเหยียดหยาม “นั่นน่ะหรือเจ้าของร้าน? หล่อนก็คงมาสมัครงานเหมือนกับเรานี่แหละ!”

ผู้สมัครอีกคนไม่ได้โต้แย้ง ถึงยังไงหลินม่ายก็ยังดูอายุน้อยอยู่ คงไม่น่าเป็นเจ้าของร้านที่เปิดรับสมัครพนักงานแน่

หลินม่ายขอให้หลี่หมิงเฉิงช่วยย้ายโต๊ะกับเก้าอี้ตัวหนึ่งไปตั้งไว้ในลานหลังบ้านสำหรับนั่งคัดเลือกผู้สมัคร จากนั้นก็ให้หลี่หมิงเฉิงพาผู้สมัครทุกคนเดินอ้อมเข้ามาที่ลานหลังบ้าน

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่หมิงเฉิงก็เดินนำผู้สมัครคนอื่น ๆ เข้ามา หลินเพ่ยเองก็เดินตามเข้ามาด้วย

ทันทีที่ผู้สมัครเห็นว่าหลินม่ายนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ดูเหมือนเป็นโต๊ะสำหรับรับสมัคร พวกเขาต่างก็คาดเดาว่าเธอต้องเป็นเจ้าของร้านนี้ไม่ผิดแน่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่นั่งในตำแหน่งดังกล่าว

เมื่อเห็นผู้สมัครคนแรกเดินตรงไปหาเธอแล้วติดต่อสมัครงาน การคาดเดาของทุกคนจึงได้รับการยืนยันชัดเจน

ผู้สมัครหลายคนต่างหันมองหลินเพ่ยด้วยสายตาขบขัน

เมื่อกี้นี้หล่อนยังกล่าวหาว่าเธอเป็นแค่คนว่างงาน แต่ตอนนี้หล่อนกลับอยากมาสมัครงานกับเธอเสียอย่างนั้น แบบนี้ไม่ถือเป็นการตบหน้าตัวเองหรอกหรือ!

หลินเพ่ยตระหนักทันทีว่าต่อให้ตัวเองเข้าแถวสมัครงาน หลินม่ายก็คงไม่รับหล่อนเข้าทำงานแน่ ดังนั้นจึงแอบหนีออกไปจากตรงนี้อย่างเงียบ ๆ

หลินม่ายใช้เวลาร่วมสามชั่วโมงกว่าขั้นตอนการสรรหาคนจะเสร็จสิ้น

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการรับสมัครงานในครั้งนี้ คือการที่เธอคัดเลือกชายหนุ่มไฟแรงผู้มีพรสวรรค์ชื่อเจิ้งซวี่ตง ให้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการร้าน

เจิ้งซวี่ตงจบการศึกษาในระดับวิทยาลัยแล้วจึงหางานทำ เขาเรียนจบสาขาการจัดการมาโดยตรง

เป็นผลให้หน่วยงานของรัฐรับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งปฏิรูปองค์กร แต่กลับต้องเผชิญกับการต่อต้านจากระดับบนลงล่าง ทำให้การปฏิรูปองค์กรของเขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า

ทำไปได้สักพักเขาก็เริ่มรู้สึกท้อแท้ อืดอาดหมดไฟ แต่เขาไม่ต้องการให้ชีวิตตัวเองดำเนินต่อไปแบบนี้

ทันทีที่เห็นประกาศรับสมัครงานของหลินม่าย เขาจึงรีบมาสมัครอย่างไม่ลังเล ตำแหน่งที่สนใจคือตำแหน่งผู้จัดการร้านเปาห่าวซือ

หลินม่ายพูดคุยกับเขานานกว่าสิบห้านาที เธอพบว่าเขาเป็นคนมีกระบวนความคิดด้านการจัดการที่เฉียบแหลมมาก ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจ้างทันที

ถึงเธอจะชื่นชมในความสามารถของเจิ้งซวี่ตงมาก แต่หลินม่ายรู้ดีว่าคนบางคนเช่นม้าเจ๊ก(1)นั้นเก่งกาจด้านการพูดเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับประสบความล้มเหลวเมื่อต้องลงมือปฏิบัติจริง

เธอจึงขอให้เจิ้งซวี่ตงรับผิดชอบด้านการฝึกอบรมพนักงานใหม่ เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงทักษะความสามารถที่แท้จริงของเขา แต่ถ้าเขาไม่สามารถทำงานนี้ได้ก็แค่แยกย้ายกันไป

หลังจากการรับสมัครสิ้นสุดลง หลินม่ายไม่รีบกลับเข้าบ้านไปพักผ่อน แต่ตรงไปที่ตลาดสด

จวนเที่ยงวัน หลี่หมิงเฉิงและลูกน้องของเฉินเฟิงที่ได้รับมอบหมายให้ไปรัฐซื้อแตงโมและแตงอื่น ๆ จากเมืองซือเหม่ยควรกลับมาถึงแล้ว เธอจึงอยากแวะไปดูว่ายอดขายมีทิศทางเป็นอย่างไรบ้าง

ยังไม่ทันเดินเข้าตัวตลาด เธอเห็นว่าหน้าประตูทางเข้ามีแตงโมสีเขียววางกองอยู่เป็นจำนวนมาก ลูกค้าหลายคนต่างแย่งกันซื้อ สถานการณ์ดูมีชีวิตชีวามาก

หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจมากที่คนเหล่านี้ต่างมารุมล้อมอยู่หน้าประตูทางเข้าตลาดเพื่อซื้อแตงโม

ตลาดสดยังไม่เปิดทำการอย่างเต็มรูปแบบ ด้านในไม่มีสินค้าอะไรวางขาย แล้วทำไมลูกค้าถึงมารวมตัวกันที่นี่

พอเธอเดินมาถึงแตงโมที่กองทับถมกันสูงเท่าภูเขา ลูกน้องของเฉินเฟิงที่กำลังขายแตงโมอยู่จึงทักทายเธอทันที “สวัสดีครับ เถ้าแก่เนี้ยหลิน”

หลินม่ายยิ้มตอบ “สวัสดี นายทำงานหนักแล้ว วันนี้ขายแตงโมได้กี่ลูกแล้วล่ะ?”

ลูกน้องคนหนึ่งโคลงศีรษะ “ผมไม่รู้เหมือนกันว่าขายไปกี่ลูกแล้ว แต่วันนี้พวกเรารับซื้อแตงโมมาประมาณห้าร้อยลูกครับ”

แตงโมที่เจริญเติบโตจากดินคุณภาพดีของเมืองซือเหม่ยให้ผลผลิตอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดลูกต่อต้น ค่าเฉลี่ยจึงอยู่ที่ต้นละสิบลูก

ถ้าขายแตงโมได้มากกว่าห้าร้อยลูก เธอจะได้กำไรอย่างต่ำเจ็ดสิบถึงแปดสิบหยวน ถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างดี

หลินม่ายเดินไปรอบ ๆ แตงโมกองพะเนิน ก่อนจะเดินเข้าไปในตลาดสดด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เธออยากรู้ว่าตลาดสดที่ว่างเปล่ามีสินค้าอะไรกัน ที่สามารถดึงดูดลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อแตงโมอยู่นั้นให้เข้าไปข้างใน

พอเห็นภาพตรงหน้าแล้วเธอจึงไม่แปลกใจเลย พื้นที่ครึ่งหนึ่งของตลาดสดยังปรับปรุงไม่เสร็จ แต่อีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยผลิตผล เช่น ฟักเขียว แตงหวาน ข้าวโพด มันฝรั่ง… รวมถึงพืชไร่ต่าง ๆ ผักใบเขียว ไก่ เป็ด ห่านเป็น ๆ ยังมีไข่ไก่ ไข่เป็ด และไข่เป็ดเค็มวางขายอีกด้วย

เพียงแต่วัตถุดิบอย่างไก่ เป็ด และห่านเป็น ๆ รวมถึงไข่ประเภทต่าง ๆ มีจำนวนไม่มากนัก

ถึงอย่างนั้นลูกค้าจำนวนมากก็ยังกระตือรือร้นที่จะซื้อ ถึงแม้ภายในตลาดจะยังมีฝุ่นตลบคลุ้งเนื่องจากเพิ่งมีการบูรณะปรับปรุงใหม่ แต่ทุกคนก็ยังแย่งกันแทบตายเพราะกลัวซื้อไม่ทัน

ถึงอย่างนั้นก็เป็นไม่ได้ที่ทุกคนจะได้รับสินค้าอย่างทั่วถึง ในเมื่อพระมากแต่โจ๊กน้อย(2)เกินไป

เด็กหนุ่มที่รับผิดชอบแผงขายสัตว์ปีกตะโกนเสียงดัง “อย่ารีบร้อน อย่าเบียดกัน ถ้าวันนี้ซื้อไม่ทัน ค่อยมาใหม่วันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย พรุ่งนี้เช้ายังมีไก่ เป็ด และห่านเป็น ๆ ขายเหมือนเดิม ตอนนี้ตลาดสดของรัฐได้ทำสัญญากับเจ้านายของพวกเราแล้ว ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้คูปองเหมือนตลาดสดที่อื่น ไม่จำกัดปริมาณการซื้อด้วย”

ถึงแม้เขาจะพยายามตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่ลูกค้าเหล่านั้นก็ยังคงเบียดเสียดกันเหมือนเดิม

หลินม่ายพอเข้าใจอยู่บ้าง การที่สัตว์ปีกพวกนี้ขายดีเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณภาพของสินค้าที่ดี

แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธอกับเฉินเฟิงคอยควบคุมราคาเอาไว้

พวกเขาทั้งสองกำหนดราคาสินค้าประเภทต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

นอกเหนือจากสินค้าหายากแล้ว ราคาของสินค้าอื่น ๆ ถูกกำหนดให้มีราคาถูกกว่าตลาดมืด แต่ต้องสูงกว่าราคาสินค้าในตลาดสดของรัฐแห่งอื่น

วิธีนี้ไม่เพียงรับประกันว่าสินค้าที่วางขายอยู่ในตลาดสดของรัฐแห่งอื่นจะยังขายได้ แต่ยังเป็นการแข่งขันทางธุรกิจกับตลาดมืดอีกด้วย

พอลูกค้าทั้งหลายเห็นว่าสินค้าทางการเกษตรต่าง ๆ ในตลาดสดของเธอมีราคาถูกกว่าของในตลาดมืด พวกเขาจึงเต็มใจซื้ออย่างไม่อิดออด

ส่วนเหตุผลที่หลินม่ายยังกำหนดราคาสินค้าบางอย่างให้สูงกว่าตลาดสดของรัฐแห่งอื่น เพราะเธอไม่อยากแข่งขันทางธุรกิจกับกิจการที่ดำเนินการโดยรัฐอย่างออกนอกหน้า

เธอกลัวว่าเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐรู้เข้า พวกเขาอาจตราหน้าว่าเธอทำลายความสมดุลของเศรษฐกิจในท้องตลาด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเธอคงถูกตัดช่องทางทำมาหากินเป็นแน่

เธอต้องการสร้างรายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน

………………………………………………………………………………………………………………

ม้าเจ๊ก เป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องสามก๊ก หนึ่งในที่ปรึกษาหรือกุนซือและแม่ทัพคนหนึ่งของจ๊กก๊ก

พระมากโจ๊กน้อย เป็นสำนวนเปรียบเทียบว่า คนมีจำนวนมาก แต่สิ่งของมีน้อยไม่พอแบ่ง

สารจากผู้แปล

ว้ายยย หน้าแตกยับขนาดนี้ จะหาเงินไปเย็บคืนจากไหนอะนังเพ่ย

การทำธุรกิจใหญ่ในยุคนี้ก็งี้แหละน้า หาเงินไม่พอยังต้องเซฟตัวเองด้วย

ไหหม่า(海馬)