ตอนที่ 384 สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ข้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 384 สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ข้า

เมื่อฉินหลิวซีได้ยินจากปากของซือเหลิ่งเย่ว์ว่าซือถูให้นางหาคนที่ถูกตาต้องใจเพื่อมีทายาทก็หัวเราะจนฟันร่วง

“ท่านพ่อของเจ้าช่างเป็นคนที่มองการณ์ไกล”

ซือเหลิ่งเย่ว์ดันนาง “เจ้ายังจะหัวเราะอีก”

ฉินหลิวซีเกาจมูก เอ่ย “ความจริงแล้วท่านพ่อของเจ้าก็ไม่ได้ไร้เหตุผล แม้ว่าคำสาปนี้จะถูกทำลายแล้ว ในฐานะที่เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลซือ จะเป็นชายหรือหญิงก็ต้องให้กำเนิดเพื่อสืบทอดสายเลือดนี้ต่อไปไม่ใช่หรือ”

การสืบทอดสายเลือด สำหรับตัวเองแล้วนั้นไม่สำคัญ แต่สำหรับตระกูลซือนั้นคงจะสำคัญอยู่มาก

ซือเหลิ่งเย่ว์สีหน้าเศร้าหมอง นั่งกอดเข่า อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

เป็นอย่างที่ฉินหลิวซีกล่าว นางต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้ เนื่องจากคำสาปเลือด เชื้อสายของนางจึงเหลือนางเพียงคนเดียว หากจบลงที่นาง บรรพบุรุษในสุสานบรรพชนของตระกูลคงจะกระโดดขึ้นมาด่านางในฝันทุกคืนกระมัง

ซือเหลิ่งเย่ว์ตัวสั่นด้วยความกลัว เอ่ย “เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลังเถิด หากข้าไม่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้ คนรุ่นต่อๆ ไปก็ยังคงต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ สายเลือดคงจะจบลงไม่ช้าก็เร็ว”

“หากผ่านมันไปได้ล่ะ” ฉินหลิวซีถามด้วยความอยากรู้

ซือเหลิ่งเย่ว์หนุนคางไว้บนหัวเข่า สับสนเล็กน้อย เอ่ย “เมื่อก่อนเคยคิดว่าชีวิตของข้าจะดำเนินไปตามปกติเหมือนกับบรรพบุรุษ เรียนรู้หน้าที่ในตระกูลแต่เนิ่นๆ เตรียมรับช่วงต่อกิจการของตระกูล เมื่อถึงอายุที่กำหนดก็รับสมัครสามีและให้กำเนิดทายาทต่อไป แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีแบบแผนใหม่ขึ้นมา แต่ข้ากลับลังเลอยู่นิดหน่อยว่าควรจะดำเนินชีวิตตามแบบแผนเดิมหรือไม่”

นางหันไปมองฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “หากเจ้าเป็นข้า จะทำอย่างไร”

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “มันขึ้นอยู่กับว่าอยากจะเลือกอะไร หากปล่อยให้สายเลือดจบลงในมือของตนไม่ได้ เช่นนั้นก็เพียงแค่หลับตา อาศัยโอกาสที่ยังสาวๆ อยู่ให้กำเนิดทายาท ฝึกอบรมตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเขายืนได้ด้วยตัวเอง ฮ่าๆ ก็สามารถนอนพักผ่อนตอนเกษียณได้อย่างสบายใจ ได้เวลาที่อยากทำอะไรก็ทำแล้ว”

ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก มองนางพลางเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว ดังนั้นเจาเจากับวั่งชวนก็คือ ‘บุตร’ ทั้งสองของเจ้า ตอนนี้คงจะตั้งใจอย่างหนักเพื่อฝึกอบรมพวกเขากระมัง”

แค่กๆๆ

ฉินหลิวซีหลบสายตา เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าดูแสงจันทร์ในคืนนี้สิ ช่างสวยจริงๆ”

ซือเหลิ่งเย่ว์เม้มปากกลั้นหัวเราะ เอ่ย “เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเช่นนี้ แสดงว่าถูกข้ามองออกแล้วกระมัง”

“ใช่เสียที่ไหนกัน ข้าในฐานะที่เป็นอาจารย์ ในเมื่อรับศิษย์แล้วก็ต้องพยายามสั่งสอนให้ดีที่สุด จะปล่อยให้ศิษย์เดินผิดทางไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ส่วนในภายภาคหน้าเมื่อพวกเขาเรียนรู้เสร็จสิ้นแล้ว ย่อมต้องจัดการปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง จะให้ข้าปกป้องตลอดไปไม่ได้หรอก และการเป็นอาจารย์หนึ่งวันเปรียบดั่งบิดาชั่วชีวิต การที่พวกเขาดูแลข้ายามแก่ชราก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือ ขนาดนกกาก็ยังรู้จักตอบแทนบุญคุณ”

“เหอะๆ”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยท่าทางปล่อยไปตามยถากรรม “อย่างไรเสียนี่ก็คือความคิดของข้า ส่วนเจ้ายังคงต้องถามหัวใจของตัวเองว่าต้องการสิ่งใด อยากใช้ชีวิตเช่นไร ล้วนต้องถามตัวเอง”

“สิ่งใดที่เป็นความรับผิดชอบของข้า ข้าจะไม่เพิกเฉย” ซือเหลิ่งเย่ว์ได้ตัดสินใจแล้ว

ฉินหลิวซี “ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาดและเด็ดขาด ที่สับสนไปชั่วขณะเพียงเพราะยังไม่ได้ออกมาจากเมฆหมอก เมื่อออกไปได้แล้วก็จะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่มีสิ่งใดขัดขวางได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มพลางพยักหน้า

“ในเมื่อเจ้าต้องการอยู่ต่อเพื่อจัดการกิจการของตระกูลซือ เช่นนั้นข้าก็จะไม่พาเจ้าไปด้วยแล้ว ข้าจะไปจากที่นี่ตอนเที่ยงคืน เจ้าไม่ต้องไปส่งหรอก” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “เมื่อเตรียมพร้อมเหมาะสมแล้วพวกเราค่อยทำลายคำสาป”

“ตกลง”

เมื่อฉินหลิวซีกลับมาถึงอารามชิงผิง หิมะก็ตกลงมาจากฟากฟ้า

ฤดูหนาวมาถึงแล้ว

นางเดินเข้าไปในลานเต๋า เห็นลูกศิษย์น้อยเถิงเจาเงยหน้าขึ้นเหม่อมองหิมะที่ปลิวว่อนบนท้องฟ้า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันกลับมา เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงเมื่อเห็นนาง

ฉินหลิวซีเดินเข้าไปหา เอ่ย “โง่ไปแล้วหรืออย่างไร เห็นอาจารย์ก็ไม่รู้จักคารวะเสียแล้ว”

เถิงเจายังคงตกตะลึงอยู่เล็กน้อย ขอบตาของเขาเริ่มแดงขึ้นมา เม้มริมฝีปากด้วยความน้อยใจ ถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วยกมือขึ้นโค้งคารวะ

เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าเจ้าตัวเล็กกำลังกลั้นน้ำตาก็ใจอ่อน ยื่นมือไปลูบศีรษะเขา เอ่ย “อาจารย์กลับมาแล้ว”

เถิงเจาเสียงขึ้นจมูกค่อนข้างรุนแรง เพียงแค่ตอบรับเบาๆ

“หิมะตกแล้ว ข้างนอกอากาศหนาว เหตุใดมายืนเหม่อลอยอยู่ตรงนี้ เจ้าร่างกายอ่อนแอ ระวังจะเป็นไข้” ฉินหลิวซีจับมือเขาซึ่งค่อนข้างเย็นเล็กน้อย จากนั้นก็จูงเขาเดินเข้าไปในห้อง

เถิงเจาหันไป มองไปยังห่อผ้าสีดำสนิทที่ฉินหลิวซีนำกลับมาจากข้างนอกด้วย ดูเหมือนจะมีสิ่งไม่ดีอยู่ในนั้น

ฉินหลิวซีมองไปตามสายตาของเขาแล้วเอ่ยว่า “เป็นสิ่งชั่วร้าย อาจารย์จะจัดการมันในภายหลัง”

เถิงเจาละสายตา ยกชามาให้นางแล้วนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง

บนโต๊ะมีพระสูตรหลายเล่ม มีสองเล่มที่เกี่ยวกับทฤษฎีสมุนไพรไข้หวัดซางหาน[1]และอื่นๆ รวมถึงสมุดฝึกเขียนยันต์เย็บเล่มที่ฉินหลิวซีมอบให้ ทั้งหมดจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย

นางหยิบสมุดขึ้นมาเปิดดู ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ที่นางมอบการบ้านให้วาดยันต์แคล้วคลาดไว้ เขาก็ฝึกวาดยันต์ออกมาได้เสร็จสมบูรณ์ เพียงแต่ยังไม่มีจิตวิญญาณ เป็นยันต์ปลอมที่ว่างเปล่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์

ฉินหลิวซีมองไปที่เขา เอ่ย “วาดเส้นอักขระได้แล้ว แต่กลับไม่มีจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะวาดยันต์ออกมาสวยแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ตอนอยู่ที่ร้านก่อนหน้านี้ ข้าเห็นว่าเจ้าเข้าใจแนวคิดของเต๋าบ้างแล้ว และเคยเข้าสู่ฌาณสมาธิ ตามหลักแล้ว เจ้าสามารถดึงพลังชี่เข้าสู่ร่างกายได้ ควบคู่กับการฝึกปฏิบัติในอารามทุกวัน แม้ว่าจะไม่สามารถวาดยันต์แคล้วคลาดที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ก็ควรจะมีร่องรอยอยู่บ้าง แทนที่จะว่างเปล่าไร้จิตวิญญาณเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น”

เถิงเจาเม้มริมฝีปากไม่เอ่ยอะไร

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว “คิดถึงท่านพ่อของเจ้าหรือ”

เถิงเจาตกตะลึง ส่ายหน้า

“เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร”

เถิงเจาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบกระดาษยันต์ชาดแดงมาวางบนโต๊ะ หลับตาลงเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง หยิบพูกันปลุกเสกจุ่มลงในชาดแดง เพ่งสมาธิในการวาดยันต์

ฉินหลิวซีเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง เห็นว่าเขาตั้งสมาธิสงบนิ่ง ระดมพลังจิตวิญญาณอันน้อยนิดที่สะสมจากการฝึกฝนในไม่กี่วันมานี้ลงไปยังพู่กันปลุกเสกในมือของเขา โนเวลพีดีเอฟ

ตอนที่พึ่งลงพู่กันยังคงวาดได้ลื่นไหล แต่ยิ่งวาดต่อไป มือของเขาก็ยิ่งเชื่องชา ราวกับพู่กันหนักพันชั่ง เหงื่อเม็ดเล็กไหลออกมาบนหน้าผาก เกือบจะล้มเหลวในการวาด แต่ยังคงยืนหยัด จนกระทั่งวาดเส้นยันต์เส้นสุดท้ายออกมา

มือของเขาสั่นอย่างรุนแรง ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ มองไปยังฉินหลิวซี

กล่าวได้ว่าฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจมาก หยิบยันต์แผ่นนั้นขึ้นมา แสร้งกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “ใช้ได้เลย แม้ว่าพลังจิตวิญญาณจะยังไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่ใช่ยันต์ไร้ประโยชน์”

ภายในใจกรีดร้องด้วยความดีใจ ‘ข้าขอประกาศว่าข้าได้ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์แล้ว!’

ลูกศิษย์ผู้นี้พึ่งจะฝากตัวเป็นศิษย์ได้ไม่นานก็สามารถวาดยันต์ที่มีจิตวิญญาณได้แล้ว สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ข้า!

“ไม่ใช่สิ ในเมื่อเจ้าสามารถวาดยันต์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แล้วทำไมยันต์พวกนี้จึงไม่มีจิตวิญญาณกันล่ะ” หลังจากที่นางมีความสุขก็ชี้ไปยังสมุดเหล่านั้น

เถิงเจาก้มศีรษะ หลังจากเงียบไปนานก็เอ่ยว่า “ท่านไม่อยู่ ใจไม่สงบ”

ฉินหลิวซีตกตะลึง

หลังจากเงียบไปนานนางก็ขยับไปนั่งลงข้างเขา กอดเขาพลางตบหลังเขาเบาๆ “กลัวว่าอาจารย์จะไปลับไม่กลับมา ทิ้งเจ้าไว้ไม่ไยดีหรือ”

เถิงเจาน้ำตาคลอ ไม่ตอบอะไร

“อย่ากลัวไปเลย เจ้าเป็นศิษย์ข้า อาจารย์จะทิ้งเจ้าไปได้อย่างไร” ฉินหลิวซีลูบศีรษะเขาเล็กน้อย มองตาเขาอย่างจริงจัง เอ่ยว่า “หากอาจารย์ทำเรื่องสารเลวเช่นนั้น ข้าก็อนุญาตให้เจ้าทรยศต่อสำนักได้!”

เถิงเจา “…”

เอาเถิด ความน้อยใจทั้งหมดที่มีได้หายวับไปเพราะนางโพล่งขัดจังหวะขึ้นมา!

[1] ไข้หวัดซางหาน เป็นโรคระบาดที่เก่าแก่และเกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดในยุคสมัยจีนโบราณ