ตอนที่ 383 หรือจะมีทายาทก่อนแล้วค่อยแก้คำสาป?
ฉินหลิวซีไม่ได้ต้องการของขวัญขอบคุณจากสยงเอ้อร์และคนอื่นๆ พูดให้ถูกก็คือต้องการ แต่ไม่ได้รับไว้เอง ให้พวกเขามอบให้หัวหน้าเผ่าอูหยางทั้งหมด เพื่อที่จะได้ใช้สำหรับจัดพิธีบวงสรวงต่างๆ ในหมู่บ้าน
และนี่ก็เป็นของขวัญขอบคุณที่นางและซือเหลิ่งเย่ว์มาขอรบกวนอยู่ที่นี่หลายวัน
หัวหน้าเผ่าอูหยางย่อมปฏิเสธ แต่ฉินหลิวซียืนกรานครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับคำขอบคุณไว้
สยงเอ้อร์แจ้งเรื่องการปฏิเสธของขวัญขอบคุณของฉินหลิวซีแก่จิ่งเสี่ยวซื่อ จิ่งเสี่ยวซื่อขมวดคิ้ว พักรักษาตัวมาแล้วหนึ่งวัน จึงอยากจะไปคารวะขอบคุณด้วยตัวเองและถามสิ่งที่นางต้องการ แต่กลับถูกท่านหัวหน้าเผ่าอูหยางบอกว่าฉินหลิวซีกับซือเหลิ่งเย่ว์ไปจากที่นี่แล้ว
จิ่งเสี่ยวซื่ออธิบายไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร รู้สึกราวกับถูกคนตบสองสามครั้งจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่สยงเอ้อร์กลับมีไหวพริบที่ปกติหาได้ยาก เอ่ยว่า “เสี่ยวซื่อ ท่านหัวหน้าเผ่าไม่ได้บอกว่านางเป็นนักพรตหญิงอารามชิงผิงในเมืองหลีที่หนิงโจวหรอกหรือ หากนางไม่ต้องการของขวัญขอบคุณนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปบริจาคค่าน้ำมันตะเกียงที่อารามเต๋าด้วยตัวเอง ก็นับว่าได้แสดงความจริงใจแล้ว ในใต้หล้านี้มีวัดหรืออารามเต๋าที่ไหนบ้างที่ไม่ต้องการค่าน้ำมันตะเกียง”
เจ้าลัทธิเต๋าอารามชิงผิง ‘ใช่แล้ว ข้าต้องการเป็นอย่างมาก รีบมาเร็วเข้า!’
หาได้ยากที่จิ่งเสี่ยวซื่อจะมองพี่สยงลูกพี่ลูกน้องตระกูลผู้นี้ด้วยสายตาชื่นชม ในที่สุดบุรุษโง่ผู้นี้ก็รู้จักใช้สมองแล้ว
“เจ้าพูดถูก นางไม่ต้องการคือเรื่องของนาง พวกเราไม่ควรละเลยเรื่องมารยาท” จิ่งเสี่ยวซื่อพยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราอยู่ต่ออีกสองวันแล้วค่อยลงจากภูเขาเดินทางอ้อมไปยังเมืองหลี”
“ได้เลย”
ฉินหลิวซีไม่รู้ว่าจิ่งเสี่ยวซื่อและคนอื่นๆ จะวางแผนเช่นนี้ ดังนั้นจึงใช้เส้นทางหยินเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านที่ห้าของตระกูลซือพร้อมกับซือเหลิ่งเย่ว์ อย่างไรเสียก็ต้องแจ้งเรื่องทำลายคำสาปแก่หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าและซือถูที่เป็นบิดาของนาง
นี่เป็นเรื่องความเป็นความตายเชียวนะ
เมื่อซือถูกับหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าได้ยินวิธีทำลายคำสาปอันโหดร้ายก็สีหน้าซีดลงทันที ส่วนซือถูก็ร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลราวกับสายน้ำไม่ขาดสาย
“เจ้าฆ่าพ่อของเจ้าให้ตายก่อนเสียยังจะดีกว่า” ซือถูร้องไห้พลางเอ่ย “อย่างไรเสียท่านแม่เจ้าก็รอนานแล้ว หากข้าตายไปก็ยังจะพอได้อยู่เป็นเพื่อนนาง อย่างไรเสียก็ดีกว่ามองดูเจ้าหาที่ตาย”
หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าลังเลจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่หยิบกระดาษห่อบุหรี่ขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา แต่ไม่สามารถม้วนบุหรี่ได้ ทำได้เพียงคาบก้นบุหรี่ไว้ในปาก
“ท่านพ่อ ท่านหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่า นี่เป็นโอกาสเดียวของตระกูลซือของพวกเรา” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยต่อ “และนี่ก็ยังเป็นความลับสวรรค์ที่เทพธิดามองเห็น มีเพียงซีซีเท่านั้น คนเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหาของเผ่าเราได้”
“แต่การถูกไฟนรกแผดเผานั้นต้องทรมานเป็นอย่างมาก หากทนไม่ไหวก็ต้องตาย” ซือถูร้องไห้คร่ำครวญ
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มอย่างขมขื่นพลางเอ่ย “หากไม่ลองดู แล้วข้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี คนตระกูลซือไม่สามารถมีชีวิตได้เกินยี่สิบห้าปี อย่างมากที่สุดก็มีอายุได้เพียงยี่สิบห้าปี ปีนี้ข้าก็สิบหกปีแล้ว ปีหน้าก็จะอายุสิบเจ็ดปี ข้าจะยังมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี ท่านแม่ก็มีชีวิตอยู่แค่ยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น”
ซือถูตัวแข็งทื่อ
“ท่านพ่อ หากไม่ลองดู ข้าก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่หากลองดูก็ยังพอมีความหวังอยู่ริบหรี่ หากทนไม่ไหว อย่างไรก็เพียงแค่ตายเท่านั้น ต่างจากตายหลังจากนี้ตรงไหน” ซือเหลิ่งเย่ว์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เขา แล้วเอ่ยต่อ “ท่านพ่อ ท่านเต็มใจมองดูข้าตายไป แต่กลับไม่เต็มใจให้ข้าคว้าความหวังอันริบหรี่นี้ไว้หรือ”
“ไร้สาระ! พ่อจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าหมายความว่าบางทีเราอาจจะหาวิธีอื่นเจอก็ได้!” ซือถูรีบเอ่ยขึ้นมา โนเวลพีดีเอฟ
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มเล็กน้อย “หากมีวิธีอื่น เผ่าของเราก็คงไม่ร่วงโรยลงเช่นนี้ และเทพธิดาก็คงไม่ต้องล้วงความลับสวรรค์ที่บ่งบอกว่าซีซีคือโอกาส”
ซือถูสำลัก
เขาเข้าใจเหตุผลดี แต่จะให้เขามองดูบุตรสาวที่อาจตายจากความทนทุกข์ทรมานจากการถูกไฟแผดเผาได้อย่างไร
แต่เขาก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นบุตรสาวของเขามีจุดจบเหมือนบรรพบุรุษของนางที่เป็นมาหลายชั่วอายุคน
ซือถูตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ถามคำถามที่โง่เขลาที่สุด “พ่อรับแทนเจ้าได้หรือไม่ เสวียนเหมินไม่ได้มีมนต์ดำที่สามารถทดแทนชีวิตหรืออะไรทำนองนั้นหรอกหรือ พวกเราเชิญคนมาทำพิธีนี่ดีหรือไม่”
“ท่านพ่อ!” ซือเหลิ่งเย่ว์น้ำเสียงดุ “พวกเราเป็นผู้สืบทอดแม่มดขาว ยึดหลักปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องคุณธรรมเท่านั้น ตระกูลซือของพวกเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เพราะคำสาปชั่วร้าย แต่ท่านกลับนึกถึงสิ่งไร้สาระเหล่านั้น ท่านอยากจะเห็นข้าอายุสั้นลงกว่าเดิมหรือ ทำเช่นนั้นจะถูกสวรรค์ลงโทษ!”
ซือถูหดคอหลังถูกดุ เมื่อเห็นว่าซือเหลิ่งเย่ว์โกรธ ก็อดดึงแขนเสื้อนางด้วยความน้อยใจไม่ได้ เอ่ย “เป็นพ่อเองที่ฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ เจ้าอย่าโกรธเลย พ่อแค่ทนไม่ได้”
“ถึงกระนั้นก็ไม่ควรคิดเช่นนี้ มนต์ดำทำร้ายผู้อื่นและตนเอง ท่านไม่ควรมีความคิดเช่นนั้นเด็ดขาด” ซือเหลิ่งเย่ว์ถอนหายใจ
“ข้ารู้แล้ว”
ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นเขาเหมือนมะเขือม่วงที่ถูกน้ำค้างเกาะ เหี่ยวเฉาจนเหลือแต่เปลือก จึงอดถอนหายใจไม่ได้ เอ่ย “ท่านพ่อ หากไม่ลองดูเราก็จะไม่มีแม้แต่ความหวัง ข้าจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน ท่านเชื่อข้าเถิด”
ซือถูร้องไห้ออกมาอีกแล้ว “ข้าเชื่อเจ้า แต่ข้าไม่เชื่อว่าไฟนรกอะไรนั่นจะอ่อนโยน”
ว่ากันว่าคนชั่วต้องลงนรกและทนทุกข์กับไฟนรกที่แผดเผาร่างกาย เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว แต่บุตรสาวของเขาทำผิดอะไร นางทั้งรูปงามและมีเมตตา ไม่เคยทำสิ่งชั่วร้ายอะไร เหตุใดต้องให้นางต้องแบกรับความทุกข์ทรมานเช่นนี้
ท่านหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าเอ่ย “นายท่าน ท่านได้ตัดสินใจแล้วหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์พยักหน้า “ท่านหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่า ท่านเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และเคยอยู่ข้างกายเทพธิดา วิชาแม่มดของนางเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ดีไปกว่าท่าน นางเต็มใจรับผลสะท้อนกลับเพื่อที่จะล้วงความลับของสวรรค์ ข้าเชื่อนาง”
หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าย่อมรู้ถึงความสามารถของเทพธิดา แต่การถูกไฟนรกแผดเผาร่างกาย ร่างกายของคนธรรมดาจะสามารถต้านทานได้อย่างไร
แต่หากไม่ลองดู เช่นนั้นก็เท่ากับว่าปล่อยโอกาสเพียงหนึ่งเดียวหลุดลอยไป และสุดท้ายซือเหลิ่งเย่ว์ก็ต้องตายอยู่ดี
หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่ากัดฟัน “จะเริ่มทำลายคำสาปเมื่อใดหรือ”
“ยังต้องเตรียมการบางอย่างก่อน ซีซีต้องปรุงยาบางอย่าง เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ช่วยปกป้องร่างกายของข้า และยังต้องยืมปัจจัยภายนอกบางอย่างเพื่อลดความเจ็บปวด” ซือเหลิ่งเย่ว์เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “อีกอย่าง ท่านหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่า ที่เอ่ยไว้ว่าบุญสามารถลบล้างบาปนับหมื่นพันได้ ข้าอยากจะใช้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลซือเพื่อการกุศลชดเชยบาปบางส่วน”
ท่านหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าดวงตาเป็นประกาย “นี่เป็นความคิดที่ดี”
ซือถูเอ่ยว่า “ครึ่งหนึ่งจะพอหรือ มากกว่านี้อีกดีหรือไม่ น่าโมโหคนแซ่กงผู้นั้น เป็นตัวเองที่ตาบอดจนมองคนผิด แต่กลับใช้คำสาปแช่งที่โหดร้ายเช่นนี้ สุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องใช้ทรัพย์สินเพื่อชดเชยบาปกรรม สวรรค์ไม่ยุติธรรมเลย”
ซือเหลิ่งเย่ว์กับหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่ากระแอม รู้สึกละอายเล็กน้อย คนที่ถูกนางมองผิดผู้นั้นคือคนที่ตระกูลซือของพวกเขาส่งไป
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผล
“ท่านพ่อ ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดถึงสิ่งที่ถูกหรือผิด พวกเราเพียงแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำก็พอแล้ว” ซือเหลิ่งเย่ว์มองทั้งสองคนแล้วเอ่ย “ทรัพย์สินของตระกูลถูกแจกจ่ายออกไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องวางแผนจัดการให้ดี หากข้าไม่อยู่แล้ว…”
“ห้ามพูดเด็ดขาด!” ซือถูร้องขึ้นมา ปิดปากนางไว้ “ไม่อนุญาตให้กล่าวสิ่งไม่เป็นมงคลเช่นนี้”
เมื่อซือเหลิ่งเย่ว์เห็นความตื่นตระหนกและความหวาดหวั่นบนใบหน้าของเขาก็รู้สึกปวดใจ ดึงมือของเขาลง “ได้ ข้าจะไม่พูด”
ซือถูถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “อย่างไรเสียก็ยังไม่มีการกำหนดวันทำลายคำสาป เย่ว์เอ๋อร์ ไม่สู้เลื่อนออกไปก่อนหนึ่งปี ในช่วงหนึ่งปีนี้เจ้าก็รีบหาคนที่ถูกตาต้องใจแล้วมีทายาทด้วยกัน เช่นนี้ตระกูลซือก็จะได้มีผู้สืบทอดแล้ว”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “…”
ท่านพ่อ อารมณ์ท่านเปลี่ยนไปเร็วมาก
การมีทายาทก็เพื่อป้องกันกรณีฉุกเฉิน เกรงว่านางจะทนไม่ไหวจนเสียชีวิตไปหรือ
ไม่ได้คุยกันไว้แล้วหรือว่าห้ามกล่าวสิ่งที่ไม่เป็นมงคล