ตอนที่ 258 ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 258 ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ

แม่ของเด็กสาวคนนั้นชี้ไปตรงคอเสื้อพลางพูดเสียงดัง

“เสื้อตัวนี้ไม่มีป้ายยี่ห้อนี่ หมายความว่าเป็นเสื้อผ้าที่เธอตัดเย็บขึ้นเอง ในเมื่อตัดเย็บเองจริง ๆ ทำไมถึงยังวางขายในราคาที่แพงขนาดนี้ ไม่เอาเปรียบกันเกินไปเหรอ!”

ในยุคนี้ ถึงแม้เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเองจะมีราคาไม่ถูกนัก แต่ก็ยังมีราคาถูกกว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่วางขายในห้างสรรพสินค้า

สำหรับการรับรู้ของคนส่วนใหญ่แล้ว การขายเสื้อผ้าที่ตัดเย็บขึ้นเองในราคาแพงลิ่วเทียบเท่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปถือเป็นสิ่งที่รับไม่ได้อย่างยิ่ง

หลินม่ายลืมนึกถึงความจริงข้อนี้ไป ดังนั้นจึงต้องยอมให้อีกฝ่าย “ถ้างั้น… ฉันลดราคาให้คุณสองหยวน เหลือแค่สิบหยวนก็พอ”

“แปดหยวน!” แม่ของเด็กสาวต่อรองเฉียบขาด

หลินม่ายตัดพ้อ “คุณป้า ลดราคาขนาดนั้นคนขายอย่างฉันจะไม่ได้กำไรเอานะคะ…”

“เป็นไปไม่ได้!” แม่ของเด็กสาวคำนวณราคาต้นทุนอย่างละเอียด “ผ้าผืนนี้ราคาไม่ควรเกินเมตรละสี่หยวน เสื้อเชิ้ตแบบนี้ใช้ผ้าแค่หนึ่งเมตร ในเมื่อต้นทุนแค่ประมาณสี่หยวน เธอขายให้ฉันในราคาแปดหยวนก็ถือว่าได้กำไรอื้อแล้ว!”

หลินม่ายเป็นฝ่ายยอมแพ้ ในที่สุดก็ขายเสื้อตัวนั้นไปในราคาแปดหยวน

สองแม่ลูกจ่ายเงินซื้อเสื้อผ้า ก่อนจะจากไปอย่างมีความสุข

ไม่ไกลกันนัก เจ้าของแผงขายเสื้อผ้าซึ่งเป็นหญิงอวบอ้วนคนหนึ่งเห็นว่ากิจการของหลินม่ายกำลังไปได้สวย จึงร้องเรียกสามีที่กำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่

หล่อนบอกเขาว่าต้องการย้ายแผงไปตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันกับแผงของหลินม่าย เผื่อว่าเสื้อผ้าของตัวเองจะขายดีบ้าง

สามีของหล่อนมองไปทางหลินม่ายด้วยความลังเล “จะไม่เป็นไรเหรอ?”

หญิงอวบอ้วนถลึงตามองเขา “อย่าทำตัวขี้ขลาดไปหน่อยเลย!”

ภายใต้การบังคับของหล่อน ชายคนนั้นจึงต้องช่วยหล่อนย้ายแผงลอยไปตั้งร้านในพื้นที่ที่อยู่ติดกันกับร้านของหลินม่าย

ใบหน้าของหลี่หมิงเฉิงมืดมนลงทันที เขาถามว่า “คุณหมายความว่ายังไง ทำไมถึงได้ย้ายแผงของตัวเองมาอยู่ติดกับแผงของเราแบบนี้?!”

ผู้ชายที่ช่วยหญิงท้วมย้ายแผงกลอกตา “พื้นที่สาธารณะ ฉันอยากจะย้ายแผงไปอยู่ตรงไหนก็ได้!”

ถึงหลินม่ายจะยังยุ่งอยู่กับการขายของ แต่เธอก็ยังโพล่งขึ้นมาว่า “ต่อให้เป็นพื้นที่สาธารณะ อย่างน้อยคุณก็ควรมีศีลธรรมหน่อย คุณเคยเห็นคนที่ขายของประเภทเดียวกันกับตัวเองมาตั้งแผงอยู่ถัดกันหรือเปล่า? ถึงยังไงก็ควรรักษาระยะห่างบ้างนะคะ”

หญิงอวบอ้วนเถียงกลับอย่างไม่สนใจเหตุผล “นั่นมันเรื่องของคนอื่น เห็นช้างอึแล้วฉันจำเป็นต้องอึตามช้างงั้นเหรอ ฉันอยากตั้งแผงขายเสื้อผ้าอยู่ติดกับแผงของเธอ แล้วเธอจะทำอะไรฉันได้!”

ทันทีที่หล่อนพูดจบ ลูกน้องของเฉินเฟิงหลายคนก็เดินเข้ามาเตะข้าวของบนแผงของหล่อนกระจุยกระจาย ตะคอกเสียงดัง “ออกไปจากตรงนี้ ไปซะ เดี๋ยวนี้!”

หญิงอวบอ้วนตัวสั่นงกด้วยความตื่นตกใจ พอรู้ว่าตัวเองเผลอไปทำให้ใครขุ่นเคืองใจเข้า ก็รีบช่วยสามีเก็บข้าวของ ก่อนจะย้ายแผงไปตั้งอยู่ที่เดิมด้วยความสิ้นหวัง

ลูกน้องของเฉินเฟิงหายตัวไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น ราวกับเป็นผู้พิทักษ์เงาในสมัยโบราณ

ลูกค้าประจำหลายคนวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าวันนี้หลินม่ายมาตั้งแผง

ขณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเลือกเสื้อผ้าอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็ถามขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงหยุดร้านนานจังล่ะ ฉันแวะมาที่นี่ตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เห็นคุณมาตั้งแผงหลายวันแล้ว”

ลูกค้าประจำคนอื่น ๆ พูดเสริม “ฉันก็แวะมาที่นี่หลายรอบ แต่ไม่เจอคุณเลย”

หลินม่ายขอโทษพวกเธอ “พอดีเสื้อผ้ามือสองที่ฉันรับซื้อมาขายต่อหมดแล้วค่ะ ฉันยังไม่ว่างไปรับซื้อสินค้ามาเพิ่ม ก็เลยไม่ได้ออกมาตั้งแผงขาย”

ลูกค้าประจำคนหนึ่งเสนอขึ้นมา “ถ้าคุณไปรับซื้อเสื้อผ้ามือสองมาอีก ช่วยเอาเสื้อผ้ามาหลาย ๆ ประเภทหน่อยสิ ไม่ว่าจะเป็นผ้าสักหลาด ผ้าทอขนสัตว์ หรืออะไรทำนองนั้น คราวที่แล้วฉันซื้อจากคุณไปสองชิ้น แต่โดนญาติแย่งไปใส่ พวกเขาบ่นอยากได้เพิ่มอีก ฉันเองก็อยากได้เหมือนกัน”

ลูกค้าประจำรายอื่น ๆ ต่างออกความเห็น “ฉันเองก็สนใจเหมือนกัน”

“ฉันด้วย”

ในมุมมองของพวกเขา เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าประเภทผ้าสักหลาดหรือผ้าทอขนสัตว์ซึ่งเป็นสินค้ามือสองที่นำเข้าจากต่างประเทศนั้นมีคุณภาพดีกว่าที่วางขายอยู่ในประเทศมาก เพราะเนื้อผ้าเบาสบายและนุ่มฟู

แตกต่างจากผ้าสักหลาดและผ้าทอขนสัตว์ที่ผลิตในจีน พวกมันทั้งมีเนื้อหยาบและมีน้ำหนักมาก

นอกจากนี้ ผ้าสักหลาดและผ้าทอขนสัตว์จากต่างประเทศยังมีหลายสีสันมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นสีงาช้าง สีชมพูอ่อน สีม่วงอ่อน… หรือแม้กระทั่งสีอื่น ๆ

เนื้อผ้าดังกล่าวภายในประเทศมีแค่สีดำ สีเทา และสีเขียวเข้ม แม้แต่สีแดงสดยังหายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีพื้นที่นอกเหนือไปจากนี้

ตราบใดที่ลูกค้ายอมรับในคุณภาพของสินค้ามือสอง การซื้อหาเสื้อผ้ากันหนาวมือสองที่นำเข้าจากต่างประเทศก็ถือว่าคุ้มค่า

สำหรับเสื้อผ้าทอขนสัตว์และเสื้อกันหนาวมือสองที่นำเข้าจากต่างประเทศ หลินม่ายขายในราคาแค่ห้าสิบหยวนต่อสองตัว ในขณะที่ราคาเสื้อผ้าทอขนสัตว์ในห้างสรรพสินค้า เริ่มต้นก็อยู่ที่ตัวละสี่สิบถึงห้าสิบหยวนแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบด้านราคา เสื้อผ้ากันหนาวมือสองจึงชนะขาดลอย ไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าประจำเหล่านี้ต้องการซื้อเป็นครั้งที่สอง

หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ถ้าฉันไปกว่างโจวอีกครั้งจะลองดูให้นะคะ ไม่รู้ว่าคราวนี้จะได้สินค้าที่ต้องการมากแค่ไหน”

“เพราะความจริงแล้วเสื้อผ้ามือสองที่ว่าค่อนข้างหาแหล่งรับซื้อยากเลยล่ะค่ะ!” หลินม่ายจงใจบ่นออกไปแบบนั้น เพื่อที่ครั้งต่อไปจะได้ตั้งราคาขายเสื้อกันหนาวให้สูงขึ้น

ลูกค้าประจำเหล่านั้นถามว่า “แล้วเมื่อไหร่สินค้าใหม่จะมาเหรอ ฉันจะได้เตรียมเงินมาซื้อ”

หลินม่ายคำนวณเวลา “อีกห้าวันค่ะ”

ลูกค้าประจำจึงเดินจากไปอย่างไม่เต็มใจ

แต่หลังจากเดินไปได้สักระยะ พวกหล่อนก็เดินย้อนกลับมา กำชับหลินม่ายให้เอาเสื้อกันหนาวมือสองมาขายให้ได้

เสื้อผ้าบนแผงที่มีอยู่ไม่กี่สิบชุดขายหมดอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากเสื้อผ้าพวกนี้ไม่มีป้ายยี่ห้อ ทำให้ขายออกไปในราคาต่ำกว่าที่หลินม่ายคาดการณ์ไว้ เธอจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ทว่าสิ่งนี้กลับทำให้เธอผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา ถ้าเธอเปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้าขาย เธอจะต้องทำเงินได้อย่างมหาศาลแน่นอน

ยุคสมัยนี้ อาหารยังขายได้ไม่ดีไปกว่าการขายเสื้อผ้า

เธอตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ไว้กับตัวเอง ก่อนอื่นเธอจะต้องเก็บออมเงินจากการขายเสื้อผ้าจนสามารถซื้อทองคำได้สักแท่ง

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอจะได้รับกำไรเป็นจำนวนมาก แต่ในสายตาของหลินม่าย นั่นยังไม่อาจนิยามได้ว่าเป็นเสมือนทองคำแท่งแรก

ในความคิดของเธอแล้ว คนที่ทำกำไรได้มากกว่าหนึ่งแสนหยวนขึ้นไปเท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาอีกอย่าง ถ้าคิดจะเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า อย่างน้อยต้องมีเงินทุนสักก้อน

แต่เงินก้อนที่เธอมีอยู่ ถูกนำไปลงทุนเกี่ยวกับการดำเนินงานในตลาดสดเกือบทั้งหมดแล้ว

การซื้อสินค้าจำเป็นต้องใช้เงิน นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะฉะนั้น ถ้าเธออยากได้เงินทุนสำหรับเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า คงต้องหารายได้จากการรับซื้อเสื้อผ้ามือสองมาขายต่อเป็นจำนวนมาก

รอจนกว่าเธอจะมีรายได้ประมาณสามหมื่นหยวนจากการขายเสื้อผ้านำเข้ามือมอง ถึงตอนนั้นเธอน่าจะเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ ได้แล้ว

หลินม่ายวางแผนไว้ว่า หากกระบวนการรับสมัครพนักงานของร้านเปาห่าวซือแห่งใหม่เสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้ ก็ค่อยเดินทางไปที่กว่างโจวเพื่อรับซื้อเสื้อผ้า เธอจะพยายามหารายได้เพื่อเก็บเงินเปิดโรงงานเสื้อผ้าโดยเร็วที่สุด

พอกลับมาถึงร้านอาหาร หลังอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายไม่ลืมหยิบครีมลดรอยแผลเป็นที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้มาทารอบแผล ก่อนจะผล็อยหลับไป

เช้าวันต่อมา หลังจากตื่นนอนและล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ทาครีมลดรอยแผลเป็นย้ำอีกครั้ง

ฟางจั๋วหรานแวะมากินอาหารเช้าที่ร้านเช่นเคย พอก้มดมไรผมของหลินม่ายก็พึงพอใจมากเมื่อได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของครีมลดรอยแผลเป็น

ระหว่างที่กินอาหารเช้าอยู่นั้น หลินม่ายบอกฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับแผนการเดินทางไปยังกว่างโจว

ฟางจั๋วหรานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวผมค่อยนัดหมายคนรู้จักในกว่างโจวให้มาคอยดูแลคุณ”

หลินม่ายต้องการปฏิเสธ แต่ฟางจั๋วหรานไม่ยอมง่าย ๆ

เขาอดกังวลไม่ได้เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว ในเมื่อเขาไม่สามารถติดตามไปดูแลเธอได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น

หลินม่ายไม่มีทางอื่นนอกจากยอมรับความหวังดีของเขา

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ลงไปชั้นล่าง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรับสมัครงาน

ถึงครั้งนี้จะเป็นแค่การรับสมัครพนักงานประจำร้านเปาห่าวซือ แต่ร้านอาหารแห่งใหม่นั้นมีพื้นที่สองชั้น

โดยเฉพาะชั้นสอง จะต้องมีพนักงานบริการคอยประจำการไม่ได้ขาด

นอกจากนี้เธอยังรับสมัครพนักงานในตำแหน่งพ่อครัว เด็กเสิร์ฟ คนเด็ดผัก คนทำความสะอาด และผู้จัดการร้าน… ด้วยตำแหน่งงานหลายประเภท ทำให้ผู้ที่สนใจสมัครงานมีจำนวนมากกว่าคนที่สนใจสมัครทำงานในตลาดสดเสียอีก

บริเวณทางเข้าหน้าร้านเต็มไปด้วยคนที่มารอสมัครงาน

ทันใดนั้นหลินม่ายก็มองเห็นบุคคลคุ้นเคยที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่สนใจสมัครงาน… หลินเพ่ย

นังผู้หญิงสำส่อนจอมลวงโลกดั้นด้นมาถึงในเมืองเชียวหรือนี่!

นับตั้งแต่ตอนที่เจอหน้าอีกฝ่ายครั้งล่าสุดก็ผ่านมานานแล้ว หลินเพ่ยเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผิวพรรณที่เคยขาวกลับคล้ำเข้ม

ปกติหล่อนมีข้อได้เปรียบในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก คือผิวพรรณที่ขาวกว่าเด็กสาวบ้านนอกคนอื่น ๆ

สภาพผิวพรรณช่วยปิดบังพื้นเพอันต่ำต้อยได้ หนำซ้ำหล่อนยังรู้จักแต่งตัว แถมยังทำตัวไร้เดียงสา ทำให้หล่อนสามารถมัดใจหนุ่ม ๆ ได้หลายคน

แต่ตอนนี้หล่อนกลับคืนสู่สามัญ รูปร่างหน้าตาจึงคล้ายคลึงกับซุนกุ้ยเซียงถึงเก้าในสิบ เผยให้เห็นธาตุแท้ของความเป็นหญิงสาวบ้านนอก

หลินม่ายคาดเดาในใจว่าหลังจากผู้หญิงสารเลวคนนี้ถูกไล่ออกจากโรงเรียน หล่อนจึงจับผู้ชายรวย ๆ ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นซุนกุ้ยเซียงกับสามีจึงมองว่าลูกสาวเป็นคนไร้ประโยชน์กระมัง? ไม่อย่างนั้นหล่อนคงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้แน่

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อเขามีเส้นเด้อ ไปทำอะไรแผงเขาระวังโดนพังร้านนะป้า

โลกกลมอีกแล้ว มาเจอยัยพี่สาวเลวเข้าอีกแล้วเหรอ

ไหหม่า(海馬)